การกลับมาของฮีโร่ - ตอนที่ 175
ตอนที่ 175
การทดสอบระดับความยาก 8 ชั้นที่ 70 คราคร่าไปด้วยกับดักและฝูงมอนสเตอร์น้อยใหญ่นับไม่ถ้วน ซ้ําร้าย ยังมีกุญแจมือและโซ่ตรวนถ่วงน้ําหนักผู้ตื่นขึ้นที่เข้ารับการทดสอบอีกด้วย
“แฮ่ก แฮก!”
ปัจจุบันฮักจนกําลังจ่อมกันนั่งพัก หายใจหอบเหนื่อยอย่างหนัก หลังจากวางดาบไปข้างกาย เขากวาดตามองบริเวณรอบๆ สภาพแวดล้อมรอบตัวมีแต่ซากศพมอนสเตอร์และกับดักที่แตกละเอียดเป็นชิ้นๆ ถ้ําที่ฮักจนอยู่ ในตอนนี้คับแคบเป็นอย่างมาก พื้นที่ในการเคลื่อนไหวจึงมีจํากัด
<< เหนื่อยกว่าที่คิดแฮะ >>
[อัตราความสําเร็จ: 50 เปอร์เซ็นต์
โคุณจะยุติการทดสอบหรือไม่?]
หลังกัดฟันกระเสือกกระสนเดินในถ้ําที่ยาวสุดลูกหูลูกตามาหลายชั่วโมง ในที่สุดฮักจนก็เดินมาถึงครึ่งทาง
ระหว่างการเดินทางฮักจนเกือบเสียชีวิต 2-3 ครั้ง และเขาต้องออกลีลาผาดโผนสุดตราตรึงใจ เพื่อหลบเลี่ยงกับดักทั้งหลายแหล่ที่พุ่งโจมตีจากทั่วทิศหมายเอาชีวิต นอกจากกับดักที่ซ่อนอยู่ตามทางแล้ว ยังมีมอนสเตอร์โผล่ออกมาจากผนังถ้ําเรื่อยๆเป็นระยะ พวกมันพยายามเล็งโจมตีบริเวณลําคอของเขาอย่างไม่ลดละ เมื่อ ใดก็ตามที่มีเวลาพัก ฮักจนมักนั่งขบคิดกับตัวเองเสมอว่า สมมุติมีหลายชีวิต ไม่รู้ต้องตายกี่ครั้ง ถึงจะสามารถออกจากถ้ําแห่งนี้ได้โดยที่ยังมีลมหายใจ..
ทุกครั้งที่สูดหายใจเข้าฮักจุนจะรู้สึกเจ็บแปลับๆที่หน้าอก ร่างกายของเขาบอบช้ํามาก จําเป็นต้องนั่งพักครู่ใหญ่ เพื่อฟื้นฟูสภาพร่างกายให้กลับมาเป็นปกติ
ฮักจนลองยกแขนขึ้น ความหนักที่ถ่วงข้อมือไว้ ทําให้ยกแขนได้ลําบาก ไม่ใช่เพราะความเหนื่อยล้าแต่อย่างใด
<<กุญแจมือนี่ ทํามาจากอะไรกันแน่….? >>
ข้อมือทั้ง 2 ข้างของฮักจนถูกล็อกแน่นด้วยกุญแจมือ
แม้ลักษณะภายนอกจะคล้ายกับกุญแจมือของตํารวจบนโลกมนุษย์ แต่ฮักจนรับรู้ได้ถึงความแตกต่างชัดเจน กุญแจมือที่กําลังล็อกข้อมือเขาทั้งทนทานและมีน้ําหนักมาก
ตั้งแต่เริ่มต้นการทดสอบ ฮักจนพบว่าแขนและขาขยับเขยื้อนได้ยากยิ่ง เพราะมีกุญแจมือและโซ่ตรวนถ่วงน้ําหนักทั้งข้อมือและข้อเท้า น้ําหนักที่ฮักจนรู้สึกได้ตอนนี้ ไม่ต่างกับแบกรถยนต์นั่งขนาดเล็กไว้บนหลังเลย
ด้วยว่าน้ําหนักถ่วงร่างกาย ส่งผลกระทบให้การออกท่วงท่าต่อสู้ของฮักจนไม่คล่องแคล่วเหมือนเก่า การเคลื่อนไหวร่างกายเฉื่อยชาเดาทางได้ง่าย
และที่แย่ไปกว่านั้น ยิ่งเดินลึกเข้าไปในถ้ํา อุปสรรคต่างๆที่พบเจอไม่ว่าจะเป็นมอนสเตอร์หรือกับดัก ทุกอย่างล้วนอันตรายขึ้นและยากต่อการจัดการ
<< สงสัยจังว่าฉันจะไปได้อีกไกลแค่ไหน? >>
ฮักจนหวนรําลึกถึงถ้อยคําที่ซูฮยอนเคยกล่าวให้ฟัง…
“จะเป็นการดีที่สุด หากนายสามารถบรรลุการทดสอบด้วยอัตราความสําเร็จ 100 เปอร์เซ็นต์ผลตอบแทน และของรางวัลที่นายได้รับตอนท้าย จะได้เยอะขึ้นกว่าปกติ และส่งผลให้การทดสอบชั้นถัดไป เคลียร์ได้ง่าย นอกติดหนึ่ง”
ซูฮยอนพูดได้ถูกต้อง
แต่เอาเข้าจริงๆ การบรรลุอัตราความสําเร็จ 100 เปอร์เซ็นต์ แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย พูดด้วยลมปากมันง่าย แต่ลงมือทํามันยาก ฮักจนปักใจเชื่อแบบนั้น
ฮักจนผ่านเงื่อนไขเบื้องต้นของการทดสอบเรียบร้อยแล้ว อัตราความสําเร็จ 50 เปอร์เซ็นต์ นับเป็นผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยม หากยังฝืนดันทุรังเดินหน้าต่อ เขามีสิทธิ์เสียชีวิตหรือไม่ก็อาจได้รับบาดเจ็บสาหัส
แต่ถึงอย่างนั้น…
<< ฉันจะไม่ยอมหยุดลงเพียงเท่านี้แน่ >>
ถ้าหากเป็นฮักจนคนเก่า ที่ยังมีความคิดอ่านแบบเดิม คงยอมหยุดลงตั้งแต่ตรงนี้แล้ว…
แต่ตอนนี้ฮักจุนยกเครื่องปรับเปลี่ยนโครงสร้างมโนทัศน์ของตัวเองกลายเป็นคนใหม่ หากยังมีความคิดแบบเดิมและสิ้นสุดการทดสอบลงตรงนี้ เขาคงไม่สามารถก้าวหน้าต่อไปได้และไม่แคล้วย่ําอยู่ที่เดิม
<< ฉันจะมุ่งหน้าต่อไป ตราบเท่าที่ร่างกายของฉันยังไหว >>
ดวงตาของฮักจนสว่างวับแวบ ความมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยวฉายประกายอยู่ในแววตานั้น เขารู้สึกไม่พอใจความแข็งแกร่งในปัจจุบันของตัวเอง เขาปรารถนาอยากแข็งแกร่งยิ่งกว่านี้…
ภาพเหตุการณ์จากฝันร้าย ยังวนเวียนอยู่ในหัวฮักจุนไม่หายไปไหน อนาคตที่ทุกคนหนีไม่พ้นความตาย ทั่วโลกเต็มไปด้วยมอนสเตอร์และดันเจี้ยน ที่ยกตัวอย่างมาทั้งหมด คืออนาคตที่ซูฮยอนหวาดกลัว
และเป็นเหตุผลให้ซูฮยอนดิ้นรนขวนขวายหาความแข็งแกร่ง เพื่อให้มั่นใจว่า อนาคตที่โหดร้ายแบบนั้นจะไม่มีทางอุบัติขึ้น ดีไม่ดีหากเกิดเหตุการณ์อย่างที่ว่าขึ้นจริง ซูฮยอนคงไม่ลังเลใจ วิ่งสะอึกเข้าใส่พร้อมใช้ความแข็งแกร่งทั้งหมดของตัวเองเข้าปะทะ ฮักจุนเริ่มตระหนักชัดแล้วว่า ความกังวล ความหวาดกลัว และภาระที่ซูฮยอนแบกรับไว้บนบ่า ยิ่งใหญ่ขนาดไหน…
“ถึงเวลาลุยต่อ”
เวลาที่ฮักจนใช้พักผ่อนเอาเรี่ยวแรงให้ร่างกายหายเหนื่อยกินเวลาไปทั้งสิ้น 30 นาที ซึ่งเป็นระยะเวลาที่กําลังพอดี ไม่สั้นหรือนานเกินไป
การต่อสู้ที่ผ่านมา ฮักจนพยายามถนอมพลังเวทเอาไว้ตลอดทาง เขาจึงมีพลังเวทในร่างกายเหลือเพียงพอ สําหรับการเดินหน้าต่อ ในเมื่อร่างกายยังเคลื่อนที่ไหว เขาก็พร้อมที่จะบุกป่าฝ่าดง
“หยุดพักการต่อสู้นานเกินไปไม่ใช่ความคิดที่ดี หากไม่คิดฟื้นฟูพลังเวทที่เสียไประหว่างทางก็ไม่ควรหยุดพักแม้แต่วินาทีเดียว เพราะการที่หยุดพักนานๆ จะทําให้ร่างกายเย็นลง สัญชาตญาณการต่อสู้และปฏิกิริยาการตอบสนองจะเฉียบคมมากที่สุด ก็ต่อเมื่อร่างกายมีความอบอุ่นหล่อเลี้ยง
ฮักจนล้วงกระเป๋าหยิบลูกอมเม็ดกลมๆออกมา ก่อนจะโยนลูกอมเข้าไปในปาก
กรุบ!! กรุบ!!
ลูกอมรสหวานเริ่มละลายในปาก ฮักจนสัมผัสได้ว่าร่างกายกําลังได้รับการเติมเต็มจากแหล่งพลังงานสายหนึ่ง ความอบอุ่นโคจรไปทั่วร่างกาย แววตาที่เคยอ่อนล้า ฟื้นฟูกลับมาอยู่ในสภาพคมกริบดุจดาบเหล็กกล้าอีกครั้ง
แม้อวัยวะบางส่วนในร่างกายจะยังได้รับบาดเจ็บอยู่ แต่เรี่ยวแรงของฮักจนกลับคืนสู่สภาพเดิมเกือบจะสมบูรณ์แล้ว ไม่ต่างกับคมดาบที่พร้อมสะบั้นสรรพสิ่ง
<< เท่านี้ก็เดินหน้าต่อได้แล้ว >>
ฮักจนนึกสงสัย อยากรู้ว่าคนอย่างซูฮยอนเคยตกระกําลําบากเหมือนกับเขาบ้างไหม คิดจนหัวแทบระเบิดก็จินตนาการภาพไม่ออก
ซูฮยอนเป็นคนประเภทข่มความรู้สึกเก่ง ไม่แสดงอาการให้คนอื่นเห็นง่ายๆ ตอนแรกฮักจนคิดว่าบรรยากาศเย็นชาที่คล้ายเมินเฉยทุกสิ่งทุกอย่างของซูฮยอน คืออุปนิสัยเฉพาะตัวและเป็นเคล็ดลับความแข็งแกร่งที่ผิดมนุษย์มนาของเขา
แต่เหมือนจะไม่ใช่อย่างที่ฮักจนคิด เมื่อไม่นานฮักจนเริ่มหูตาสว่างเล็งเห็นถึงความจริง ภาระที่ซูฮยอนแบกรับไว้บนบ่า หนักยิ่งกว่ากุญแจมือหรือโซ่ตรวนที่กําลังจองจําเขาหลายร้อยหลายพันเท่า
เพราะฉะนั้น ฮักจนจะไม่ยอมถอดใจ หยุดลงแค่ตรงนี้เด็ดขาด…
“คุณลูกค้าที่เคารพรัก มาได้จังหวะเหมาะเจาะพอดี ไอเทมที่คุณลูกค้าสั่งจองไว้ ทางเราจัดเตรียมไว้ให้เสร็จเรียบร้อยหมดแล้วครับ”
เมื่อกลับเข้ามาในโลกหอคอยแห่งการทดสอบ สิ่งแรกที่ซูฮยอนทํา คือก้าวเท้าเดินฉับๆไปยังร้านขายยา อย่างเร่งรีบเพื่อไปรับ [อีลิกเซอร์] ที่เคยสั่งจองและจ่ายค่ามัดจําไว้
ช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา เจ้าของร้านคงทํางานหนักน่าดู เพราะไอเทมที่ซูฮยอนต้องการถูกเตรียมไว้ครบถ้วน
ซูฮยอนไล่ตรวจสอบไอเทมทุกชิ้นอย่างละเอียด เนื่องด้วยไอเทมทั้งหมดที่สั่งจอง มีมูลค่าไม่ใช่น้อยๆ คะแนนความสําเร็จที่เคยมั่งคั่งปลิวหายไปกับสายลม
สถานะทางการเงินของซูฮยอนเวลานี้ เรียกว่าสิ้นเนื้อประดาตัวก็ดูไม่เกินจริงนัก เพราะเช่นนั้นเขาจึงต้องเช็คให้มั่นใจ ว่าจะไม่มีของแปลกปลอมปะปนมา…
เคราะห์ดีที่ตรวจไม่เจอของปลอม ซูฮยอนควักคะแนนความสําเร็จจ่ายค่าส่วนต่างที่เหลือและวิ่งออกจากร้านขายยา เดินโต๋เต่ตะเวนหาห้องพัก…
<< เครื่องดื่มเพิ่มความแข็งแกร่งระดับสูงสุด , น้ํายา [อีลิกเซอร์] จากปราชญนิรนาม , หยดเลือดโบราณกาลของเฮอร์คิวลีส… >>
ไอเทมที่ซูฮยอนซื้อมาแต่ละชิ้นมีมูลค่าไม่ต่ํากว่าหนึ่งแสนคะแนนความสําเร็จ บางชิ้นคะแนนความสําเร็จพุ่งทะยานถึงหนึ่งล้านเลยก็มี
ซูฮยอนวางไอเทมทั้งหมดลงบนพื้นห้องและเริ่มคัดแยกไอเทมที่ควรใช้ก่อนและหลัง
<< กองนี้คือน้ํายา [อีลิกเซอร์] ที่สามารถเพิ่มความแข็งแกร่งได้ทันทีหลังดื่ม ส่วนอีกกองคือไอเทมเพิ่มความแข็งแกร่งที่จะค่อยๆแสดงผล ไม่รวบรัดเหมือนน้ํายา [อีลิกเซอร์] >>
ซูฮยอนเรียงลําดับความสําคัญของไอเทม ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึกๆ
<< รสชาติของน้ํายา [อีลิกเซอร์] ก็คล้ายกับโพชั่นชนิดอื่น รสชาติของมันห่วยบรม >>
เปาะ!!
ซูฮยอนนั่งขัดตะหมาดเปิดจุกขวดน้ํายา [อีลิกเซอร์] และรีบกระดกเข้าปากรวดเดียว กลิ่นอันน่าสยดสยองโจมตีประสาทสัมผัสทางจมูกโดยพลัน กลิ่นอันเป็นเอกลักษณ์ของ [อิลิกเซอร์] เหม็นฉุนขึ้นสมอง รสชาติที่ชโลมไปทั่วลิ้นเกือบทําให้เขาอ้าปากอ้วก
แต่ซูฮยอนต้องฝืนทนและกลั้นใจกลืนให้หมด [อีลิกเซอร์] เปรียบเสมือนขุมทรัพย์ ทุกหยดมีคุณค่า ไม่ควรปล่อยให้เสียเปล่าแม้แต่หยดเดียว
“ฟู!!”
ซูฮยอนถอนหายใจยาวและหลุบตาลง
ขั้นตอนต่อไปเป็นช่วงเวลาที่สําคัญมาก ซูฮยอนต้องรวบรวมสมาธิและจดจ่ออยู่กับการดูดซับ[อีลิกเซอร์] แม้จะเป็นตัวยาชนิดเดียวกัน แต่ผลลัพธ์ที่ออกฤทธิ์จะแตกต่างกันไปตามบุคคล ขึ้นอยู่กับศักยภาพของผู้ตื่นขึ้นว่าร่างกายสามารถดูดซับได้มากแค่ไหน
[ความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้น 1 จุด]
[ความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้น 1 จุด]
เสียงข้อความที่ปรากฏขึ้นในหัวคล้ายเสียงของเทพธิดาบนสวรรค์ก็ไม่ปาน แต่เขาจะไม่ปล่อยให้ใจวอกแวก เพราะเสียงนั้นแน่…
ความมุ่งมั่นของซูฮยอนยังคงแน่วแน่ ไม่ออกนอกลู่นอกทาง สมาธิทั้งหมดจมดิ่งอยู่กับการดูดซับน้ํายา [อลิกเซอร์] จนข้อความที่แจ้งเตือนเป็นระยะๆเริ่มเบาลง…
จากนั้นไม่นาน…….
“อุป!!…”
หลังเสร็จสิ้นกระบวนการดูดซับ ซูฮยอนแทบจะสะกดอาการพะอืดพะอมเอาไว้ไม่อยู่ ต้องยกมือปิดปากค่อยๆลืมตาขึ้นพยายามควบคุมลมหายใจอีกครั้ง
“ฮ่าห์ Na”
ซูฮยอนรู้สึกปวดขา เพราะนั่งขัดตะหมาดนานเกินไป เหน็บชาถามหา จึงปรับเปลี่ยนอิริยาบถใหม่ โดยเหยียดขาทั้ง 2 ข้างออก แล้วทิ้งตัวเอนหลังนอนราบไปกับพื้นห้อง
[อีลิกเซอร์] ส่วนใหญ่ที่ซื้อมาจากร้านขายยา ซูฮยอนดูดซับกักเก็บอยู่ในร่างกายหมดแล้ว ที่เหลือก็แค่รอให้ [ตัวยา] โคจรไปทั่วร่างกาย อาจต้องใช้เวลาสักระยะหนึ่งกว่า [ตัวยา] จะออกฤทธิ์ หากสเตตัสความแข็ง แกร่งหยุดนิ่งเมื่อไหร่ ก็หมายความว่า [อีลิกเซอร์] หมดฤทธิ์แล้ว
<< ในบรรดาไอเทมที่ฉันซื้อมาทั้งหมด อันที่มีราคาแพงมากสุด คงไม่พ้นหยดเลือดโบราณกาลของเฮอร์คิวลีสแน่ๆ >>
นับแค่น้ํายา [อีลิกเซอร์] ที่ซูฮยอนกว้านซื้อมาเพียงอย่างเดียว ก็มีราคาอยู่ที่ 3 ล้านคะแนนแล้ว สรรพคุณของ [อีลิกเซอร์] สามารถเพิ่มความแข็งแกร่งทางร่างกายให้แก่ผู้ใช้ได้อย่างต่อเนื่องและยาวนาน [อีลิกเซอร์] ที่วางขายอยู่บนชั้นที่ 41 มีคุณภาพที่ไม่สูงมาก แถมราคาก็แรงเอาเรื่อง
แม้จะเห็นราคาแล้ว แต่ซูฮยอนก็ตัดสินใจควักคะแนนความสําเร็จซื้อโดยไม่ลังเล
<< ฉันนึกไม่ถึงมาก่อนเลยว่าจะได้เจอไอเทมชิ้นนี้บนชั้นที่ 41 >>
[หยดเลือดโบราณกาลของเฮอร์คิวลีส] คือไอเทมที่เหมาะแก่การสร้างสัตว์ประหลาด
หยดเลือดที่อยู่ในการครอบครองของซูฮยอนกลั่นมาจากเฮอร์คิวลีส [ตัวจริง] ว่ากันว่าหากคนธรรมดาดื่ม [หยดเลือดโบราณกาลของเฮอร์คิวลีส] เข้าไป จะทําให้คนผู้นั้นมีพละกําลังเยี่ยงสัตว์ประหลาด แต่ถ้าเป็นผู้ตื่นขึ้นดื่มจะได้รับสเตตัสความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นมาแทน
เนื่องจาก [หยดเลือดโบราณกาลของเฮอร์คิวลีส] ปรุงแต่งขึ้นด้วยกรรมวิธีที่ค่อนข้างพิเศษ หลังกลืนมันลงท้อง จึงไม่ก่อให้เกิดผลข้างเคียง
เป็นที่ทราบกันดีทุกวันนี้ไอเทมที่คล้ายกับ [หยดเลือดโบราณกาลของเฮอร์คิวลีส] มีหลงเหลืออยู่ในปัจจุบันเพียงน้อยนิดและเป็นไอเทมหายาก เพราะนักเวทแห่งความมืดที่เป็นคนปรุงแต่ง โดนพระเจ้าลงทัณฑ์ ข้อหาใช้เลือดเทพผิดวัตถุประสงค์สร้างสัตว์ประหลาด..
<< ถือว่าฉันโชคดี >>
แน่นอนว่ารสชาติของ [หยดเลือดโบราณกาลของเฮอร์คิวลีส] เลวร้ายพอๆกับน้ํายา (อลิกเซอร์] ลองจินตนาการภาพว่าคุณกําลังดื่มเลือดอายุมากกว่าหลายร้อยปีดูสิ แค่คิดก็ชวนแหวะแล้วใช่ไหมล่ะ…
[ความแข็งแกร่ง 97]
เมื่อยืนยันสเตตัสความแข็งแกร่งของตัวเองเสร็จ ซูฮยอนคลี่ยิ้มแช่มชื่น
ต่อให้ไม่ตรวจสอบสเตตัส เขาก็รู้สึกได้ว่าตัวเองแข็งแกร่งขึ้น พลังงานบริสุทธิ์เอ่อล้นออกมาจากร่างกายไม่ขาดสาย ร่างกายไร้น้ําหนัก เบาหวิวประดุจขนนก
<< ตัวเลขใกล้จะแตะถึง 100 แล้ว >>
ขาดอีกแค่นิดเดียว สเตตัสความแข็งแกร่งของซูฮยอนก็จะแตะถึงเลข 3 หลัก
ในชาติภพก่อน กว่าเขาจะดันสเตตัสถึงเลข 3 หลักได้ ต้องใช้เวลาสิบปีขึ้น สิ่งที่ยากที่สุดในโลกสําหรับผู้ตื่นขึ้น คือการเพิ่มระดับสเตตัส ซูฮยอนก็เคยติดปัญหาตรงนั้นเช่นกัน กลัดกลุ้มใจหนักจนเก็บไปคิดมาก แต่ ชาติภพที่สองเขาใช้เวลาไม่ถึง 3 ปี สเตตัสกลับรุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว เป็นเพราะมีความทรงจําจากอดีต ซูฮยอนจึงรู้กลวิธีในการเสริมสร้างความแข็งแกร่ง
[หยดเลือดโบราณกาลของเฮอร์คิวลีส] และ [อีลิกเซอร์] ที่หลอมรวมอยู่ในร่างกายของซูฮยอน มอบความแข็งแกร่งที่มากล้นให้..
<< ฉันต้องใช้เวลาสักพัก เพื่อปรับร่างกายให้ชินความแข็งแกร่งกับใหม่ >>
หมัด!!
เพื่อปรับร่างกายให้คุ้นชินกับความแข็งแกร่งที่พึ่งได้ครอบครองมาหมาดๆ จากการดื่ม [อีลิกเซอร์] และ [หยดเลือดโบราณกาลของเฮอร์คิวลีส] การลงสนามต่อสู้จริง คือทางลัดที่เห็นผลเร็วที่สุด…
สมมุติร่างกายยังไม่ชินกับความแข็งแกร่งใหม่ แล้วบังเอิญเกิดการต่อสู้ขึ้น ศักยภาพในการแสดงฝีไม้ลายมือของซูฮยอนจะลดลงอย่างมาก แต่ตราบใดที่ซูฮยอนคุ้นชินกับความแข็งแกร่งใหม่ได้สําเร็จ ถึงตอนนั้นเขาจะสามารถระเบิดพลังที่ยิ่งใหญ่กว่าเมื่อก่อนออกมาได้
<< และสถานที่เหมาะสมในการปรับร่างกายให้คุ้นชิน…>>
ซูฮยอนครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้าขึ้นลงคล้ายตัดสินใจได้แล้ว…
<< ดันเจี้ยนน่าจะเป็นตัวเลือกที่เข้าท่ามากที่สุด >>
เดิมที่ซูฮยอนกะว่าจะเริ่มทําการทดสอบชั้น 41 ต่อทันที แต่หลังจากได้ข้อสรุปที่เหมาะสม เขาจึงจําเป็นต้องเลื่อนการทดสอบออกไปก่อนประมาณ 2-3 วัน
กรุงมอสโก เมืองหลวงของประเทศรัสเซีย เดือนกันยายนฤดูใบไม้ร่วง อุณหภูมิติดลบต่ํากว่าจุดเยือกแข็ง ทั่วเมืองมีหิมะตกกะปริดกะปรอย ลมหนาวพัดมาเป็นระลอก
ใจกลางเมืองเนื่องแน่นด้วยตึกสูงทงันและธุรกิจอสังหาริมทรัพย์อีกหลายประเภท มีจํานวนประชากรอาศัยอยู่มากกว่า 15 ล้านคน หากไม่มีสิ่งนั้นเกิดขึ้น การดําเนินชีวิตของผู้คนในเมืองคงดู [ปกติ] ยิ่งกว่านี้…
“ทําไมต้องเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นด้วย ฉันเครียดจนผมล่วงจะหมดหัวอยู่แล้วเนี่ย!!”
เดวิด ซอบยานิน นายกเทศมนตรีกรุงมอสโก ขยผมของตัวเองอย่างแรง สายตาทอดมองสิ่งปลูกสร้างสูงระฟ้าที่กําลังเรือนแสง [สีน้ําเงิน] อยู่ตรงหน้า สิ่งปลูกสร้างที่ว่าคือหอคอยขนาดใหญ่ ซึ่งมีความสูงเทียบเท่าตึก 60 ชั้น ผู้คนมักเรียกหอคอยแห่งนี้ว่า ประภาคารแห่งมอสโก
และตอนนี้ โครงสร้างทั้งหมดของหอคอยอาบด้วยแสงสีน้ําเงิน ไล่ตั้งแต่ฐานล่างสุดจรดยอดสูงสุด
รวบรวมทีมโจมตี รายงานมาสิ ว่าไปถึงไหนแล้ว?”
เดวิดเอ่ยปากถามด้วยเสียงร้อนรน เลขาที่ยืนอยู่ข้างกายตอบกลับอย่างรวดเร็ว
“เรียนท่านนายกเทศมนตรี ทางเรากําลังพยายามรวบรวมสมาชิกทีมโจมตีสุดสายป่าน แต่อาจต้องใช้เวลาหน่อย เพราะติดปัญหาจุดหนึ่ง ประเทศของเราขาดแคลนกําลังคนผู้ตื่นขึ้นระดับสูง แม่ในทีมโจมตีจะมีผู้ตื่นขึ้น แรงค์ A หลายสิบคน แต่กลับมีผู้ตื่นขึ้นแรงค์ S เพียงคนเดียว”
“ลองติดต่อสอบถามไปยังประเทศอื่นหรือยัง?”
“เคยติดต่อไปแล้วครับ เราขอความช่วยเหลือไปยังสหภาพยุโรป แต่ทางนั้นตอบกลับมาว่ายุโรปแผ่นดินใหญ่ก็กําลังประสบปัญหาขาดแคลนผู้ตื่นขึ้นแรงค์ S ไม่ต่างกัน ทําให้ไม่สามารถส่งผู้ตื่นขึ้นระดับสูงมาสนับสนุนพวกเราได้ เมื่อไม่นานมานี้ มีผู้ตื่นขึ้นแรงค์ S จากยุโรปคนหนึ่งเสียชีวิตระหว่างงานสงครามแก่นแย่งอันดับ นับว่าเป็นการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ และที่สําคัญไปกว่านั้นผู้ตื่นขึ้นแรงค์ S มากกว่าครึ่งหนึ่งยังคงอยู่ในหอคอย แห่งการทดสอบ
“ติดต่อไปหาพวกเขาอีกครั้ง หยิบยื่นข้อเสนอทํายังไงก็ได้ ให้พวกเขายอมส่งผู้ตื่นขึ้นระดับสูงมาช่วยพวกเรา หากดันเจี้ยนระบาดเต็มรูปแบบขึ้นล่ะก็ มอสโกต้องสูญสิ้นแน่”เดวิด ซอบยานินกล่าวจบพลันหันมองรอบตัว
ประชาชนที่อาศัยอยู่ละแวกนี้ อพยพไปยังพื้นที่ปลอดภัยหมดแล้ว บริเวณรอบๆจึงเหลือเพียงผู้ตื่นขึ้นและกองกําลังทหาร โดยแบ่งเป็นกลุ่มย่อย กระจายกําลังอยู่ตามจุดต่างๆ เพื่อเตรียมรับมือเหตุการณ์สุดวิสัย ที่อาจเกิดขึ้นเมื่อไหร่ก็ได้
ไม่มีใครคาดเดาได้เลยว่า หากดันเจี้ยนระดับสีน้ําเงินเกิดการระบาดขึ้น ความเสียหายจะขยายวงกว้างขนาดไหน ผลกระทบที่ปรากฏเด่นชัดที่สุดคงหนีไม่พ้นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่เจริญรุ่งเรืองและกําลังงอกงามต้องเป็นอันพังครืน มอสโกจะกลายเป็นเมืองร้างที่เต็มไปด้วยเศษซากปรักหักพัง
<< ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ฉันต้องสะสางอุปสรรคตรงหน้าให้ได้ >>
เดวิด ซอบยานิน มีตัวเลือกไม่มากนัก แม่ไม่อยากทํา แต่ก็ต้องจําใจฝืนทํา ในฐานะนายกเทศมนตรีของเมืองมอสโก เขาไม่สามารถหนีความรับผิดชอบเบื้องหน้าได้
<< ถึงจะคิดแบบนั้นก็เถอะ แต่ฉันจะใช้วิธีไหน? ถึงจะหลุดพ้นสถานการณ์นี้ไปได้ >>
ดันเจี้ยนระดับสีน้ําเงินต้องใช้ผู้ตื่นขึ้นแรงค์ S อย่างน้อย 4 คน เข้าโจมตี ประเทศรัสเซียมีผู้ตื่นขึ้นแรงค์ S ทั้งหมด 3 คน และ 2 ใน 3 ยังคงอยู่ในหอคอยแห่งการทดสอบ หมายความว่าตอนนี้ ผู้ตื่นขึ้นแรงค์ S ที่พร้อม ปฏิบัติหน้าที่ มีเพียง 1 คนเท่านั้น
อีก 3 คนที่เหลือ เขาจะไปตามหาจากที่ใด?
“นายกเทศมนตรีครับ ผมคิดว่าพวกเรายังไม่หมดหนทางซะทีเดียว ยังมีตัวเลือกอื่นอยู่”
“ตัวเลือกอื่น? รีบบอกมา!!”
“ผมไม่รู้ว่าท่านเคยได้ยินข่าวนี้หรือยัง คิมซูฮยอนผู้ตื่นขึ้นชาวเกาหลีใต้ และ กอร์ดอนโรฮันผู้ตื่นขึ้นชาวอเมริกัน ทั้งคู่สร้างกิลด์อยู่ด้วยกัน จากที่ผมได้ยินมา กิลด์ของพวกเขาเป็นกิลด์ทหารรับจ้าง สมมุติเราเสนอราคาไป แล้วทางนั้นเกิดต้องใจขึ้นมา ไม่แน่พวกเขาอาจมาช่วยเหลือพวกเราโจมตีดันเจี้ยนก็ได้นะครับ”
ถ้อยคําจากปากเลขา ทําเอาดวงตาของ เดวิด ซอบยานิน เบิกโพลง….
เมื่อลองพิจารณาให้รอบคอบเกี่ยวกับตัวเลือกที่เลขาหยิบยกมา โดยรวมแล้วถือว่าไม่แย่และมีโอกาสสําเร็จสูงด้วย ขั้นตอนเจรจาสุดยืดเยื้อ ต่อความยาวสาวความยืดไม่รู้จักจบสิ้นจะไม่จําเป็นอีกต่อไป
หากสามารถตกลงเรื่องราคาว่าจ้างได้จริง ไม่ว่าจะเป็นซูฮยอนผู้ตื่นขึ้นชาวเกาหลีใต้ หรือ กอร์ดอนโรฮันผู้ตื่นขึ้นชาวอเมริกัน ทั้งคู่ต่างก็พร้อมบินตรงมายังประเทศรัสเซียทันที
<< ปัญหาคือ เราไม่รู้เลยว่าราคาค่าตัวของพวกเขาจะสูงแค่ไหน… >>
ค่าตัวของซูฮยอนไม่มีใครล่วงรู้ แต่ค่าตัวของกอร์ดอนโรฮันพอมีรายละเอียดหลุดมาบ้าง
ว่ากันว่าแค่เชิญกอร์ดอนโรฮันออกมาทานอาหารสักมื้อ ยังต้องเสียเงินหลายล้านเหรียญดอลลาร์เลยทีเดียว นายกเทศมนตรีจนปัญญา คิดไม่ตกว่าต้องเสียเงินกแดง ถึงจะสามารถเชื้อเชิญให้ทั้งซูฮยอน และ กอร์ดอนโรฮัน มาโจมตีดันเจี้ยนที่เมืองมอสโกได้…
<< มีความเป็นไปได้สูงว่า ค่าตัวของพวกเขาจะผลาญงบประมาณของมอสโกจนหมด >>
เดวิด ซอบยานิน ครุ่นคิดว่าควรเดินหน้าต่อหรือจะยอมหยุดอยู่แค่นี้ แล้วคอยไปตายดาบหน้าเอาผ่านไปหลายนาที สุดท้ายเขาก็ส่ายหัว
<< ทางที่ดี เราควรรีบจัดการปัญหาตรงหน้าให้เร็วที่สุด ปล่อยทิ้งไว้ ผลกระทบอาจไม่หยุดอยู่แค่เมืองมอสโก เมืองรอบๆอาจพลอยโดนลูกหลงไปด้วย >>
แม้ต้องสูญเสียงบประมาณประจําปีหมดคลัง แต่การโจมตีดันเจี้ยน โดยที่ไม่เกิดความเสียหายวงกว้างสําคัญเป็นอันดับแรก
<< ต่อให้ต้องเสียเงินเยอะขนาดไหน เราก็ต้องว่าจ้างพวกเขาให้ได้ การปกป้องเมืองสําคัญที่สุด >>
เมื่อได้ข้อสรุปที่ลงตัวและกําลังจะออกคําสั่ง
“นะ..นะ…นายกเทศมนตรีครับ!!”เลขาส่วนตัวอีกคนวิ่งทะเลกทะลักไปหา เดวิด ซอบยานินอย่างรีบร้อน พร้อมทั้งเปล่งเสียงตะโกนเรียกผู้เป็นนายดังลั่น “ท่านครับ!! ผมมีเรื่องสําคัญมาแจ้งให้ทราบ เรื่องที่จะแจ้งให้ท่านทราบ ไม่ใช่ [เรื่องเลวร้าย] เอ่อ…คือว่า….”
“เกิดอะไรขึ้น? เอะอะโวยวายเสียงดังได้ยินไปสามบ้านแปดบ้าน”
“ท่านครับ เกิดเรื่องใหญ่แล้ว!! คิมซูฮยอน!! คิมซูฮยอน เขา….”
คําพูดที่ออกมาจากปากเลขา พาให้ เดวิด ซอบยานิน เลิกคิ้วขึ้น
เหตุผลที่ เดวิด ซอบยานิน ขมวดคิ้วขึ้น ไม่ได้เกิดจากอารมณ์โมโหแต่ประการใด การที่เลขาคนนี้วิ่งเหงื่อโชกมาหา คงเป็นเพราะอีกฝ่ายต้องการให้เขาขอความช่วยเหลือจากซูฮยอน หากได้กําลังรบของซูฮยอนมาเสริมอีกแรง การพิชิตดันเจี้ยนระดับสีน้ําเงินจะไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป เนื่องจากซูฮยอนเคยโจมตีดันเจี้ยนระดับสีน้ําเงินมาหลายแห่ง ประสบการณ์นับว่าโชกโชน
“ที่นายวิ่งตาลีตาเหลือกมาหาฉัน พลางตะโกนเรียกชื่อคิมซูฮยอน เพราะนายต้องการให้ฉันขอความช่วยเหลือจากคิมซูฮยอนใช่หรือป่าว?”
“ท่านเข้าใจผิดแล้ว ผมไม่ได้หมายความว่าแบบนั้น…”เลขาหอบเหนื่อยตัวโยก สูดหายใจเข้าลึกๆกล่าวต่อด้วยน้ําเสียงละล่ําละลัก…
“ท่านครับ คิมซูฮยอนมาที่เมืองมอสโก เขานั่งรอท่านอยู่ทางโน้นครับ!!”