พี่น้องร่วมสาบาน ใต้แสงจันทร์อันเจิดจรัส - ตอนที่ 27 ขึ้นเขาอู่หลิง ฝึกวิชาหลิงชี่หยวนตัน (2)
- Home
- All Mangas
- พี่น้องร่วมสาบาน ใต้แสงจันทร์อันเจิดจรัส
- ตอนที่ 27 ขึ้นเขาอู่หลิง ฝึกวิชาหลิงชี่หยวนตัน (2)
ยี่สิบเจ็ด
ขึ้นเขาอู่หลิง ฝึกวิชาหลิงชี่หยวนตัน (2)
เขามีพี่น้องร่วมสาบานอยู่ข้างกาย เกรงว่าท่านเซียนอู่หลิงจะลืมไปว่าซ่งฉือเป็นมีความสำคัญต่อเขามากมายเพียงใด
ไม่ว่าจะอยู่ที่เจียงอินหรือจัวลู่ ทุกคนต่างรู้ดีว่าซ่งฉือไม่ต่างอะไรจากเศษขยะที่เกาะตำแหน่งคุณชาย ไม่ต่างจากตุ๊กตาแพรปักที่ภายในเต็มไปด้วยฝ้าย ไอ้ขี้เมาที่ผู้คนไม่อยากเฉียดเข้าไปใกล้กลับถูกคุณชายสามจี้ผู้สูงส่งเอาใจใส่และพูดถึงขนาดนี้ ทั้งที่คุณชายสามจี้มีสถานะเป็นถึงลูกศิษย์ก้นกุฏิของเซียนอู่หลิง
“ถูกคุณไสยอะไรมารึ ไปสงบสติอารมณ์ในห้องมืดซะ!” ท่านเซียนเขาอู่หลิงถลึงตาด้วยความโกรธ ก่อนจะไล่เด็กหนุ่มผู้เมารักเข้าไปในห้องมืด จากนั้นก็ลากซ่งฉือเข้าไปด้านใน
“เรื่องนี้ท่านโทษข้าเถอะขอรับ จี้ชิงเป็นคนที่รักเพื่อนพ้อง ท่านเซียนไปลงโทษเขาทำไม!” ซ่งฉือดิ้นรนเพื่อไปหาจี้ชิง
“อยู่นิ่งๆ!” เซียนอู่หลิงสั่งให้เขา “เจ้าจะไปทำไม! แค่นี้ยังทำให้เขาลำบากไม่พออีกรึ”
“ข้า…” ซ่งฉือเถียงไม่ออก
“เขาทำเพื่อเจ้าขนาดนี้ ข้าก็ย่อมต้องช่วยเจ้าอยู่แล้ว” ท่านเซียนอู่หลิงนั่งอยู่บนเบาะ ก่อนจะผายมือเป็นเชิงให้ซ่งฉือนั่งลง
ซ่งฉือก็สะบัดชายเสื้อคลุมนั่งลงพร้อมกับขมวดคิ้ว
“หลับตาแล้วรวมรวบพลังปราณซะ”
เมื่อท่านเซียนโบกมือ แสงสีเงินก็ปรากฏอยู่รอบตัวของซ่งฉือ สายลืมเย็นพัดผ่าน รอบกายเงียบสนิท
“แสงจันทราแลอาทิตย์ หลิงชี่ดับสิ้น” ท่านเซียนอู่หลิงขมวดคิ้ว “ตั้งจิตให้มั่นมุ่งสู่อินหยางในครั้งเดียว”
“อา…” ซ่งฉือครางออกมาอย่างห้ามไม่ได้ เขารู้สึกเหมือนกับมีลมเย็นปกคลุมไปทั่วทั้งหน้าอก อวัยวะทั่วร่างกำลังดิ้นไปมาระหว่างอินกับหยางจนเจ็บปวดราวกับถูกฉีกเป็นชิ้นๆ
“อดทน”
เซียนอู่หลิงโบกไม้โบกมือ พลังหยางบุกทะลวงเข้าไปในร่างกายของเขาและกำลังต่อกรกับไอเย็นอย่างดุเดือด
หลังจากผ่านไปนาน เมื่อซ่งฉือรู้สึกเจ็บปวดจนเกือบจะทนไม่ไหว ท่านเซียนอู่หลิงขมวดคิ้วพลางเก็บรวบสองมือกลับเข้ามา ซ่งฉือใช้มือกุมหน้าอกจากนั้นก็ล้มลงไปกับพื้น
ท่านเซียนอู่หลิงไม่อยากเชื่อ เขาบีบมือแน่นก่อนจะเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้”
“อะไรหรือขอรับ” ซ่งฉือจับเสื้อแล้วค่อยๆ ดึงตัวขึ้นมา
“ตอนนี้หยวนตันในตัวเจ้าถูกไอเย็นผนึกไว้ ต้องอาศัยพลังหยางมาช่วยให้ความอบอุ่นไปเรื่อยๆ รอจนหยวนตันของเจ้าทลายนำแข็งออกมา เจ้าถึงจะสามารถฝึกฝนได้” ท่านเซียนอู่หลิงลูบคลำที่หน้าอกพลางถอนหายใจ “เพียงแต่พลังไอเย็นนั้นรุนแรงมาก จะสามารถปลดผนึกได้หรือไม่นั้นล้วนขึ้นอยู่กับเจ้า”
“ไปเรื่อยๆ รึ” ซ่งฉือใช้มือคลำที่หน้าอกแล้วลุกขึ้นยืน “ไปเรื่อยๆ จนถึงเมื่อไรขอรับ”
ท่านเซียนอู่หลิงส่ายหน้า “เรื่องแบบนี้ข้าเองก็ตอบไม่ได้”
ซ่งฉือพยักหน้า “ขอบคุณขอรับท่านเซียน”
เขาหมุนตัวกลับพร้อมจับกระบี่ซุ่ยหานไว้ในมือ “ถ้าใช้พลังหยางทลายจะเป็นอย่างไรหรือขอรับ”
“เลือดทะลักทั้งเจ็ดทวารจนตาย เจ้าหนุ่มน้อย เจ้ายังมีชีวิตอีกยาวไกล อย่าได้หุนหันพลันแล่นนัก” เซียนอู่หลิงลูบเคราพลางรินน้ำชา
“ข้าไม่เคยหุนหันพลันแล่นมาก่อน…” ซ่งฉือพึมพำ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ จะปกป้องอนาคตที่ไม่แน่นอนไปเพื่ออะไร ลองสู้สักตั้งเสียยังดีกว่า”
“จิตใจฟุ้งซ่าน” เซียนอู่หลิงจิบน้ำชา “มนุษย์มีเพียงชีวิตเดียว มีเรื่องอะไรให้กังวลนัก ก็แค่ปล่อยให้เมฆมันลอยตามธรรมชาติไปซะ”
ซ่งฉือหัวเราะฝืดๆ “ข้าควรทำเช่นไรขอรับ”
“เฮ้อ” เซียนอู่หลิงถอนหายใจ “พวกเจ้าเหมือนกันไม่มีผิด”
ซ่งฉือคิดว่าอีกฝ่ายพูดถึงจี้ชิงจึงไม่ได้โต้ตอบ ผ่านไปอีกสักพักท่านเซียนอู่หลิงก็เอ่ยขึ้น
“บนยอดเขามีแท่นเรียบๆ อยู่แท่นหนึ่ง กระท่อมอีกสี่ห้าหลัง มีน้ำพุร้อน ฝึกวิชาที่นี่สักปี หากได้ผล…เรื่องอื่นๆ ก็จะสำเร็จเอง”
“ปีหนึ่งเชียวรึ” ซ่งฉือหลบตา ก่อนจะนึกถึงคำพูดของจี้หลิน ‘ลูกผู้ชายสิบปีล้างแค้นก็ยังไม่สาย’
มีผู้คนมากมายตายด้วยน้ำมือของอสุรกายเหล่านี้ ไม่หลงเหลือแม้เพียงซากศพ ไม่มีแม้กระทั่งหลุมศพไว้ให้เซ่นไหว้ ทั้งศิษย์พี่ศิษย์น้อง รวมถึงท่านพ่อ เขาไม่มีใครสักคนให้บอกด้วยซ้ำว่าเขาได้รับกระบี่ที่ท่านแม่มอบให้แล้ว และเขาชอบมันมาก เรื่องราวมากมายถูกเก็บซ่อนไว้ที่เจียงอินที่ซึ่งปกคลุมไปด้วยเมฆดำทะมึน ความจำทั้งหมดในวัยเด็กของเขาถูกรอยเลือดของญาติมิตรผนึกเอาไว้
“ต่อให้นานเป็นสิบปี ซ่งฝูอี้ก็จะไม่ลังเล” ซ่งฉือหันกลับไปคุกเข่าลงข้างหนึ่ง ดูท่าทางเศร้าโศกทว่าก็เต็มไปด้วยความด็ดเดี่ยว
หนึ่งปีก็แค่ชั่วพริบตาเท่านั้น สิบปีเพียงหลับตาก็ผ่านไปแล้ว
ตราบใดที่ยังมีแสงแห่งความหวัง ผู้คนที่อยู่ในเงามืดก็ต้องไล่ตามแสงนั้น
โดยปกติซ่งฉือเกียจคร้าน แต่เมื่อเผชิญกับความแค้น เขาก็คิดได้อย่างถ่องแท้…ไม่มีความแค้นใดที่จะสามารถล้างแค้นได้ภายในชั่วข้ามคืน เขาทำได้เพียงโอบกอดหัวใจที่ใกล้แหลกสลายให้มีชีวิตอยู่ต่อ การล้างแค้นเท่านั้นที่ยังทำให้เขาพอมีความหวังอันริบหรี่
“พวกเราไม่ควรให้อสุรกายรอดชีวิตไปสักตน” ท่านเซียนอู่หลิงถอนหายใจพลางลุกขึ้นยืน ดูท่าทางราวกับกำลังระลึกความหลังมากมายเพื่อหยิบมาพูดคุย
“โลกในตอนนี้คงจะไม่มีวันสงบสุขเป็นแน่ ชนเผ่าว่านหลิงกล้าวางอำนาจบาตรใหญ่แบบนี้ เกรงว่าคงได้ข่าวเรื่องการกลับมาของจอมมารชื่อเซียวเป็นแน่ การทำลายหอไห่ถังก็เป็นความประสงค์ของจอมมารนั่นแหละ”
“เขา” ซ่งฉือเบิกตากว้าง ทิ้งตัวคุกเข่าลงพื้น นัย์นตาแดงก่ำก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “ผู้คนมากมายต้องตาย จะปล่อยให้พวกเขาตายอย่างเสียเปล่าได้อย่างไร”
“เรื่องนี้สวรรค์ไม่ยุ่ง เซียนไม่ขอเกี่ยว ดังที่โบราณว่าไว้ ทุกสิ่งล้วนถูกลิขิตไว้แล้วไม่อาจแก้ไข หากจอมมารกำลังจะกลับมาอีกครั้งเพื่อสร้างภัยพิบัติให้แก่โลกมนุษย์ ก็ต้องมีใครสักคนมากำราบให้สิ้นซากได้อย่างแน่นอน”
ท่านเซียนอู่หลิงลูบเคราพลางมองออกไปนอกหน้าต่าง
“ความจริงอีกไม่กี่วันก็จะถึงวันที่เจ้าสามเลื่อนขั้นเป็นเซียน ทั้งยังเป็นวันเกิดครบสิบแปดปีของเขาอีกด้วย” เขาเดินไปหยุดที่หน้าต่าง แสงอาทิตย์อัสดงนั้นสว่างไสวงดงาม “ข้าถามเขาว่ามันคุ้มกันหรือไม่ เขาบอกว่าบนโลกใบนี้ไม่มีสิ่งใดมาเปรียบเทียบว่าคุ้มหรือไม่ ต้องทำเสียก่อนแล้งจึงจะรู้เอง เขาบอกว่าเลื่อนขั้นเซียนไม่สุขเท่าเป็นมนุษย์ น่าเสียดายที่ข้าสอนเขามานานถึงเจ็ดปี แต่กลับไม่รู้เลยว่าเขาใส่ใจเรื่องทางโลกและรักพวกพ้องเช่นนี้” ท่านเซียนอู่หลิงเอ่ยพลางหัวเราะ “ท่านตันชิวมองคนผิดไปเพียงครั้งเดียว จี้อวิ๋นฉงหาใช่คนเย็นชาดังเช่นภายนอกไม่”
“จี้ชิง…” ซ่งฉือเงียบไปชั่วขณะ เขาคุกเข่าโดยใช้กระบี่ยันไว้กับพื้น “ความจริงเขาควรที่จะได้บรรลุขึ้นเซียนอย่างผ่องใส แต่เป็นเพราะข้าคนเดียวที่ฉุดรั้งเขา…”
“เจ้าพูดเช่นนี้ก็เท่ากับบิดเบือนความหมายของข้า” ท่านเซียนอู่หลิงถอนหายใจ “ผู้เป็นเซียนต้องอยู่ในระเบียบวินัย มีหลายเรื่องที่พูดความจริงไม่ได้ แต่ก็มีหลายเรื่องที่เปลี่ยนจากเคราะห์เป็นเรื่องดี ทุกอย่างอยู่ในกำมือ เขาหลบเลี่ยงแบบนี้ไม่ใช่เพียงเพราะแค่ไม่สบายใจในการบรรลุขั้นเซียนเท่านั้น”
ท่านเซียนอู่หลิงตบที่บ่าเขา “เขาอยากช่วยเจ้า”
วันนั้นเขาเรียกอีกฝ่ายกลับมา ให้คุกเข่าก็ไม่ยอม ถามถูกถามผิดอย่างไรก็ไม่ยอมตอบ เขาต้องบังคับจนถึงที่สุดจี้ชิงจึงยอมที่จะค่อยๆ คุกเข่าลงไป เอากระบี่หลิงหานวางไว้ข้างๆ ยืดอกผายไหล่ผึ่ง เขาไม่ได้สวมชุดจันทราส่องนทีก็เหมือนกับคนธรรมดาคนหนึ่ง เพียงแต่ได้ฝึกวิชาที่เหนือกว่าผู้คนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น หากปราศจากสถานภาพที่ชัดเจนนี้ ลูกศิษย์ก้นกุฏิของเขาผู้นี้ก็ไม่ต่างจากนักพรตธรรมดาผู้หนึ่งบนโลก
แววตาของเขาไม่ได้ส่องประกายเจิดจรัสอีกต่อไป แต่กลับเต็มไปด้วยความอาลัยอาวรณ์ ไม่ยอมแพ้ รวมถึงความแน่วแน่
“ยังไม่ยอมรับผิดอีกรึ” เขาโมโหจนมือไม้สั่น
“ท่านอาจารย์!” จี้ชิงคร่ำครวญ คิ้วของเขางดงามแสดงถึงความรุ่งโรจน์ ริมฝีปากบางเริ่มขยับช้าๆ “หากจะบอกว่าอวิ๋นฉงผิดละก็ คงผิดที่หลงรักใครเข้าสักคน ไม่เกี่ยวกับเพศ และไม่เกี่ยวว่าเป็นใครด้วย”
“จี้อวิ๋นฉง!” ท่านเซียนอู่หลิงถอนหายใจ “รู้หรือไม่ว่าหากเจ้าละทิ้งการเลื่อนขั้นเป็นเซียนไปตอนนี้มันหมายความว่าอย่างไร”
“หมายความว่าอวิ๋นฉงจะไม่มีวันมีคุณสมบัติเป็นเซียนอีกต่อไป”
“เจ้าก็รู้ดีนี่!”
“ดีๆๆ”
ท่านเซียนอู่หลิงที่กำลังโกรธจัดหันไปมองก็พบท่านตันชิวกำลังเดินปรบมือเข้ามา ท่านตันชิวคลี่พัดออกพลางพินิจพิเคราะห์จี้ชิงตั้งแต่หัวจดเท้า
“ใช้ได้ทีเดียว พอมีความเป็นมนุษย์ขึ้นมาบ้างแล้ว”
“ตันชิว!” ท่านเซียนอู่หลิงขมวดคิ้ว
“โลกนี้หนอยังขาดคนมากอบกู้ เรื่องนี้ข้าเข้าใจดี ซ่งฝูอี้มีแต่ใจแต่ไร้ความสามารถ ส่วนเจ้า…ภายในแตงคด พุทราปริยังคงเป็นเมล็ดพันธุ์อันงดงาม เจ้าช่วยเขาก็ดีแล้ว”
“ตันชิว” ท่านเซียนอู่หลิงชี้ไปที่จมูกของท่านตันชิว “นี่คือลูกศิษย์ของข้า ของข้า!”
“ตาเฒ่าเอ๊ย! หัดมองโลกให้กว้างเสียบ้าง เด็กๆ โตวันโตคืน สุดท้ายก็จะวิ่งไปเองได้ ส่วนจะวิ่งกับหมูหรือวิ่งไปกับคู่บุพเพก็ไม่ใช่สิ่งที่พวกเราจะต้องไปวิตกกังวล” ท่านตันชิวโบกพัดไปมาแล้วตบที่บ่าของท่านเซียนอู่หลิง “มาร่ำสุรากับข้าดีกว่า”
“เจ้าก็หวังให้เขาเป็นเช่นนี้อยู่แล้วนี่!” ท่านเซียนอู่หลิงเดินออกไปด้วยความโมโห
พอถึงที่หน้าประตู เขาก็หันกลับไปบอกว่า “ข้าขอเตือนเจ้าเสียหน่อย เจ้ามีรอยสักห่านป่าแล้ว จะทำอะไรก็ระวังไว้แล้วกัน”
จี้ชิงหูแดงขึ้นมาทันที “ทะ…ทราบแล้วขอรับ”
เรื่องราวต่างๆ เหล่านี้ท่านเซียนอู่หลิงไม่ได้เล่าให้ซ่งฉือฟังทั้งหมด เพียงแค่บอกว่าที่จี้ชิงอยู่ต่อก็เพราะเขาเป็นสาเหตุใหญ่ เพื่อช่วยเหลือเขา ช่วยเขาจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย
ซ่งฉือฟังแล้วรู้สึกสะเทือนใจยิ่ง น้ำตาไหลอาบแก้มโดยไม่รู้ตัว
ตอนแรกบอกว่าทำเพื่อตัวเอง พูดอ้อมไปอ้อมมา ที่แท้ก็ทำเพื่อเขา เป็นเพียงพี่น้องร่วมสาบานที่พบกันโดยบังเอิญกลางป่าเขาเท่านั้น แต่จี้ชิงกลับมีความจริงใจมากมายขนาดนี้
โง่…โง่จริงๆ
จี้ชิงรออยู่ในห้องเป็นเวลานาน ทุกครั้งที่เขานั่งลงกลับไม่อาจจะรวมรวบสมาธิทำจิตใจให้สงบลงได้ เขากังวลว่าซ่งฉือไม่สามารถทนต่อหลิงชี่ของอาจารย์ได้
เขาลูบคลำที่รอยสักห่านป่าของเขา รู้สึกร้อนผ่าว
จี้ชิงกางฝ่ามือออกก่อนจะแตะไปที่รอยสักเพื่อใช้หลิงชี่สะกดให้ไม่มันแดงจนเกินไป
มีเสียงฝีเท้าคนเดินอยู่ด้านนอก เป็นจังหวะหนักเบาที่คุ้นหู
ดวงตาส่องประกายแววท่ามกลางความืด เขารีบลุกขึ้นยืน แล้วเดินไปที่ด้านนอกของประตู
ซ่งฉือยืนนิ่งพร้อมกระบี่ที่อยู่ด้านหลัง สายลมเย็นพัดโชยพัดผ่านชายเสื้อและรอยยิ้มของเขา แววตาของบุรุษวัยเยาว์เต็มไปด้วยความแน่วแน่และเคร่งขรึม ซ่งฉือกางแขนทั้งสองข้างก่อนจะวิ่งเข้ามาหา จี้ชิงชะงักไปก่อนจะอ้าแขนออกอย่างไม่รู้ตัว ปล่อยให้สายลมเคล้ากลิ่นผกาจากร่างของอีกฝ่ายเข้ามาสู่อ้อมกอดของตนเอง
ทุกสิ่งพลันเงียบสนิท ชั่วขณะหนึ่งเขาไม่ได้ยินเสียงลมหรือเสียงนกร้อง ไม่ได้ยินเสียงดอกไม้ร่วงลงพื้น เขาได้ยินแต่เสียงลมหายใจเบาๆ ที่ข้างหูเท่านั้น เป็นลมหายใจอันร้อนรุ่มเผาไหม้บนผิวหนังของเขา
จี้ชิงเผลอกอดตอบอีกฝ่าย ก่อนจะซบลงไปบนไหล่ของซ่งฉือ เขาหลับตาลง กลิ่นกายของอีกฝ่ายฟุ้งกระจายอยู่ที่ริมฝีปาก
“ขอบใจเจ้ามาก” ซ่งฉือโอบกอดเอวของจี้ชิงไว้แน่น “ขอบใจเจ้ามาก จี้ชิง”
ขอบใจที่จำเรื่องราวทุกอย่างของข้าไว้ในใจเจ้า
เริ่มจากหยกชิ้นนั้นที่มอบให้อาจิ่ง จนถึงการไปร้องขอให้ท่านอาจารย์ช่วยเขาฟื้นฟูหยวนตัน
จากเจียงอินถึงจัวลู่ จนกระทั่งมาถึงเขาอู่หลิง ตั้งแต่ต้นจนจบอีกฝ่ายไม่เคยมองว่าเขาเป็นแค่เศษขยะ จี้ชิงช่วยเหลือเขามาตลอดโดยไม่บ่นสักคำ นับเขาเป็นเพื่อน เป็นเพื่อนเพียงคนเดียว