พี่น้องร่วมสาบาน ใต้แสงจันทร์อันเจิดจรัส - ตอนที่ 28 ขึ้นเขาอู่หลิง ฝึกวิชาหลิงชี่หยวนตัน (3)
- Home
- All Mangas
- พี่น้องร่วมสาบาน ใต้แสงจันทร์อันเจิดจรัส
- ตอนที่ 28 ขึ้นเขาอู่หลิง ฝึกวิชาหลิงชี่หยวนตัน (3)
ยี่สิบแปด
ขึ้นเขาอู่หลิง ฝึกวิชาหลิงชี่หยวนตัน (3)
ทั้งสองคนเดินเคียงข้างกันท่ามกลางท้องฟ้าที่ค่อยๆ มืดลง หุบเขาอันเวิ้งว้างมีเพียงเสียงร้องของนกที่โผบินไปมา หมอกปกคลุมไปทั่วบริเวณ ใบไม้เขียวขจีเป็นที่ซ่อนตัวของหนอนเขียวตัวน้อย
เขาอู่หลิงอุดมไปด้วยหลิงชี่ ยิ่งสูงเท่าไรก็ยิ่งรู้สึกสดชื่นเท่านั้น ซ่งฉืออ้าแขนกว้างรับอากาศบริสุทธิ์อย่างอดไม่ได้ ซึมซับลมเย็นโชยผ่านสองแขน มีเรื่องหนึ่งซึ่งต้องทำให้แล้วเสร็จ ราวกับกำหนดเส้นแบ่งให้แก่ชีวิตอันโง่เขลาทั้งสิบแปดปี หลังจากนั้นสวะเช่นเขาก็เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ
เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่พลางไปที่มองจี้ชิงเงียบๆ ก่อนจะแย้มยิ้ม “หากเจ้าชอบใครสักคน แต่ไม่อาจจะอยู่ร่วมกับเขาได้ แต่เจ้าชอบเขามาก เจ้าจะทำอย่างไร”
“เหตุใดถึงอยู่ด้วยกันไม่ได้” จี้ชิงหันมามองซ่งฉือด้วยแววตาดื้อรั้น
“โอ๊ย! ไม่มีเหตุผลหรอก ก็แค่อยู่ด้วยกันไม่ได้ แต่เจ้าชอบเขามากๆ เจ้าจะทำอย่างไร” ซ่งฉือหลบตาแล้วก้มลงหยิบหญ้าหางหมาขึ้นมาคาบไว้ที่มุมปาก
จี้ชิงก้มหน้าพร้อมกับถอนหายใจ ราวกับว่ากำลังครุ่นคิดถึงสาเหตุที่ทำให้อยู่ด้วยกันไม่ได้ “โลกกว้างใหญ่ไพศาล เต็มไปผู้คนมากมาย โอกาสได้พบคนที่ชอบมีเพียงน้อยนิด”
เสียงเรียบนิ่งของอีกฝ่ายก็เปลี่ยนเป็นหนักแน่น ซ่งฉือไม่กล้ามองหน้าจี้ชิงจึงได้แต่ฟังประโยคต่อไป ราวกับว่าเป็นคำสาปหรืออาจเป็นบทสวดที่สลักฝังลึกสู่สมองของเขา
“ต่อให้ข้าต้องแสร้งปล่อยเพื่อจับ12หรือว่าหลอกล่อด้วยคำลวง ขอเพียงแค่เขาอยู่กับข้า ข้าก็ยอมทำทั้งนั้น”
ซ่งฉือยิ้มมุมปากอย่างมีความสุข พยายามสะกดความพึงพอใจเอาไว้
เจ้าบื้อนี่ พูดถ้อยคำเอาแต่ใจออกมาเสียคล่องปากเชียว เจ้านี่มัน…
“เจ้ายิ้มอะไร” จู่ๆ จี้ชิงก็ถามออกมา
ซ่งฉือหุบยิ้มทันที “ข้ายิ้มด้วยรึ เปล่าเสียหน่อย ท้องฟ้ามืดแบบนี้ข้าว่าเจ้าคงตาฝาดไปเอง”
“ไม่ได้ยิ้มแล้วเจ้าทำอะไรล่ะ หรือว่ากล้ามเนื้อปากมันดึงเอาผิวหนังบางส่วนให้ขยับขึ้นไปกระนั้นรึ” จี้ชิงยื่นมือออกไปหยิกหน้าเขา
แม้ว่ามือของจี้ชิงจะเย็นเฉียบทว่าปลายนิ้วกลับอุ่น แตะเพียงครู่เดียวซ่งฉือรู้สึกเหมือนถูกทะลวงอย่างรวดเร็วระลอกแล้วระลอกเล่าจนกระทบกับหัวใจหิน
“จี้ชิง เจ้าทำอะไร ข้าเป็นพี่ชายเจ้านะ” ซ่งฉือกระโดดหนี “พี่น้องกันจะแตะเนื้อต้องตัวกันไม่ได้”
จี้ชิงกลอกตาใส่ซ่งฉือ ก่อนจะเดินไปข้างหน้าอย่างหงุดหงิด
โกรธ?
ซ่งฉือลดมือที่ปิดหน้าปิดตาลงแล้วมองไปที่หลังของอีกฝ่าย
โกรธจริงหรือนี่ เจ้าคนนี้!
“รอด้วยสิ! ข้าให้เจ้าหยิกก็ได้ อย่าโกรธเลยน่า”
เขาวนไปวนมารอบกายจี้ชิง ในที่สุดก็หยอกจนอีกฝ่ายยิ้มออก
ซ่งฉือพบว่าจี้ชิงเป็นหนึ่งในพวกที่ได้รับการเลี้ยงดูเอาใจใส่ไม่มากพอ หากเขากระทำบางอย่างที่มีความพิเศษด้วย หัวใจของฝ่ายนั้นก็จะใกล้ชิดเขามากขึ้น ถ้าหากนิ่งเงียบสักเจ็ดส่วน อัปลักษณ์อีกสามส่วน อย่าว่าแต่พูดคุยด้วยเลย จี้ชิงไม่แม้แต่จะปรายตามองด้วยซ้ำ หรืออาจจะถูกมองไม่ต่างจากลูกสุนัขข้างถนนเท่านั้น
“จี้ชิง ถ้าจอมมารทลายผนึกได้ เจ้ามีความมั่นใจเพียงใดว่าจะเอาชนะเขาได้”
ซ่งฉือครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ก่อนจะตัดสินใจถามอีกฝ่าย
จี้ชิงส่ายหน้า
“แม้แต่ส่วนหนึ่งก็ไม่มีรึ” ซ่งฉือถามด้วยความตกใจ “เจ้าปีศาจร้ายตนนี้มันร้ายกาจขนาดนี้เชียว”
จี้ชิงส่ายหน้าต่อ ถอนหายใจแล้วพูดว่า “ไม่ใช่ไม่มี เพียงแต่จอมมารชื่อเซียวสืบทอดวิทยายุทธ์ทั้งหมดของอ๋องปีศาจฉีเหลียนฮวา เหลียนฮวาท่องไปทั่วยุทธภพตั้งแต่เด็ก มีอำนาจครอบครองสามพิภพ ท่านอาจารย์เหลียนและท่านหลิงกุยก็ทำอะไรไม่ได้ ตอนนี้อิทธิฤทธิ์ของจอมมารยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเรื่อยๆ หากปล่อยไว้นานเข้า เกรงว่าใต้หล้าคงหวนกลับสู่สภาพเดิม”
“ฉีเหลียนฮวารึ” ซ่งฉือพูดเสียงอ่อน “โอ๊ะ ข้าเคยได้ยินชื่อฉีเหลียนฮวา มิใช่ว่าเป็นบัณฑิตรูปงามที่หายากในรอบสามพันปีของภพมนุษย์หรอกรึ หลังจากธาตุไฟเข้าแทรกเพราะความรักก็ยึดครองสามพิภพ เป็นคนที่น่าสนใจจริงๆ”
“เพียงแต่บันทึกในหนังสือค่อนข้างสับสน ข้าอ่านไปเกือบทั้งหมดแต่ก็มีหลายเรื่องที่ไม่อาจปะติดปะต่อได้ รู้แค่สุดท้ายฉีเหลียนฮวาก็สิ้นใจเพราะความรัก แม้เขาจะเคยทำชั่วแต่เมื่อแต่งงานแล้วก็นับว่าสงบเสงี่ยมลงไม่น้อย สุดท้ายก็ถูกคนรักใช้มีดแทงทะลุหัวใจ ซึ่งนับเป็นการชดใช้เช่นกัน” จี้ชิงส่ายหน้าอย่างเสียดาย
“ดูเหมือนว่าเจ้าสนใจเขามากนะ ไม่ค่อยได้ยินเจ้าพูดมากขนาดนี้” ซ่งฉือหัวเราะพลางสะบัดหญ้าหางหมา “เจ้าใส่ใจเพราะเขาหน้าตาดีใช่หรือไม่”
“เหลวไหล!” จี้ชิงถลึงตา
ซ่งฉือหัวเราะพลางโอบไหล่จี้ชิง ทั้งสองเดินมุ่งหน้าสู่แสงดาวที่ส่องสว่างอยู่บนยอดเขา
ทางเล็กๆ ที่เงียบสงัดทอดยาวคดเคี้ยวไปถึงยอดเขา ท้องฟ้ายามค่ำคืนปรากฏดวงดาวระยิบระยับไม่ต่างจากทางช้างเผือกที่ปกคลุมทั่วทั้งภูเขา
เช้ามืดวันรุ่งขึ้น ซ่งฉือที่กำลังสะลึมสะลือได้ยินเสียงจี้ชิงทำบางอย่างอยู่ด้านนอก เขาจึงใช้กระบวนท่าปลาหลีฮื้อกระโดดน้ำลุกจากเตียง ในใจคิดเพียงว่าจี้ชิงจะเข้าครัวหาเรื่องเดือดร้อนให้แก่ผู้คนอีกแล้วรึ
เขาเปิดประตู เห็นอีกฝ่ายกำลังวางกับข้าวและข้าวต้มสองชามลงบนโต๊ะ
ได้ยินเสียงเขา จี้ชิงก็เงยมองมาด้วยสายตาเรียบนิ่ง “ไปล้างหน้าล้างตาเสียก่อนแล้วค่อยมากินข้าว”
นี่…ซ่งฉือบิดขี้เกียจก่อนจะเดินไปดูอาหาร
เพียงแค่ข้าวต้มและผักดองสองชามนั้น ไม่เห็นต้องให้เขาทำอะไร…
“ข้าวต้มนี่ต้มได้ดีนะเนี่ย” เขามองข้าวต้มสองชามที่น้ำกับข้าวแยกออกจากกัน ก่อนจะเอ่ยชื่นชมพร้อมเสียงหัวเราะ
ใบหูของจี้ชิงเริ่มขึ้นสีแดงเรื่อ เขานั่งลงกินข้าวโดยไม่สนใจซ่งฉือ
“ไม่สิ คุณชายสาม เจ้าฝึกวิชาคนเดียวถึงเจ็ดปี ปกติกินข้าวอย่างไรเนี่ย แม้รูปร่างเจ้าจะดีแต่ก็เตี้ยกว่าข้าไปนิด ขาดสารอาหารนะเนี่ย ไม่ได้ๆ” ซ่งฉือล้างหน้าไป ปากก็บ่นไป…มิน่าเล่าจี้ชิงถึงเตี้ยกว่าเขาเล็กน้อย ทั้งยังอารมณ์แปรปรวนอีก
“เจ้า!” จี้ชิงวางชามลง แววตาเต็มไปด้วยความโกรธและอับอาย “ไม่เกี่ยวกับเจ้าเสียหน่อย”
“เกี่ยวสิ” ซ่งฉือเช็ดมือก่อนจะหย่อนกายนั่งข้างอีกฝ่าย เขาตบบ่าจี้ชิงเบาๆ จากนั้นก็ดันชามข้าวต้มไปข้างหน้า “เชื่อพี่เถิด ต่อไปมีพี่อยู่ข้างเจ้าแล้ว พี่จะทำอาหารดีๆ ให้เจ้ากิน เจ้ากำลังโต ดูของพวกนี้สิ ไม่ได้บำรุงร่างกายสักนิด”
ซ่งฉือพับแขนเสื้อขึ้น เขาก้มมองไปที่เสื้อสีเขียวแกมน้ำเงินของตัวเองแล้วมองไปที่จี้ชิง เขาไม่สวมเสื้อผ้าสีอ่อนหลายวันแล้ว เขาปลดสายรัดเอว “มาๆ เราสองคนเปลี่ยนเสื้อกัน ข้าสวมตัวนี้ไปทำงานมันจะสกปรกง่าย”
จี้ชิงจ้องเขาก่อนจะหันหลังไปปลดสายรัดเอวเพื่อถอดเสื้อนอกออก จากนั้นก็ส่งเสื้อให้ซ่งฉือโดยที่ไม่ได้หันกลับมา
ซ่งฉือมองตาขวาง ส่ายหน้าพร้อมกับหัวเราะพูดว่า “โตๆ กันทั้งนั้น แค่ถอดเสื้อออกเอง ไม่ใช่ว่าพวกเราเพิ่งเคยเห็นเสียหน่อย”
จี้ชิงกระแอมเบาๆ เขารู้สึกเพียงว่าการถอดเสื้อกลางแจ้งแบบนี้มันค่อนข้างน่าอาย
“รีบใส่เร็ว” ซ่งฉือใส่ของตัวเองเสร็จ ก็หยิบชุดเขียวแกมน้ำเงินคลุมลงไปบนตัวของจี้ชิง ส่วนจี้ชิงก็สวมใส่เสื้อผ้าอย่างระมัดระวังจนเสร็จเรียบร้อย จากนั้นก็หย่อนกายนั่งลงข้างๆ
ซ่งฉือเป็นคนตะกละ ชอบกิน แต่จี้ชิงกลับกินยาก ต้องคอยหลีกเลี่ยงอาหารบางอย่าง ซ่งฉือจึงต้มปลา ทำขนมข้าวโพด ต้มข้าวเหนียวแปดสมบัติกับตักน้ำแกงให้จี้ชิง
“เร็ว รีบมาชิมดู ซดเยอะๆ จะได้อ้วนท้วนสมบูรณ์ สูงใหญ่” ซ่งฉือส่งถ้วยน้ำแกงให้อีกฝ่าย
จี้ชิงปรายตามองพลางเอื้อมมือไปรับถ้วยน้ำแกง เขากระตุกยิ้มเล็กน้อย ไออุ่นของน้ำแกงปลาโชยเข้ามากระทบตา อากาศยามเช้ามืดค่อนข้างเย็น การได้ดื่มน้ำแกงร้อนๆ สามารถคลายความหนาวเย็นได้ไม่น้อย
กลิ่นหอมน่ากิน รสชาติกลมกล่อม
จี้ชิงมองไปยังซ่งฉือที่ยังวุ่นอยู่ตรงเตาไฟ ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าเมื่อคิดกลับไปถึงวันเวลาที่ฝึกวิชาเพียงลำพังแล้ว ตอนนั้นเขาโดดเดี่ยวเหลือเกิน