Tranxending Vision – เนตรเนรมิตร - ตอนที่ 371
TXV – 371 จริงใจ
เซี่ยเหล่ยคิดว่าตัวเขาคงจะถูกตรวจอย่างละเอียดในห้องพยาบาลก่อนหน้านี้ แต่ในความเป็นจริงไม่ใช่เลย เขาถูกหวางเหล่ยพาตัวไปที่อื่น มันคือที่ที่เปรียบได้กับโรงพยาบาลขนาดเล็กแต่ภายในเต็มไปด้วยเครื่องไม้เครื่องมือสําหรับตรวจที่ทันสมัยที่สุด
หนิงจิงต้องการจะตามเซี่ยเหล่ยไปด้วยแต่ก็ทําไม่ได้เนื่องจากหวางเหล่ยยังไม่ได้อนุญาตให้เธอตามไป
หวางเหล่ยพาเซี่ยเหล่ยเข้าไปยังห้องตรวจ ภายในมีเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์หลายคนยืนรออยู่แล้ว พวกเขาสวมชุดป้องกันพร้อมกับหน้ากากป้องกันเรียบร้อย
เมื่อเซี่ยเหล่ยเดินเข้ามา สายตาของเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์หลายคนมองมาที่เขาเป็นตาเดียวกันถึงแม้ว่าพวกเขาจะสวมหน้ากากป้องกันแต่เซี่ยเหล่ยก็สามารถเห็นสีหน้าและดวงตาของพวกเขาอยู่ดี มันเป็นสีหน้าและท่าทางที่แสดงออกว่าเคร่งเครียด เซี่ยเหล่ยรู้สึกแปลกใจอย่างมากว่าทําไมถึงเป็นเช่นนั้น เขารู้สึกไม่ชอบ มาพากลจึงพูดขึ้นว่า “นักวิชาการหวาง คุณยังไม่ได้บอกเลยว่าจะต้องตรวจอะไรบ้าง? และแค่ผมคนเดียวงั้นเหรอ? “
หวางเหล่ย พูดว่า “ผมจะพูดให้ชัดๆอีกครั้งนะ คุณจะได้รับการตรวจเป็นคนแรก หลังจากนั้นก็จะเป็นคิวของผู้เชี่ยวชาญคนอื่นๆ”
“มันควรจะเป็นกลุ่มผู้เชี่ยวชาญไม่ใช่เหรอที่ต้องเร่งตรวจให้กับพวกเขา?” เซี่ยเหล่ยพูดพร้อมพูดต่ออีกว่า “ตอนนี้ผู้เชี่ยวชาญก็เสียชีวิตไปต้องสองคนแล้ว คุณคิดอะไรอยู่กันแน่?”
หวางเหล่ยตอบกลับอย่างไม่ค่อยพอใจว่า “เพราะคุณเป็นคนที่ไม่น่าไว้ใจมากที่สุดในที่นี้ คุณต้องตรวจเป็นคนแรกผลการตรวจสอบคุณจะช่วยให้การตรวจของผู้เชี่ยวชาญคนอื่นๆมีประสิทธิภาพมากขึ้นไม่ว่าจะเป็นผลการตรวจหรือวิธีการตรวจก็ตาม”
จากคําพูดทั้งหมดของหวางเหลีย เซี่ยเหล่ยสามารถโต้แย้งคําพูดและการกระทําของชายชราคนนี้ ได้แต่เขาก็ไม่ทําเพราะมันเสียเวลา เซี่ยเหล่ยจึงเดินไปหาเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ทันที
“คุณเซี่ยใช่ไหม?” หมอคนหนึ่งถามเพื่อยืนยันและพูดต่ออีกว่า “โปรดตามฉันมา”
หมอคนนั้นพาเซี่ยเหล่ยไปยังศูนย์ตรวจ MRI ภายในมีเจ้าหน้าที่และห้องสําหรับตรวจMRIโดยเฉพาะ เจ้าหน้าที่คนหนึ่งได้เดินพาเซี่ยเหล่ยไปยังห้องตรวจและพาเขาไปนอนลงบนที่นอนเพื่อเตรียมตัวจรวจจากเครื่องสแกนขนาดใหญ่และทันสมัยที่สุด หลังจากจัดเตรียมท่าทางให้กับเซี่ยเหล่ยเรียบร้อย พวกเขาก็รีบออกจากห้องเพื่อเตรียมการให้กับเซี่ยเหล่ย
แน่นอนว่าที่เจ้าหน้าที่ทุกคนต้องออกมานอกห้อง นั่นก็เพื่อป้องกันอันตรายจากรังสีและมันยังถือเป็นกฏสากลที่ทุกคนต้องปฏิบัติเพื่อความปลอดภัยของตัวเอง
ที่ศูนย์ตรวจ MRI เจ้าหน้าที่ทางการแพทย์หลายคนกําลังยืนพูดคุยรายละเอียดกับหวางเหล่ยก่อนที่จะเริ่มลงมือตรวจเซี่ยเหล่ย
“ตรวจเขาตั้งแต่หัวจรดเท้าไปเลย ตรวจให้ละเอียดที่สุดเท่าที่จะทําได้นะ” หวางเหล่ยพูด
หัวหน้าทีมทางการแพทย์ตอบกลับไปว่า “ได้เลย ไม่มีปัญหา”
หวางเหล่ยยังคงพูดอีกว่า “นอกจากนี้ผลการตรวจทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นผลDNA หรือแม้แต่ผลเลือดก็ไม่ต้องบอกอะไรเขาทั้งนั้น”
“นักวิชาการหวาง สบายใจได้ ผมรู้ว่าผมควรทําอะไรบ้าง” หัวหน้าทีมทางการแพทย์พูด
หลังจากพูดคุยรายละเอียดเรียบร้อย เจ้าหน้าที่ทุกคนก็ได้ประจําตําแหน่งพร้อมเริ่มการสแกน MRI ให้กับเซี่ยเหล่ย
จากการพูดของหวางเหล่ยกับทีมทางการแพทย์ แน่นอนว่าเซี่ยเหล่ยได้ยินทั้งหมด มันทําให้เขารู้ได้ ในทันทีว่าเรื่องนี้มีคนบงการอยู่เบื้องหลัง
“ใครกันหล่ะ? ใครที่สงสัยถึงการมีอยู่ของ AE? และถ้าพวกเขาได้ผลการตรวจไปแล้วจะเกิดอะไรขึ้นกับเรา?” เมื่อคิดไปคิดมาเซี่ยเหล่ยก็รู้สึกโกรธขึ้นมาอย่างมาก มันเป็นความโกรธที่ผสมปนกับความกังวล
แม้ว่าในความเป็นจริงเซียเหลี่ยสามารถมองทะลุเข้าไปยังอวัยวะส่วนอื่นของร่างกายได้อย่างอิสระ เพื่อตรวจหาสิ่งผิดปกติแต่ก็มีบางส่วนที่ไม่สามารถมองได้นั่นก็คือสมองและดวงตาของเขาเองอย่างไรก็ตามเขาเองก็สงสัยอยู่เหมือนกันว่ามันมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้างและมากน้อยแค่ไหน!
เริ่มขั้นตอนการสแกน MRI ……
คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าและรังสีเริ่มทํางาน มันส่งเสียงออกมาเป็นจังหวะสม่ําเสมอ พร้อมกับทุกสายตาของเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ที่กําลังจับจ้องไปที่เซี่ยเหล่ยและจอมอนิเตอร์อย่างใจจดใจจ่อ
มีหลายครั้งที่เซี่ยเหล่ยต้องการจะลุกขึ้นนั่งหรือขยับตัวเพื่อขัดจังหวะการตรวจ เพราะหากขยับตัวแม้แต่นิดเดียวการตรวจจะต้องเริ่มใหม่เพื่อให้ผลออกมาแม่นยําที่สุด เซี่ยเหล่ยก็ลังเลใจมากว่าจะทําดีหรือไม่?
แต่อย่างไรก็ตามเขาก็ยังคงอยู่นิ่งๆเพื่อให้การตรวจดําเนินการต่อไป
แต่จู่ๆเซี่ยเหล่ยก็เริ่มรู้สึกอุ่นๆที่หัวของตัวเอง มันเป็นความรู้สึกที่ชัดเจนและเขาก็รู้สึกคุ้นมากเช่นกัน มันเหมือนกับความรู้สึกตอนที่เขาถูกแก๊สยาสลบในชั้นใต้ดินของโรงแรมเจียงหนานไม่มีผิด
ไม่รู้ว่าอยู่ดีๆทําไมถึงมีอาการแบบนี้ขึ้นมาได้?
ด้วยการตรวจด้วยเครื่องเครื่องสแกน MRI เป็นที่รู้กันดีว่ามันเป็นการตรวจที่ละเอียดที่สุดในตอนนี้ มันทําให้เขาค่อนข้างจะสงสัยเหมือนกันว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นอย่างไร?
เมื่อความคิดที่อยากจะรู้ผลการตรวจของตัวเองตอนนี้เป็นอย่างไร ทําให้เซี่ยเหล่ยกระตุกตาซ้ายเล็กน้อยก่อนจะมองออกไปนอกห้องตรวจ กําแพงหายไปทันทีพร้อมกับภาพของเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์บางส่วน ยืนอยู่กับหวางเหล่ย เซี่ยเหล่ยอยากรู้ว่าพวกเขาพูดอะไรกันจึงจ้องไปที่ริมฝีปากของพวกเขาในขณะที่พูดอย่างตั้งใจ
“แปลก…” เจ้าหน้าที่ทางการแพทย์คนหนึ่งพูดขึ้นและยังพูดต่ออีกว่า “เครื่องสแกนอาจจะมีปัญหา….”
“เป็นไปได้ยังไง?” หัวหน้าทีมทางการแพทย์พูดขึ้นก่อนจะมองไปที่จอมอนิเตอร์แสดงผลการตรวจ
เจ้าหน้าที่ทางการแพทย์คนหนึ่งพูดขึ้นว่า “มีกระบวนการบางอย่างเกิดขึ้นภายในหัวของเขา”
หัวหน้าเจ้าหน้าที่ทาการแพทย์มองไปที่จอมอนิเตอร์อยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดอย่างจริงจังว่า “ยังไม่มีอะไร ตรวจเขาต่อไป”
หวางเหล่ยรีบถามขึ้นว่า “มีอะไรพิเศษงั้นเหรอ?”
“ไม่มีอะไร เขายังคงปกติอยู่” หัวหน้าเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ตอบ
การตรวจ MRI ยังคงดําเนินการต่อไป เซี่ยเหล่ยที่อ่านริมฝีปากของพวกเขาก่อนหน้านี้รู้สึกโล่งใจอย่างมาก เขาแอบคิดในใจว่า “ดูเหมือนว่าจากเรื่องที่เกิดขึ้นทําให้ได้ข้อสรุปมาหนึ่งข้อนั่นก็คือร่างกายของเขาไม่ได้เปลี่ยนไปแค่ดวงตาเท่านั้นแต่ตอนนี้เขารู้แน่ชัดแล้วว่าสมองของเขาก็ได้รับการพัฒนาด้วยเหมือนกัน “
หลังจากความคิดนั้น จู่ๆเซี่ยเหล่ยก็คิดไปถึงแคปซูล AE ที่อยู่ในจี้ห้อยคอของเขาทันที
แคปซูล AE ถูกซ่อนในจี้ห้อยคอของเซี่ยเหล่ยอย่างสมบูรณ์ เขาไม่ต้องกังวลเลยว่าจะมีใครหามันพบ นั่นก็เพราะมันถูกเก็บซ่อนอยู่ภายในจไว้อย่างดีจะมีคนมาพบได้ก็ต่อเมื่อคนๆนั้นผ่ากลางจที่ห้อยคออย่างเดียวเท่านั้น
หลังจากเวลาที่ยาวนานผ่านไปก็สิ้นสุดการตรวจ MRI
หลังจากตรวจอย่างละเอียดด้วยเครื่องตรวจ MRI แล้วเซี่ยเหล่ยยังต้องไปตรวจอีกหลายรายการไม่ว่าจะเป็นตรวจเลือด เนื้อเยื่อผิว DNA เป็นต้น
เซี่ยเหล่ยจะไม่มีความกังวลเกี่ยวกับผลตรวจเลยเพราะเขาเคยตรวจมาก่อนแล้วยกตัวอย่างการตรวจเลือด เขาก็เพิ่งจะตรวจไปและพบว่ามันปกติดีอยู่
หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วโมงผลการตรวจกว่ายี่สิบรายการก็สิ้นสุดลง เซี่ยเหลยเดินกลับไปยังห้องปฏิบัติการทดลองพร้อมกับหวางเหล่ยระหว่างทางที่เดินกลับนั้นเขาก็สวนทางกลับกลุ่มผู้เชี่ยวชาญคนอื่นๆรวมถึงหลงบิงและหนิงจิงด้วย พวกเขาเริ่มทยอยกันเข้าไปตรวจตามลําดับ
หลังจากกลับไปที่ห้องปฏิบัติการทดลอง เซี่ยเหล่ยก็นั่งอยู่พักใหญ่ๆเมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรแล้วเขาก็คิดจะเดินกลับไปยังที่พักของตัวเอง
แต่ยังไม่ทันจะเดินออกไปนอกห้อง หลงบิงที่ใช้เวลาตรวจไม่นานก็เดินกลับมายังห้องปฏิบัติการทดลองและเจอกับเซี่ยเหล่ยที่กําลังจะเดินออกไป
“เหล่ย ฉันขอคุยกับคุณสักหน่อยได้มั้ย?” หลงทิ้งถามทันทีที่เห็นเขา
เซี่ยเหล่ยยิ้มก่อนพูดขึ้นว่า “การที่คุณพูดสุภาพกับผมนี้มีอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า? แล้วคุณได้ทดสอบอะไรไปบ้าง”
หลงบังตอบกลับอย่างลวกๆว่า “ก็มีตรวจเลือดและตรวจร่างกายอีกหลายรายการ
คําถามภายในใจของเซี่ยเหล่ยได้รับคําตอบยืนยันที่ชัดเจนมากแล้ว นั่นก็เพราะเซี่ยเหล่ยต้องตรวจมากกว่ายี่สิบรายการแต่เธอตรวจเพียงไม่กี่รายการเท่านั้น นี่จึงเป็นการตรวจที่ต้องการตรวจเซี่ยเหล่ยอย่างละเอียดเป็นพิเศษแน่นอน
“อืม…ว่าแต่คุณจะพูดอะไรกับผมงั้นเหรอ?” เซี่ยเหล่ยถามอีกครั้ง
หลงบิงตอบกลับว่า “รายงานเกี่ยวกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมด…มีเพียงแค่คุณเท่านั้นที่สามารถเขียนได้ ฉันหรือผู้เชี่ยวชาญคนอื่นๆก็ไม่สามารถเขียนได้สมบูรณ์เท่าคุณ ฉันรู้ว่าคุณไม่ชอบนักวิชาการหวางแต่อย่างไรก็ตามเหมือนที่ฉันบอกไป มีเพียงคุณเท่านั้นที่สามารถเขียนฉบับสมบูรณ์ได้ คุณจะช่วยเขียนให้ฉันได้หรือไม่?”
เซี่ยเหล่ยเงียบทันที
ในความเป็นจริงการที่เซี่ยเหล่ยไม่ยอมเขียนรายงานนั้นก็เพราะเขามีจุดประสงค์อื่นอยู่แล้ว
เขารู้ดีว่ามีเพียงแค่ตัวเองเท่านั้นที่สามารถเขียนรายงานฉบับสมบูรณ์ได้ เพราะว่าเขาเองได้รับประสบการณ์ทุกอย่างโดยตรงไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่เห็น สิ่งที่สัมผัส หรือแม้แต่กลิ่นก็ตามแต่ที่เขาไม่ยอมเขียนรายงานก็เพ ราะเขาต้องใช้มันเพื่อให้หวางเหล่ยเปลี่ยนตําแหน่งของเขาให้เข้ามามีส่วนร่วมและหน้าที่ในการสํารวจครั้งต่อๆ ไป
แผนนี้ถือเป็นแผนที่ดีแต่จนถึงตอนนี้ยังไม่ประสบความสําเร็จเนื่องจาก หวางเหล่ยนั้นปากแข็งเหลือเกิน
“ได้รึปล่าว ?” หลงบังเดินไปตบไหล่ของเซี่ยเหล่ยเบาๆ เธอไม่เคยทําแบบนี้มาก่อนจากนั้นก็พูดว่า “ฉันไม่เคยขอร้องคุณเลยแค่เรื่องนี้ได้ไหม อย่าปฏิเสธฉันเลย”
เซี่ยเหล่ยยิ้มอย่างขมขึ้นก่อนจะตอบกลับไปว่า “ครั้งแรกงั้นเหรอ? ไม่ใช่หรอก…ปืนไรเฟิลของคุณใครเป็นคนพัฒนาและปรับปรุงมันหล่ะ?”
“หม…” หลงบิงมองตาโตไปที่เซี่ยเหล่ยก่อนจะพูดอีกว่า”มันก็ไม่ได้เป็นการขอเพียงฝ่ายเดียวใช่ไหมหล่ะ? อย่าลืมเรื่องใบอนุญาตของคุณสิ…..”
เซี่ยเหล่ยชูมือสองข้างแสดงท่าทางการยอมจํานวนจากนั้นก็พูดขึ้นว่า “โอเค แต่ผมยังไม่สามารถเขียนมันได้ตอนนี้หรอกนะ”
หลงบิงยิ้มก่อนจะพูดว่า “เยี่ยมเลย ไม่เป็นไรฉันจะรีบไปเตรียมโน้ตบุคพร้อมกับน้ําชามาให้คุณนะ มาสเตอร์เซีย”
เซี่ยเหล่ย “….”
เซี่ยเหล่ยรู้สึกแปลกใจกับท่าทีและคําพูดของหลงบิงอย่างมาก
หลังจากเวลาผ่านไปนานพอสมควรเซียเหล่ยก็เขียนรายงานจนเสร็จด้วยโน้ตบุคที่หลงวิ่งเตรียมไว้ให้ หลังจากเขียนเสร็จเขาก็ส่งให้เธออ่าน
หลงบิงอ่านรายงานพร้อมแสดงท่าทางประหลาดใจอย่างมากออกมาก่อนจะพูดขึ้นว่า “เป็นอุโมงค์ที่ลึกลงไปใต้ดินเป็นร้อยเมตรเลยงั้นเหรอ? แถมมีกับดักซ่อนอยู่ด้วย!? แล้ว……”
ไม่ว่าจะกี่คําถามของหลงนิ่ง เซี่ยเหล่ยก็ตอบคําถามที่เธอสงสัยทุกคําถามแต่มีอยู่เพียงเรื่องเดียวที่เขาตั้งใจจะไม่บอกเธอก็คือเรื่องเกี่ยวกับเสียงประหลาดที่เขาได้ยิน เนื่องจากมันดูแปลกและน่าเหลือเชื่อจนเกินไป!
อย่างไรก็ตามรายงานฉบับนี้ของเซี่ยเหล่ยไม่ได้ถือว่ามีความสําคัญมากเท่าไหร่เมื่อเทียบกับสถานการณ์ในตอนนี้นั่นก็เพราะมันไม่ได้มีข้อมูลหรือสามารถตอบคําถามเกี่ยวกับสิ่งที่ทําให้ผู้เชี่ยวชาญทั้งสองคนต้องตายไปได้ แม้ว่าหวางเหล่ยจะได้รายงานฉบับนี้ไปเซี่ยเหล่ยก็ไม่ได้รู้สึกเสียดายซักเท่าไหร่!
“หลงบิง ผมมีคําถามที่อยากจะถามคุณสักหน่อย ?” แต่เซี่ยเหล่ยก็ถามออกไปอย่างจริงจังพร้อมมองไปที่หน้าอกของหลงทิ้ง
“คุณต้องการจะถามอะไร?” หลงบิงพูดพร้อมตระหนักได้ว่าเซี่ยเหล่ยกําลังมองไปในจุดที่ไม่ควรมองของตัวเองอยู่
แต่จริงๆแล้วเธอไม่รู้ว่าสิ่งที่เซี่ยเหล่ยกําลังมองอยู่นั้นไม่ใช่หน้าอกของเธอแต่มันคือส่วนที่ลึกลงไปในร่างกาย มันคือหัวใจของเธอ
แม้ว่าหลายๆคนที่ต้องการจะดูว่าคนๆไหนกําลังพูดโกหกอยู่หรือไม่ พวกเขามักจะมองไปที่ดวงตาของคนๆนั้นแต่ในความเป็นจริงคนที่ได้รับการฝึกฝนอย่างเชี่ยวชาญสามารถซ่อนความผิดปกติของดวงตาเอาไว้ ได้แต่กับอัตราการเต้นของหัวใจมนุษย์ แม้ว่าพวกเขาจะพยายามซักเท่าไหร่ก็ไม่มีใครสามารถควบคุมมันได้
“ผม….เอ่อผม….. “เซี่ยเหล่ยลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดขึ้นในที่สุดว่า “ถ้าวันหนึ่งผู้บังคับบัญชาระดับสูงของคุณสั่งให้คุณจับตัวผมหรือเลวร้ายที่สุดคือฆ่าผม คุณจะทําตามคําสั่งรึปล่าว?”
หลงบิงถามกลับทันทีว่า “คุณเป็นอะไรไป? ไม่สบายหรือเปล่า? ทําไมจู่ๆถามแบบนี้หล่ะ? คุณไม่ได้ทําผิดกฎหมาย คุณไม่ได้ทรยศต่อประเทศแล้วฉันจะจับคุณได้อย่างไรหล่ะ?”
“คุณตอบไม่ตรงคําถามนะ” เซี่ยเหล่ยพูดเพราะต้องการคําตอบที่แท้จริงของเธอ
หลงบิงคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนตอบกลับไปว่า “ก็เหมือนที่ว่าไปแหละ ตราบใดที่คุณไม่ทําอะไรผิดกฏหมายหรือทรยศประเทศ เรื่องนั้นก็จะไม่มีทางเกิดขึ้น”
เซี่ยเหล่ยยิ้มออกมาทันทีที่เธอพูดจบ มันเป็นรอยยิ้มที่จริงใจและบริสุทธ์นั่นก็เพราะเขารู้ได้ทันทีว่าเธอพูดความจริงเนื่องจากอัตราการเต้นของหัวใจเธอเต้นเป็นปกติและสม่ําเสมอตลอดเวลาที่ตอบคําถาม….
ติดตามตอนต่อไป….