การกลับมาของฮีโร่ - ตอนที่ 166
ตอนที่ 166
ตุ้ม!!
เสียงระเบิดดังสนั่นไปทั่วผืนป่าก่อนที่เต่าไททันจะหมดมมหายใจมันพยายามดิ้นรนหนีเอาตัวรอดแต่เพราะทนพิษบาดแผลไม่ไหวสุดท้ายเต่าไททันก็ค่อยๆแน่นิ่งไป
“ฟู จบสักที”
ขณะยืนอยู่บนกระดองเต่าไททัน ซูฮยอนถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกพลางใช้หลังมือเช็ดเลือดและพรายเหงื่อบนหน้าผากเป็นอีกครั้งที่ซูฮยอนต้องเพ่งสมาธิและกําลังทั้งหมดจัดการกับมอนสเตอร์เพียงตัวเดียว
โชคดีที่ซูฮยอนมีข้อมูลและรู้เทคนิคในการสังหารเต่าไททัน มิเช่นนั้นสถานการณ์คงไม่ราบรื่นแบบนี้แน่
<< ขนาดฉันมีข้อมูลเกี่ยวกับเต่าไททันอยู่แล้ว กว่าจะฆ่ามันได้เล่นเอาฉันเหนื่อยประดาตายไม่แปลกใจเลยทําไมพวกมังกรถึงจัดการกับมันไม่ได้ >>
วิธีโจมตีเต่าไททันให้ได้ผลลัพธ์ดีที่สุด ควรใช้อาวุธที่อและต้องมีอานุภาพทําลายล้างที่สูงส่งอย่างเช่นค้อนเพื่อกะเทาะกระดองเต่าไททันให้แตกออก แล้วค่อยใช้ดาบโจมตีปิดฉากภายหลัง
ถ้าไม่มีอาวุธติดมือเลยสักชิ้น แต่ยังยืนกรานคิดต่อสู้กับเต่าไททันโดยใช้พลังเวทเข้าโจมตีท้ายสุดคงพลาดท่าและหนีไม่พ้นความตาย
เต่าไททันถือว่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่ากลัวสําหรับเผ่าพันธุ์มังกร
คิ้ว!! คิ้ว!! คิ้ว!!
มิรุที่มีสภาพร่างกายเหนื่อยล้าบินเข้าใกล้ซากศพเต่าไททัน มังกรแดงเผยสีหน้าตื่นเต้นกับอะไรบางอย่าง
ซูฮยอนจ้องมองมิรุเงียบๆ ตั้งแต่เต่าไททันปรากฏตัว มังกรของเขาแสดงอาการตื่นเต้นออกหน้าออกตา..
<< มิรุเข้าไปในกระดองทําไมกัน? >>
มิรุเดินเข้าไปด้านในกระดองเต่าไททัน ผ่านช่องว่างที่เปิดกว้างจากการโจมตีของซูฮยอน…
เขารีบเดินตามมังกรเข้าไปด้านใน ใต้กระดองเต็มไปด้วยแอ่งเลือดและเศษเนื้อผสมปนเปกันนอกจากนี้ยังมีหัวเต่าไททันที่พึ่งโดนคมดาบของซูฮยอนตัดขาด กองแหมะอยู่บนพื้นด้วย
ภายในกระดองเต่าไททันกว้างขวางยิ่งกว่าสนามฟุตบอล ด้านในจึงมีพื้นที่ว่างเหลือให้ใช้สอยเยอะ
“ให้ตายเถอะ ในกระดองเต่าไททันมีกลิ่นแรงแบบนี้หรอกเหรอ เหม็นขึ้นสมองเลยแฮะ”ซูฮยอนบนงมงําสายตาพยายามมองหามิรุโชคดีที่มังกรยืนอยู่ไม่ไกลจากเขานัก
คิ้ว!! คิ้ว!!
มิรุเปล่งเสียงร้องเหมือนต้องการเร่งให้ซูฮยอนไปหามันเร็วๆมังกรใช้เขาบนหัวชนผนังเนื้อเยื่อที่อยู่ใต้กระดองเต่าไททัน…
“นายอยากให้ฉันโจมตีตรงนี้เหรอ?”
คิ้ว!!
หลังจากได้ยินคํายืนยันจากมิรุ ซูฮยอนถึงดาบบัลมุงก์ออกมาจากฝึก ซึ่งดาบเล่มนี้พึ่งทําลายกระดองเต่าไททันมาสดๆร้อนๆ
ตามปกติกระดองของเต่าไททันมีความแข็งแรงเป็นอย่างมาก แต่ตอนนี้เต่าไททันหมดลมหายใจไปแล้วทําให้กระดองของมันเปราะบางกว่าปกติ
ซูฮยอนเหวี่ยงดาบฟันไปยังจุดที่มิรบอก 2-3 ครั้งไม่นานผนังเนื้อเยื่อที่อยู่ใต้กระดองก็ค่อยๆปริแตก…
<< หม? >>
สายตาของซูฮยอนมองเห็นลูกแก้วขนาดเท่ากําปั้น ฝังอยู่ในผนังเนื้อเยื่อใต้กระดอง
“นั่นมันใช่จินดามณีหรือป่าว?”
มือของซูฮยอนที่กุมดาบไว้ขยับเร็วขึ้น
ซูฮยอนยังคงเหวี่ยงดาบทําลายผนังเนื้อเยื่อใต้กระดองต่อไป แต่รอบนี้เขามีความบรรจงและพิถีพิถันมากขึ้นประหนึ่งว่ากําลังขุดค้นหาอัญมณีล้ําค่าอยู่
หากลูกแก้วตรงหน้าเป็นจินดามณีของจริงเขาต้องใจเย็นๆและเบามือเป็นพิเศษเพื่อป้องกันไม่ให้ลูกแก้วเกิดความเสียหายแม้แต่นิดเดียว
<<เท่านี้ก็น่าจะดึงลูกแก้วออกได้แล้ว>>
1 ชั่วโมงต่อมา ในที่สุดซูฮยอนก็สามารถดึงลูกแก้วสีแดงที่ฝังอยู่ในผนังเนื้อเยื่อใต้กระดองเต่าไททันได้สําเร็จเขาใช้สายตาพินิจลูกแก้วสีแดงที่อยู่บนฝ่ามือสักพักจากนั้นจึงยื่นให้มิรุ
“มิรุ นายลองตรวจสอบดูสิว่าลูกแก้วนี้ใช่จินดามณีของจริงหรือป่าว?”
คิว!! คิ้ว!!
มิรุจ้องมองลูกแก้วสีแดงในมือซูฮยอนตาเป็นมันจมูกของมิรุยื่นเข้าใกล้ลูกแก้วมากขึ้นเรื่อยๆก่อนจะ….
งับ!!
มิรุเผยอปากขึ้น กัดลงบนลูกแก้วสีแดงเบาๆ
วิ่งค์!! ลิ้งค์!!
รัศมีสีแดงระเบิดออกมาจากลูกแก้ว ส่งผลให้ภายในกระดองเต่าไททันมืดมิดเกิดแสงสว่างเจิดจรัส
ผ่านไปแล้ว 3 วัน หลังจากซูฮยอนและมิรุออกเดินทางไปยังป่าจินดามณี
ไม่มีใครทราบข่าวคราวเกี่ยวกับพวกเขาเลยคาร์เน่ยืนตรงขอบหน้าต่างสายตาทอดมองออกไปนอกปราสาทในมือถือถ้วยชาเหมือนอย่างเคย
“ทําไมเจ้าถึงผลักดันพวกเขาให้ไปที่ป่าแห่งนั้นด้วย? อย่าบอกนะว่าเจ้าเห็นอะไรบางอย่างในตัวพวกเขา”
เมื่อได้ยินเสียงพูดดังออกมาจากด้านหลังคาร์เน่รีบหันหน้าไปมอง บล็องก์ซึ่งเป็นแขกที่ไม่ได้รับเชิญกําลังจิบชาอย่างสบายอารมณ์พร่ําชมรสชาติชาไม่ขาดปาก
บล็องก์ถือวิสาสะบุกรุกเข้ามาในปราสาทของคาร์เน่โดยไม่แจ้งให้ทราบล่วงหน้า คาร์เน่ผู้เป็นเจ้าบ้านทําได้เพียงชงชาต้อนรับ
“ถูกต้อง คาร์เน่กล่าวตอบ
“อย่างที่ข้าคิดไว้เลย ข้าเคยได้ยินเหมือนกันมาว่ามังกรสัมสามารถมองเห็นและสัมผัสได้ถึงบางสิ่งบางอย่าซึ่งเป็นความสามารถที่เหล่ามังกรทั่วไปไม่มีข้านึกว่าเป็นแค่เรื่องเล่าขานเสียอีก”
บล็องก์หัวเราะในลําคอและยกชาขึ้นจิบอีกครั้ง คาร์เน่เป็นมังกรที่มีอายุยากหยั่งรู้และยินดีทําทุกอย่างเพื่อให้โลกใบนี้ไม่ล้มสลาย…
ทั้งคาร์เน่และบล็องก์ต่างมีอายุที่ใกล้เคียงกัน แต่คาร์เน่ไม่เข้าใจความคิดของบล็องก์ได้อย่างถ่องแท้
“ลมอะไรหอบเจ้าให้มาหาข้า?”คาร์เน่ถาม
“บล็องก์ ข้ารู้ดีว่าเจ้าไม่ชอบขี้หน้าของข้า แปลกมากที่เจ้ายอมมาหาข้าด้วยตัวเอง”
“เจ้ารู้ด้วยรี ว่าข้าไม่ชอบหน้าเจ้า?”
“ไม่ต้องมาเฉไฉ บอกเหตุผลของเจ้ามา”
“ข้าแค่อยากรู้ว่าเจ้าคาดการณ์และวางลู่ทางอนาคตข้างหน้าของเผ่าพันธุ์มังกรเอาไว้ยังไง…”
“คําถามของเจ้า ข้าได้ยินจนเบื่อ ไม่ว่าข้าจะตอบยังไง สุดท้ายในสายตาของเจ้าก็มองข้าเป็นคนเห็นแก่ตัวที่มีชีวิตอยู่เพื่อตัวเอง”
“การกระทําของข้าไม่ใช่ความเห็นแก่ตัว ข้าแค่ไม่อยากให้การเสียสละของบรรพบุรุษเราต้องเสียเปล่า”
“ข้าว่าพวกเราหยุดคุยเรื่องนี้เถอะ พูดให้ตาย เจ้าก็ไม่เชื่อข้าอยู่ดี”
“ข้าคิดว่าในใจของเจ้า คงกระจ่างถึงความจริงเรื่องนั้นเป็นอย่างดี” บล็องก์วางถ้วยชาลงแววตาเฉียบคมขึ้นฉับพลัน
“มังกรแดงไม่ได้หนี้การสงคราม ตามคําบอกเล่าของเจ้า”
“เพ้อเจ้อ ข้าเห็นเหตุการณ์นั้นด้วยตาตัวเอง”
“ไม่จริง”บล็องก์ส่ายหัว “ข้าจําได้ว่ายามนั้น เจ้าอยู่ในช่วงจําศีลเหมือนกับข้า”
“ดูเหมือนการพูดคุยระหว่างข้าและเจ้าคงต้องยุติลงแต่เพียงเท่านี้ คุยต่อไปก็ไม่เกิดประโยชน์อันใดขึ้น”
คาร์เน่ส่ายหัวคร้านที่จะกล่าวต่อ ก่อนจะหันหน้ามองออกไปนอกปราสาทเหมือนเดิม
แต่บล็องก์ไม่เชื่อฟังคําพูดของคาร์เน่ เขารื้อฟื้นคําพูดในอดีตที่เคยกล่าวไว้ขึ้นมา “ข้าเคยบอกเจ้าแล้วว่าสักวันหนึ่งมังกรแดงต้องกลับมา แล้วมันก็เป็นอย่างที่ข้าพูดไว้จริงๆ”
“ขอแค่ค้นหาจินดามณีที่หายสาบสูญเจอ พวกเราจะสามารถกอบกู้โลกใบนี้ให้กลับมาเป็นเหมือนเดิมได้อีกครั้ง”
เมื่อบล็องก์หยิบยกเรื่องจินดามณีขึ้นมาพูด คาร์เน่ที่พยายามลืมเรื่องนั้น แสดงอาการเคร่งขรึมออกมาทันตาเห็น
“เพราะเจ้ามีความฝันเช่นนั้น ทําให้หลายปีที่ผ่านมาเจ้ายังคงตั้งหน้าตั้งตาเฝ้าคอยการกลับมาของมังกรแดง?”คาร์เน่ถาม
“ประมาณนั้น แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมด”
“จินดามณีไม่มีอยู่อีกต่อไป”เจตนาฆ่าฟันแพร่กระจายออกมาจากดวงตาของคาร์เน่
“และชะตากรรมของมังกรแดงมีแต่ความตายเท่านั้น
“คาร์เน่…”
“ไม่ต้องเสียเวลาโน้มน้าวข้า ความตั้งใจเป็นของข้า คนอื่นไม่มีสิทธิตัดสิน และผลลัพธ์ที่ข้ากล่าวไว้จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง”
“จริงอยู่ที่คําพูดของเจ้าอาจมีโอกาสเกิดขึ้นจริง แต่เจ้าไม่ควรทําลายอนาคตของเผ่ามังกรโดยเอาความคิดของตัวเองเป็นที่ตั้ง…”
บล็องก์กล่าวยังไม่ทันจบประโยคก็พลันเงียบไป เพราะเขาเห็นใบหน้าของคาร์เน่แปรเปลี่ยนไปอย่างกะทันหันขณะมองออกไปนอกปราสาท
ใบหน้าของคาร์เน่แข็งที่อไร้ชีวิตชีวา มีเพียงบล็องก์เท่านั้นที่เผยรอยยิ้มกว้าง “ดูเหมือนพวกเขาจะกลับออกมาจากป่าจินดามณีได้อย่างปลอดภัย”
ในบรรดามังกรส้มที่รอดชีวิตจากช่วงสงครามและมีชีวิตอยู่จวบจนถึงปัจจุบันคาร์เน่คือมังกรส้มที่มีอายุมากที่สุดเขาสามารถมองเห็นและสัมผัสได้ถึงบางสิ่งบางอย่างที่มังกรตัวอื่นทําไม่ได้…
และตอนนี้…
จากระยะไกลๆสายตาของคาร์เน่มองเห็นร่างซูฮยอนและมิรุกําลังบินตรงดิ่งมาทางเมือง
เมื่อมาถึงหน้าเมือง ซูฮยอนกระโดดลงจากหลังมิรุ
“ขอบคุณมากมิร”
คิ้ว!!
มิรุเผยสีหน้าอวดดีและเชิดหน้าขึ้น ซูฮยอนส่งเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ
ซูฮยอนและมิรอาศัยอยู่ด้วยกันประมาณ 2-3 ปี เพราะความใกล้ชิดสนิทสนม เขาจึงเข้าใจว่าอากัปกิริยาที่มิรุแสดงออกมาทุกๆวัน มีความหมายแบบใด..
การแสดงออกทางอิริยาบถของมิรุตอนนี้ เปรียบเทียบให้เข้าใจเป็นภาษามนุษย์ คงคล้ายๆกับคําว่า “ไม่ต้องขอบคุณผมก็ได้ เรื่องแค่นี้เอง”
น่าเสียดายที่ซูฮยอนไม่มีเวลานั่งหน้าชื่นตาบานนานนัก ใบหน้ายิ้มแย้มของซูฮยอนกลับกลายมาแข็งกระด้างขึ้น..
“เอาล่ะ ต่อไปก็…”
วุป!!
ซูฮยอนยืนอยู่หน้าเมืองเริ่มโคจรพลังเวทในร่างกาย พลังเวทจํานวนมหาศาลพรั่งพรูออกมาจากทุกอณูร่างกายไม่หยุดหย่อนหลังจากผ่านการต่อสู้กับเต่าไททัน ขีดจํากัดพลังเวทจึงเหลือไม่มากเขาตั้งใจรวบรวมพลังเวทและปล่อยออกมารวดเดียว
ขณะที่มวลพลังเวทหนาแน่นเข้าปกคลุมทั่วทั้งเมือง ซูฮยอนก็ค่อยๆยกเท้าขึ้น…
ตูม!!
การกระทืบเท้าของซูฮยอน ส่งผลกระทบให้ทั้งเมืองสั่นไหว
แรงสั่นสะเทือนที่เกิดขึ้นหน้าเมืองเริ่มสงบลง แต่ส่วนท้ายเมืองยังคงสั่นสะเทือนเลือนลั่นไม่หยุด
เพียงเท่านี้ก็สามารถแจ้งเตือนมังกรทุกตัวให้ทราบถึงการกลับมาของเขาได้แล้ว…
ซฮยอนผู้เป็นตัวการก่อความวุ่นวาย พิมพ์ออกมาแผ่วเบา แม้เสียงจะไม่ดังนัก แต่กลับได้ยินก้องกังวานไปทั่วเมือง
“มังกรทั้งหลาย ตื่นกันหรือยัง ออกมารวมตัวกันหน่อย”
ใช้เวลายืนรอได้ไม่นาน…
ฟรี่บ!! ฟรี่บ!!
มังกรที่อยู่วรรณะสีเหลืองขึ้นไปรับรู้ถึงการกระทําของซูฮยอนได้ก่อนใคร เริ่มทยอยปรากฏตัว
ซูฮยอนบ่นพึมพํากับตัวเอง “พวกเขาโผล่ออกมาเร็วอย่างที่คาดคิดไว้”
“มนุษย์เจ้าคิดจะทําอะไร?”
มังกรทุกตัวต่างสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายพลังเวทขนาดมหึมากําลังรุกคืบแพร่กระจายไปทั่วเมืองอย่างเชื่องช้าเหล่ามังกรมองไปที่ซูฮยอนด้วยสายตาหวาดระแวง ก่อนที่ซูฮยอนจะออกจากเมืองไปเขาเคยให้สัตย์สาบานว่าจะสังหารมอนสเตอร์และสัตว์อสูรนอกเมืองหลังจากหายไป 3 วันซูฮยอนกลับมาที่เมืองอีกครั้งและก่อความวุ่นวายขึ้นอย่างไม่มีมูลเหตุเหล่ามังกรจึงอดไม่ได้ต้องสับสนมึนงงกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น…
<<กะด้วยสายตา มีมังกรราว 30 ตัว ที่ออกมาแทบจะพร้อมกัน>>
ซูฮยอนกวาดตาสํารวจมังกรที่ยืนรายล้อมรอบตัว มังกรที่ปรากฏตัวออกมาส่วนใหญ่เป็นมังกรระดับสูงอย่างที่เคยจินตนาการไว้ แต่สิ่งที่ทําให้เขาแปลกใจมากที่สุดคือคาร์เน่และบล็องก์ปรากฏตัวออกมาพร้อมกันหมายความว่าก่อนที่ซูฮยอนจะมาถึงเมืองพวกเขาอาจอยู่ด้วยกัน
สถานการณ์หน้าเมืองเริ่มคลี่คลาย มังกรที่แอบอยู่ในส่วนลึกของเมืองเริ่มหนุนเนื่องมาสมทบหน้าเมืองมาก
เมื่อเห็นว่ากลุ่มมังกรเพิ่มจํานวนขึ้นเรื่อยๆ ซูฮยอนเอ่ยปากพูดกับพวกมังกรว่า…
“รออีกหน่อย ผมอยากให้มังกรมาเยอะกว่านี้”
“เจ้ายังต้องการให้พวกข้ายืนรออีกรึ?”
“จะให้พวกข้ารอไปถึงไหน?”
“หลังจากสร้างความโกลาหลเสร็จ คําพูดแรกที่เจ้ามนุษย์เอ่ยออกมา คือสั่งให้พวกเรารอ…?”
“แต่จะว่าไป ความโกลาหลที่เกิดขึ้นเป็นฝีมือของมนุษย์จริงรึ ข้านึกว่ามีกองทัพสัตว์อสูรบุกโจมตีเมืองของพวกเราเสียอีก”
เหล่ามังกรที่กังขาคําพูดของซูฮยอนเริ่มเปิดปากกระซิบกระซาบกัน คําว่า [รออีกหน่อย] ไม่ใช่ประเด็นที่พวกมังกรให้ความสนใจ สิ่งที่พวกเขาสนใจและวิตกกังวลเป็นพิเศษ คือมวลพลังเวทมหาศาลที่พวกเขาสัมผัสได้ตอนออกมาหน้าเมืองมากกว่า..
<<พลังเวทที่ปกคลุมทั่วเมือง เป็นของมนุษย์ผู้นี้จริงเหรอ?>>
แม้แต่บล็องก์ก็รู้สึกสงสัยไม่ต่างจากมังกรตัวอื่นๆ
พลังเวทที่เหล่ามังกรสัมผัสได้ มีอํานาจกล้าแกร่งสามารถแผ่ขยายปกคลุมเมืองใหญ่โตแห่งนี้ได้ทุกซอกทุกมุมแม้ว่าพวกมังกรจะทราบกันดีอยู่แล้วว่ามนุษย์ตรงหน้าแข็งแกร่งกว่ามนุษย์ที่เคยพบเจอมาแต่พวกเขาคาดไม่ถึงว่าซูฮยอนจะทรงพลังขนาดนี้…
ถ้าพวกเขาไม่ได้ยืนยันด้วยตาตัวเองว่าแรงสั่นสะเทือนที่เกิดขึ้นเป็นฝีมือของซูฮยอน พวกเขาคงคิดว่าแรงสั่นสะเทือนที่สามารถทําให้สิ่งปลูกสร้างโอนเอนได้ต้องเกิดจากฝูงมอนสเตอร์บุกโจมตีเมืองเป็นแน่
“เจ้าต่อสู้กับมอนสเตอร์ จนสติเลอะเลือนไปแล้วหรือไง? เจ้าตั้งใจจะทําอะไรกันแน่”คาร์เน่กระชากเสียงถามออกไป
“อย่ามัวแต่อึ้ง ตอบคําถามของข้ามา ทําไมเจ้าถึงปล่อยกลิ่นไอความเป็นศัตรูใส่ข้าด้วย หรือเจ้าคิดอยากเป็นศัตรูกับพวกเรา?”
คําถามที่เอ่ยออกมาจากปากคาร์เน่ ทําเอาซูฮยอนถลึงตาและจ้องมองลึกเข้าไปในนัยน์ตาของคาร์เน่ตรงๆมังกรที่รวมตัวกันเนืองแน่นอยู่หน้าเมืองแสดงสีหน้างงงวย
“กลิ่นไอความเป็นศัตรู?”
“หมายความว่ายังไงกันท่านคาร์เน่?”
“ความปั่นป่วนที่เกิดขึ้น เป็นฝีมือของมนุษย์ตรงหน้าก็จริง แต่ทําไม ข้าไม่รู้สึกถึงกลิ่นไอความเป็นศัตรูจากมนุษย์ผู้นี้เลย…”
หลังจากได้ยินเสียงพูดคุยจากมังกรรอบข้าง คาร์เน่เฉลียวใจได้ถึงความผิดปกติบางอย่าง
เกิดอะไรขึ้น เหตุใดพวกเขาถึงสัมผัสกลิ่นไอความเป็นศัตรูจากมนุษย์ตรงหน้าไม่ได้?
ตั้งแต่ซูฮยอนกลับมาถึงเมืองและสร้างความวุ่นวาย คาร์เน่สัมผัสได้ถึงกลิ่นไอความเป็นศัตรูจากร่างกายซูฮยอนได้อย่างชัดเจน หากลองพินิจให้ดีๆจะทราบได้ทันทีว่ากลิ่นไอความเป็นศัตรูมีเจตนาฆ่าปะปนอยู่..
<<เหตุผลที่พวกเขาสัมผัสกลิ่นไอความเป็นศัตรูไม่ได้ อย่าบอกนะว่าเป็นเพราะ….>>
คาร์เน่เพ่งมองซูฮยอน สายตาของทั้งคู่ประสานกัน ตอนนี้คาร์เน่ตระหนักแล้วว่าต้นตอของกลิ่นไอความเป็นศัตรูเกิดจากสายตาคู่นั้นของซูฮยอนไม่ผิดแน่…
<< มนุษย์ผู้นั้นจงใจปล่อยกลิ่นไอความเป็นศัตรูใส่ข้าเพียงคนเดียวงั้นรึ? >>
แท้จริงแล้วกลิ่นไอความเป็นศัตรูจากร่างกายซูฮยอนไม่ได้พุ่งเป้าไปที่ทุกคน แต่ซูฮยอนตั้งใจปล่อยกลิ่นไอความเป็นศัตรูใส่คาร์เน่เพียงลําพัง
ทันทีที่คาร์เน่ทราบถึงความจริง ใบหน้าของมังกรส้มหงิกงอจนไม่น่าดู..
“เป็นแค่มนุษย์ตัวเล็กจ้อย กลับจองหองกล้าปล่อยกลิ่นไอโสมมใส่ข้า…”
คาร์เน่ลืมสถานะผู้อาวุโสสูงสุดของเหล่ามังกรไปชั่วขณะ จนเผลอสบถคําพูดที่แข็งกร้าวออกมา
หลังจากทราบความจริงว่ากลิ่นไอความเป็นศัตรูพุ่งเป้ามาที่เขาเพียงคนเดียว ความคิดอ่านของคาร์เน่กระ สับกระส่ายพังทลายแทบหมดสิ้น
“เจ้าคิดว่าข้าจะยอมเป็นเหยื่อให้เจ้ากระทําฝ่ายเดียวรี?”
จนกระทําไม่ต่างอะไรกับการหยามหน้าคาร์เน่เลย ขณะกําลังจะตอบโต้กลับ จ่ๆความคิดอย่างหนึ่งก็แล่นเข้ามาในหัวของคาร์เน่ฉับพลัน
<< แต่ด้วยเหตุผลกลใดกัน ทําไมมนุษย์ผู้นั้น ถึงได้จงใจทําแบบนี้? >>
มนุษย์ตรงหน้าไม่ใช่คนประเภทแกว่งเท้าหาเสี้ยนมั่วซั่วนอกจากจะไม่ก่อให้เกิดประโยชน์แล้วการกระทําดังกล่าวอาจส่งผลให้มังกรแดงที่อยู่ข้างตัวพลอยได้รับอันตรายไปด้วย
ซูฮยอนเคยประกาศกร้าวว่ามังกรแดงคือลูกของตน ไม่ว่าจะเป็นน้ําเสียงหรือท่าทางทุกอย่างล้วนออกมาจากใจจริงและเป็นเหตุผลหลักที่ทําให้เขายอมเสี่ยงชีวิตต่อสู้กับมอนสเตอร์และสัตว์อสูรในป่าจินดามณีดังนั้นอะไรที่ส่งผลให้มังกรแดงได้รับอันตรายเขาจะไม่มีวันทํา…
แต่ตอนนี้ซูฮยอนกลับแสดงท่าที่ความเป็นศัตรูออกมาอย่างเปิดเผย…
<< การกระทําของเขาทุกอย่าง ล้วนทําเพื่อมังกรแดงตัวนั้น…>>
เมื่อได้ข้อสรุปที่ลงตัว คาร์เน่รู้สึกเย็นยะเยือกไปทั่วแนวกระดูกสันหลัง
ไม่ใช่แค่ความคิดภายในหัวเท่านั้นที่คิดแบบนี้ แม้แต่สัญชาตญาณภายในตัว ก็กําลังบอกกับเขาเช่นกันว่าเหตุการณ์ที่กําลังจะเกิดขึ้นต่อจากนี้ ไม่เป็นผลดีกับตัวเขา
“รีบจัดการเจ้ามนุษย์ผู้นั้นปะเดียวนี้” คาร์เน่ตะโกนออกมาด้วยน้ําเสียงร้อนรน
“เจ้ามนุษย์ผู้นั้นประสงค์ร้ายต่อเผ่าพันธุ์มังกรเรา มีโอกาสเป็นไปได้สูงว่ามนุษย์ผู้นั้น อาจถูกสัตว์อสูรควบคุมจิตใจจากระยะไกลเพื่อหวังให้เขาโจมตีเมืองของเรา”
“ว่าไงนะ?!!”
“ท่านพูดบ้าอะไรออกมา…?”
“เร็วเข้า รีบจัดการมัน!!”
คาร์เน่รู้ตัวดีว่าคําพูดของเขามีน้ําหนักไม่มากพอ แต่เขาก็พยายามพร่ําพูดต่อไปอย่างไม่ยอมแพ้
ขณะที่มังกรหลายตัวเกิดความสับสนและไม่รู้จะวางตัวยังไง ซูฮยอนเอื้อนเอ่ยขึ้น เพื่อทําลายความวุ่นวายที่ กําลังลุกลาม
“ผมคิดว่ามังกรส่วนใหญ่คงมารวมตัวกันอยู่ที่นี่หมดแล้ว”
นอกจากมังกรเหลืองแล้ว ยังมีมังกรเขียว มังกรฟ้า มังกรม่วง รวมตัวกันคับคั่งอยู่หน้าเมืองด้วยนับด้วยสายตาคร่าวๆมีจํานวนมังกรทั้งสิ้น 300 ตัวซึ่งเป็นจํานวนมังกรเกือบครึ่งหนึ่งที่อาศัยอยู่ในเมืองแห่งนี้เลยก็ว่าได้
“เข้าสู่ช่วงต่อไปของพวกเรากันเถอะ”ซูฮยอนหยิบลูกแก้วสีแดงออกมาจากกระเป๋า
“ถึงเวลาเปิดเผยความลับที่พวกท่านทั้งหลายไม่เคยรู้มาก่อน”
เหล่ามังกรที่ส่งเสียงพูดคุยอีกทึกครึกโครมค่อยๆเงียบลง ความสนใจของมังกรทั้งหมดจดจ่อไปยังลูกแก้วสีแดงที่วางอยู่บนฝ่ามือของซูฮยอนซึ่งสิ่งนั้นคือจินดามณี