ภาพเทพอสูรบรรพกาล : Archean Eon Art - ตอนที่ 165
ตอนที่165 การปะทุ
“ข้าฝึกร่างอสูรตัดสายฟ้าขอรับ” เมิ่งชวนกล่าวพร้อมยิ้มอย่างถ่อมตน “หากเป็นการสู้ตรงๆ ข้าแข็งแกร่งน้อยกว่าเฟิงโหวเทพอสูร สิ่งที่ควรค่าแก่การพูดถึงนั้นมีเพียงความเร็วเท่านั้นขอรับ”
ในช่วงสองปีที่ผ่านมา เขาค้างอยู่ในระดับจิตวิญญาณกระบี่ขั้นสูง เมื่อเขาหลอมรวมพลังของแก่นสารแห่งจิตเข้ากับพลังปราณ เขาจะแข็งแกร่งน้อยกว่าระดับของเฟิงโหวเทพอสูร และเขาสามารถคงสภาพการหลอมรวมได้อยู่เป็นเวลานานเลยทีเดียว
หากเมื่อเขาหลอมรวมแก่นสารแห่งจิตเข้ากับกายาเพชระและพลังปราณพร้อมกับใช้วิชาต้องห้าม เขาจะแข็งแกร่งเท่ากับเฟิงโหวเทพอสูรที่อ่อนแอที่สุด อย่างไรก็ตาม เขาไม่สามารถคงสภาพนั้นอยู่ได้นาน! ทั้งจางหวินเฟิงและหยางฟางต่างแข็งแกร่งเท่ากับเฟิงโหวเทพอสูรที่อ่อนแอที่สุดในสภาวะปกติ เมิ่งชวนยังด้อยกว่าศิษย์พี่ทั้งสองของเขามาก หากศิษย์พี่ทั้งสองใช้วิชาต้องห้ามความแข็งแกร่งของพวกเขาคงจะเพิ่มสูงกว่านี้มาก แต่ว่าพวกเขานั้นแก่ชราแล้ว ทุกๆครั้งที่ใช้วิชาต้องห้ามก็จะลดอายุขัยของพวกเขาลงมหาศาล
“น้องเมิ่ง เจ้ายังอายุน้อย แต่ความแข็งแกร่งของเจ้านั้นเทียบเท่ากับเฟิงโหวเทพอสูรแล้ว นั่นทําให้ข้ารู้สึกอิจฉาเสียจริง” หยางฟางกล่าวด้วยรอยยิ้ม
จางหวินเฟิงก็ยิ้มเช่นกัน “เจ้าเร็วได้เทียบเท่ากับราชาเทพอสูรทั้งๆที่ยังอยู่ในเขตแดนมหาสุริยันด้วยร่างอสูรตัดสายฟ้า จากข้อมูลที่ข้าได้มาจากเขาหยวนชู ความเร็วของน้องเมิ่งจัดได้ว่าเร็วมากเป็นอันดับต้นๆของราชาเทพอสูรเลยด้วยซ้ํา”
เมิ่งชวนตกใจมาก เขารู้ว่าเขาหยวนชูได้คํานวณความเร็วของตนไว้หลังจากที่ได้เป็นผู้ลาดตระเวน แต่เขาไม่คิดว่าข้อมูลนี้จะถูกส่งให้จางหวินเฟิงด้วย
“ศิษย์น้องเมิ่ง” จางหวินเฟิงกล่าว “นอกจากป้องกันเมืองหลวงของรัฐเจียงแล้ว พวกเราต้องรับผิดชอบในการเสริมกําลังให้เมืองรอบๆด้วย”
“เสริมกําลังให้เมืองรอบๆ?” เมิ่งชวนตกใจ
“ใช่แล้ว” จางหวินเฟิงพยักหน้า “ก่อนหน้านี้ เฟิงโหวเทพอสูรเป็นผู้รับผิดชอบการเสริมกําลังให้เมืองรอบๆ คราวนี้ หน้าที่นั้นเลยเป็นของเทพอสูรมหาสุริยัน เมื่อใดก็ตามที่พวกเราต้องไปเสริมกําลังให้เมืองอื่น ให้พาข้าไปด้วย หากพวกเราไปด้วยกันเราสามารถจัดการกับอันตรายต่างๆได้มากมาย และถึงเจ้าจะพาข้าไปด้วย เจ้าก็ยังไปได้ไวกว่าเฟิงโหวเทพอสูรมากนัก”
“หากเทียบกับราชั้นเทพอสูรแล้ว ข้าคงด้อยกว่าหน่อยหนึ่งขอรับ” เมิ่งชวนกล่าว
“ไม่เป็นไร” จางหวินเฟิงพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม
“หากพวกเจ้าทั้งคู่จะไปเสริมกําลังให้เมืองรอบๆ แล้วข้าล่ะ?” หยางฟางยืนมอง
เมิ่งชวนขมวดคิ้วเล็กน้อยพร้อมกับกวาดสายตามองดูร่างโตของหยางฟาง หยางฟางเป็นจอมยุทธที่ฝึกร่างอสูรกายาทรงพลัง เขาตัวหนักมาก และนั่นจะกระทบต่อความเร็วอย่างมหาศาลหากพาไปด้วย
“ข้าเชี่ยวชาญในการใช้เขตแดน ข้าสามารถลดผลกระทบต่อความเร็วได้หากเมิ่งชวนพาข้าไปด้วย” จางหวินเฟิงกล่าว “หากเจ้ามากับพวกเราด้วย เมิ่งชวนจะช้าลงอย่างมหาศาล อีกอย่าง ข้าเกรงว่าเหล่าอสูรคงพยายามจะล่อพวกเราออกจากเมืองหลวง เมื่อเมิ่งชวนและข้ากําลังไปเสริมกําลังให้เมืองข้างๆ เจ้าจะต้องนําเทพอสูร เพื่อปกป้องเมืองหลวงรัฐเจียงเอาไว้”
“ก็ได้ ก็ได้” หยางฟางพยักหน้า
ทั้งสามคนต้องป้องกันรัฐเจียงอย่างลับๆ พวกเขาคือเทพอสูรที่แข็งแกร่งที่สุดที่นี่
จากภายนอก รัฐเจียงมีเทพอสูรคนอื่นปกป้องอยู่ อย่างไรก็ตาม พวกเขานั้นอ่อนแอกว่ามาก เทพอสูรเหล่านั้นจะใช้ตราเพื่อเตือนเทพอสูรทั้งสามคนที่คอยคุมอยู่
“นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป น้องหยางกับข้าจะอยู่ในคฤหาสน์นี้” จางหยางเฟิงกล่าว “น้องเมิ่ง เจ้ากับข้าจะปิดบังตัวตนและไปรอบๆรัฐเจียง หากเจ้าเห็นราชาอสูรหรืออสูรฟ้าแอบลอบเข้ามาด้วยควาเร็วของเจ้า เจ้าสามารถเข้ามาช่วยพวกข้าเมื่อไหร่ก็ได้”
“ขอรับ” เมิ่งชวนพยักหน้า
เมิ่งชวนเปลี่ยนเป็นชุดสีดํา เขาควบคุมเปลี่ยนกล้ามเนื้อและกระดูกบนใบหน้า เปลี่ยนใบหน้าให้ดูเย็นชาขึ้น ขนาดทรงผมเองก็เปลี่ยนไปเล็กน้อยเช่นกัน ในตอนนี้เขาดูเหมือนกับจอมกระบี่ท่องโลกาธรรมดาๆ
“คนพายเรือ ออกเรือได้”
มีแม่น้ําอยู่ในเมืองหลวงของรัฐเจียง เมิ่งชวนนั่งอยู่ในเรือที่มีหลังคาผ้าสีด่า เขานั่งดื่มสุราและกินกับแกล้ม ในขณะที่นั่งอยู่ในเรือ คนพายเรือก่อเรือไปตามแม่น้ําให้เรือไหลไปข้างหน้าอย่างช้าๆ
การนั่งเรือข้ามเมืองนั้นเป็นเรื่องปกติ แต่ว่าคนส่วนมากมักจะไปกับเพื่อนๆ การนั่งคนเดียวนั้นหายาก
คนพายเรือไม่กล้าพูดอะไรหลังจากที่ได้เห็นสีหน้าเคร่งขรึมของเมิ่งชวน
ขณะที่กําลังดื่มสุรา เมิ่งชวนก็ยุ่งกับการตรวจดูกระแสพลังในระยะสองรอบๆตัว พวกอสูรและสายลับอสูรฟ้านั้นต่างระมัดระวังเป็นอย่างมากหลังจากเข้ามาในเมืองของมนุษย์ เป็นไปได้ยากที่จะตามหาสายลับด้วยสายตาเพียงอย่างเดียว อย่างไรก็ตาม เพราะเขาสามารถจับกระแสพลังทุกอย่างในระยะสองล์ได้ด้วยขอบเขตการรับรู้ของเขา และจะไม่มีพลังอสูรในระยะที่จะหลุดรอดสายตาเขาไปได้
สมุนของนิกายอสูรฟ้าส่วนใหญ่นั้นไม่มีสิทธิ์ที่จะได้ฝึกฝนเคล็ดของนิกายอสูรฟ้า มีเพียงศิษย์ที่เข้าร่วมกับนิกายอสูรฟ้าจริงๆเท่านั้นถึงจะได้เรียนรู้เคล็ดวิชาของอสูรฟ้า ส่วนใหญ่ที่พวกมันรับใช้นิกายอสูรฟ้า นั่นก็เพราะเงินส่วนมากไม่รู้ด้วยซ้ําว่ากําลังรับใช้นิกายอสูรฟ้าอยู่
เขานั่งอยู่บนเรือเป็นเวลาครึ่งชั่วยามและไม่พบกับอสูรหรือนิกายอสูรฟ้าแม้แต่น้อย
แต่ก่อนเมืองหลวงของรัฐเจียงอยู่ภายใต้การดูแลของเฟิงโหวเทพอสูรตลอดเวลา เฟิงโหวเทพอสูรมีแก่นสารแห่งจิต ดังนั้นพวกเขาจึงสามารถรับรู้ถึงกระแสพลังได้ ศิษย์นิกายอสูรฟ้าต้องระมัดระวังตัวอย่างมากเป็นแน่ พวกมันคงส่งลูกน้องให้มาเก็บข้อมูลมากเสียกว่าจะมาด้วยตัวเอง
ในตอนนี้โลกมนุษย์กําลังโดนผลกระทบจากคลื่นใต้น้ํา เมื่อมองจากภายนอก ทุกอย่างดูเหมือนปกติ
เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ ประชากรของเมืองด่านขนาดเล็กและขนาดกลางทุกคนได้ดําเนินการย้ายที่อยู่หลังจากได้รับคําสั่งจากเขาหยวน ถ้ําสวรรค์ทรายดํา และเกาะสองโลก
แน่นอนว่าไม่ใช่ทุกเมืองด่านที่จะมีมนุษย์อาศัยอยู่ เมืองด่านบางเมืองอยู่กลางทะเลและถูกล้อมรอบไปด้วยน้ํา มีเพียงเทพอสูรเท่านั้นที่คอยปกปกป้องเมืองด่านเหล่านั้น กระทั่งทหารธรรมดาก็ยังไม่ถูกส่งไปเลยด้วยซ้ํา! นั่นเพราะทะเลอันกว้างใหญ่นั้นคือสิ่งกีดขวางขนาดใหญ่สําหรับอสูร แม้พวกมันจะออกจากเมืองด่านเหล่านั้นได้ พวกมันก็ต้องว่ายน้ําเพื่อขึ้นไปยังฝั่ง และอสูรพวกนั้นก็จะอยู่ได้ไม่นานเพราะเหล่าเทพอสูรจะคอยตรวจกวาดผ่านพื้นที่นั้นๆและสังหารอสูรทุกตัวที่พบ
มันเป็นเรื่องยากเกินไปที่จะข้ามมหาสมุทรอันกว้างใหญ่และไปถึงฝั่ง แต่นอกเหนือจากนั้นเมืองด่านขนาดเล็กและขนาดกลางส่วนมากก็มีมนุษย์ธรรมดาอาศัยอยู่
“เหล่าอสูรกําลังจะเปิดการโจมตีครั้งใหญ่ ประชากรของด่านเป่ยเหอทุกคนต้องย้ายออกไป เก็บข้าวของโดยไว พวกเราจะออกเดินทางในสองชั่วยาม”
ยามเช้าของวัน 27 กุมภาพันธ์
ทั้งด่านเป่ยเหอต่างตกอยู่ในความโกลาหล ผู้คนจํานวนนับแสนคนพบกับข่าวที่น่าตกใจ
“อสูรกําลังจะเริ่มการโจมตีครั้งใหญ่รี?”
“เราต้องย้ายออกไปรี? เราหยุดมันไม่ได้อย่างนั้นรึ?”
พวกเขารู้สึกลําบากใจที่จะต้องออกไปจากเมืองเกิดของตน พวกเขาอาศัยอยู่ในด่านเปยเหอมาตลอดทั้งชีวิต พวกเขาพบเจอการรุกรานของอสูรหลายครั้งทุกๆปี พวกเขารู้ดีว่าหากอสูรทะลวงผ่านด่านเป่ยเหอมาได้ คนจํานวนนับแสนจะถูกสังหารอย่างโหดเหี้ยม
ดังนั้นแล้ว ไม่ว่าพวกเขาจะลําบากใจมากแค่ไหน แต่ทุกๆ ครอบครัวก็เก็บข้าวของอย่างรวดเร็วและเตรียมพร้อมจะย้ายที่อยู่ โชคยังดีที่ผู้คนส่วนมากฝึกวิชายุทธตั้งแต่ยังเด็ก แต่มีน้อยคนนักที่จะไปถึงระดับชําระแก่นแท้ ส่วนมากอยู่ในระดับสร้างรากฐานและระดับกําเนิดปราณ สําหรับพวกเขาแล้ว การที่คนๆหนึ่งจะลากเกวียนที่หนักกว่าพันจิน(500กิโลกรัม)ได้อย่างง่ายดาย วัวและม้าลากเวียนนั้นมีน้อย ส่วนมากจะถูกลากโดยมนุษย์
เนื่องจากสํามะโนครัวของประชากรในด่านเป่ยเหอได้ถูกจัดการแล้ว ทุกคนจึงทําตามข้อตกลงในการย้ายถิ่นฐาน พวกเขากําลังเดินทางไปยังเมืองและมณฑลที่อยู่ใกล้ๆ เมืองเหล่านั้นอยู่ไกลจากด่านเป่ยเหอประมาณห้าสิบลี้ การเดินทางในระยะทางเช่นนั้นด้วยจํานวนคนเช่นนี้ถือเป็นเรื่องยากคงจะดีกว่าหากพวกเขาย้ายไปอยู่ใกล้ๆ
“มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะย้ายคนนับแสนในเวลาอันสั้น” เฟิงโหวเทียนซิงโหวยืนอยู่บนด่านเป่ยเหอและมองลงมา “ภูเขาและถนนหนทางนั้นไม่ได้เดินทางง่ายๆ คนจํานวนนับแสนต้องเดินทางไปกว่าห้าสิบลี้โดยที่ต้องเดินตัดภูเขา คงจะใช้เวลาเป็นเดือนสองเดือนกว่าจะไปถึงคงจะไวกว่านี้หลายเท่าหากเดินทางบนทางราบ”
“ใช่แล้วเจ้าค่ะ/ขอรับ” หลิวชีเยว่และฟานเฉิงพยักหน้า
เส้นทางภูเขานั้นคดเคี้ยวและแคบ พวกเขาถึงกับต้องเดินไปตามหน้าผาด้วยซ้ํา
“แม้พวกเขาจะย้ายไปอยู่ที่อื่นแล้ว พวกเราก็ยังคงต้องป้องกันต่อไป” เฟิงโหวเทียนซิงโหวกล่าว “ไม่เช่นนั้น ราชาอสูรระดับสามจะคุกคามต่อการย้ายของเมืองอื่น แผนการย้ายครั้งใหญ่นี้ต้องจบก่อนพวกเราถึงจะถอยออกจากเมืองด่านนี้ได้”
ตึงๆๆๆ! เสียงกลองก้องกังวาน
เฟิงโหวเทียนซิงโหวหันหัวกลับไป
ราชาอสูณระดับสามสามสิบห้าตัวกําลังเคลื่อนออกมาจากประตูพิภพยาวสอง อสูรเริ่มโจมตีแล้ว!
“เราพึ่งจะออกคําสั่งไป และทุกคนในเมืองจะออกเดินทางในอีกสองชั่วยาม” เฟิงโหวเทียนซิงโหวกล่าวพร้อมกับหัวเราะเยาะ “แต่พวกอสูรมันกลับเริ่มโจมตีแล้ว ข้าว่าคงมีสวะตัวไหนสักตัวที่ปล่อยข้อมูลออกไป!”
ในหมู่เทพอสูรมนุษย์ บางคนไม่ได้ทรยศต่อมนุษย์โดยสิ้นเชิง พวกเขายังอยู่ข้างมนุษย์ แต่ว่าบางที่ก็จะปล่อยข้อมูลออกไปเพื่อผลประโยชน์บางอย่าง