Tranxending Vision – เนตรเนรมิตร - ตอนที่ 367
TXV – 367 หนทางสู่ความลับ !
ใช้เวลาไปหนึ่งชั่วโมงครึ่งเพื่อเดินทางข้ามจังหวัดโดยใช้รถยนต์เชฟโรเลตของเซี่ยเหลี่ยมายังฐานทัพทหารบนเทือกเขาที่ห่างไกลเมื่อมาถึงหลงบังแสดงเอกสารบางอย่างให้กับเจ้าหน้าที่ทหารที่ทําหน้าที่เฝ้าประตูทางเข้าไม่นานหลังจากได้รับเอกสารพวกเขาก็ปล่อยให้รถของเซี่ยเหลยเข้าไปได้
หลังจากขับเข้าไปภายในฐานทัพแล้วเซี่ยเหล่ยก็ไปจอดให้เรียบร้อยก่อนจะเดินตามหลงทิ้งไประหว่างทางที่เดินนั้นเซี่ยเหลี่ยเห็นทั้งรถถังรุ่นล่าสุด รถหุ้มเกราะรุ่นล่าสุดจอดอยู่มากมายนอกจากยังมีขีปนาวุธต่อต้านอากาศยานอีกเป็นจํานวนมากแถมที่นี่ยังมีระบบเรดาห์ที่แม่นยําเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้กับฐานทัพแห่งนี้เห็นได้ชัดว่าที่นี่เป็นเหมือนฐานที่มั่นของพวกเขา
พวกเขาเดินไปเรื่อยๆจนเข้าไปภายในอุโมงค์ทางเดินที่นี่มีทหารติดอาวุธคอยเฝ้าประจําตามตําแหน่งต่างๆมากมายเพื่อคอยรักษาความปลอดภัย ที่นี่มีเวรตรวจการตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงแม้ว่าจะผ่านประตูทางเข้ามาได้แล้วแต่เมื่อมาอยู่ ณ จุดๆนี้ก็ยังต้องคอยยื่นเอกสารเพื่อยืนยันตัวตนอีกหลายต่อหลายครั้ง
ในอุโมงค์ทางเดินที่พวกเขากําลังเดินอยู่นี้เงียบมาก มันไม่มีเสียงพูดคุยกันเลย มีเพียงแค่เสียงรองเท้าดังตามจังหวะการเดินของทหารที่เดินไปมาเท่านั้น
จู่ๆเซี่ยเหล่ยก็พูดขึ้นว่า “สํานักงานลับ 101 นี่มีอํานาจมากจริงๆ ขนาดกองทัพทหารที่มีการตรวจเข้มขนาดนี้ยังสามารถเข้ามาได้เลย”
“เหลีย ต่อจากนี้เมื่อเข้าไปแล้วอย่าถามหรือพูดอะไรที่ไม่จําเป็นหล่ะ” หลงบังพูดเตือนและพูดต่ออีกว่า “ด็อกเตอร์หนังจิงก็อยู่ที่นี่ ฉันรู้ว่าพวกคุณรู้จักกันแต่ฉันขอเตือนไว้ก่อนถ้าหากคุณถามอะไรไม่เข้าเรื่องละก็แม้แต่ฉันเองก็ไม่สามารถช่วยคุณได้
เซี่ยเหล่ยขมวดคิ้วก่อนจะพูดว่า “ผมก็ไม่ได้เป็นศัตรูกับพวกคุณนี่ ทําไมกันหล่ะ?”
“มันไม่ได้มีปัญหาอะไรกับคุณอยู่แล้วแต่ที่นี่มีระเบียบและข้อบังคับเป็นของตัวเอง” หลงบึงพูดต่ออว่า”ก็อย่างที่พูดไป ที่นี่มีทั้งกฎระเบียบและข้อบังคับโดยเฉพาะ ดังนั้นหากคุณฝ่าฝืนคุณจะได้รับบทลงโทษสูงสุดเข้าใจใช่ไหม?”
หัวใจของเซี่ยเหลียรู้สึกอึดอัดอย่างมากในเมื่อเขาอุตส่าห์แอบมาที่นี่ได้แล้วแต่ไม่สามารถถามข้อมูลอะไรจากหนิงจิงได้แล้วมันจะมีประโยชน์อะไร…
เหตุผลที่เขามีความมุ่งมั่นอย่างมากที่จะมาที่นี่ให้ได้แน่นอนว่าเขาไม่ได้ทําไปเพราะความสนุกหรือคึกคะนองแต่เขาทําไปเพื่อที่จะหาข้อมูลเพิ่มเติมของอันลลอยโบราณซึ่งมันอาจจะมีความเกี่ยวข้องกับ AE เขาจึงต้องทําแบบนี้
“ดูเหมือนเรื่องนี้จะเป็นเรื่องยากซะแล้ว” เซี่ยเหลยคิดในใจ
ตลอดทางเดินในอุโมงค์เซี่ยเหลียได้สังเกตและจดจําสภาพแวดล้อมภายในทั้งหมดรวมถึงนับจํานวนทหารรักษาการที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ตอนนี้ด้วย
ทั้งคู่เดินไปจนสุดทางก็พบกับจุดตรวจความปลอดภัยอีกจุดหนึ่งจุดนี้พวกเขาห้ามนําเครื่องมือสื่อสารกุญแจนาฬิกาหรือแม้แต่กระเป๋าตังผ่านไปได้เรียกได้ว่าเข้าไปได้แค่ตัวกับเสื้อผ้าเท่านั้นหลังจากทิ้งทุกอย่างไว้เรียบร้อยแล้วเจ้าหน้าที่ได้หยิบชุดป้องกันแบคทีเรียบพร้อมกับหน้ากากป้องกันเชื้อโรคให้กับทั้งเซี่ยเหลี่ยและหลงบิงสวมใส่เมื่อแต่งชุดเรียบร้อยแล้วเจ้าหน้าที่ก็พาพวกเขาไปที่ลิฟต์เพื่อไปยังจุดหมาย
หลังจากเข้าลิฟต์ไปแล้ว หลงบึงก็มองไปที่เซี่ยเหล่ยก่อนจะขยับไปกระซิบเพื่อกําชับเขาอีกครั้งว่า “จําไว้ว่าอย่าพูดหรือถามอะไรที่ไม่จําเป็น “
เซี่ยเหลุยพยักหน้าพร้อมพูดขึ้นว่า “ผมเข้าใจแล้ว คุณสบายใจได้”
ลิฟท์กําลังทํางานมันลงต่ําไปเรื่อยๆจนตอนนี้ไม่แน่ใจว่าอยู่ในชั้นใต้ดินที่ลึกลงมาเท่าไหร่แล้วในที่สุดลิฟต์ก็หยุดลงประตูลิฟต์เปิดออกสิ่งที่พวกเขาเห็นอยู่ตรงหน้าก็คือพื้นที่ขนาดใหญ่เทียบเท่าได้กับสนามฟุตบอลเลยภายในมีอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และอุปกรณ์วิทยาศาสตร์มากมายทั้งขนาดเล็กขนาดเท่าฝ่ามือหรือขนาดใหญ่ขนาดเท่ารถบัสพวกเขาให้ความรู้สึกว่าที่นี่เหมือนกับฐานทัพบนยาวอวกาศมันดูหรูหราและทันสมัย แถมที่นี่ไม่มีขยะหรือสิ่งสกปรกแม้แต่น้อย
เซี่ยเหลี่ยพูดว่า “นี่มัน……”
หลงบึงรีบเตะเท้าของเซี่ยเหลี่ยทันที
“อ้อ…ผมลืมตัว ขอโทษนะ” เซี่ยเหลี่ยพูดพร้อมยักไหล่ก่อนจะปิดปากเงียบไม่พูดอะไรขึ้นมาอีก
ภายใต้การนําของเจ้าหน้าที่เซี่ยเหลี่ยและหลงทิ้งได้เดินมาจนถึงประตูทางเข้าอิเล็กทรอนิกส์ขนาดใหญ่ซึ่งเป็นด่านสุดท้ายก่อนจะเข้าสู่ห้องทดลองซึ่งเป็นเป้าหมายของพวกเขา
ห้องปฏิบัติการถูกแบ่งแยกออกเป็นส่วนๆโดยมีกระจกใสแบ่งกั้นเขตเอาไว้ในแต่ละส่วนสามารถมองเห็นซึ่งกันและกันได้ ภายในห้องมีนักวิทยาศาสตร์รวมถึงนักวิจัยกําลังทํางานกันอย่างตั้งใจหนิงจิงเองก็เช่นกันในตอนนี้เธอทํางานโดยที่ไม่รู้ด้วยซ้ําว่าเซี่ยเหลียและหลงบึงกาลังมองเธอยู่
เซี่ยเหลี่ยมองเธออยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหันไปดูสิ่งที่เธอกําลังทําอยู่บนโต๊ะ เซี่ยเหลี่ยตะลึงทันทีเขาคิดขึ้นในใจว่า”นั่นคือหนังสือสําริดที่เธอเคยพูดถึงหรือเปล่า?”
ใช่หรือไม่นะ? แล้วถ้าใช่มันมีอะไรบันทึกอยู่ในนั้นบ้างซึ่งในขณะนี้เซี่ยเหลี่ยอยากรู้เป็นอย่างมาก
เจ้าหน้าที่ที่พาพวกเขามาในตอนนี้ได้หยิบหูโทรศัพท์ที่อยู่ใกล้กับประตูทางเข้าขึ้นมาแนบหูก่อนจะพูดขึ้นว่า”นักวิชาการหวาง โปรดออกมาด้วย”
เสียงของเจ้าหน้าที่ดังผ่านลําโพงภายในห้องปฏิบัติการทดลอง
ในเวลานี้หนิงจิงก็หันไปสนใจที่ประตูทางเข้าของห้องปฏิบัติการห้องทดลอง เธอเห็นว่าเซี่ยเหล่ยกําลังมองเธออยู่ เธอจึงส่งยิ้มให้กับเขาก่อนจะหยิบหนังสือสําริดไปเก็บให้เรียบร้อยและเดินมายังประตูทางเข้าห้องปฏิบัติการห้องทดลอง
ในเวลานี้เซี่ยเหลียหันไปเห็นอัลลอยโบราณที่นํากลับมาจากโรงศพของเจ้าหญิงหยงเหม่ยมันไม่ได้มีแค่ชิ้นเดียวแต่มันมีอีกชิ้นหนึ่งที่ได้มาก่อนหน้านี้ด้วย ตอนนี้อัลลอยโบราณทั้งสองกําลังถูกสแกนอย่างละเอียดเพื่อหาคําตอบและดึงความลับที่ซ่อนอยู่ของมันออกมาและแม้ว่าจะมีเสียงของเจ้าหน้าที่พูดออกจากลําโพงก่อนหน้านี้แต่เหล่านักวิจัยและนักวิทยาศาสตร์บางคนไม่มีท่าทีพวกเขาใจจดใจจ่อยู่กับงานที่ทําอยู่ตรงหน้าเท่านั้นแต่นั่นก็อาจจะเป็นเพราะไม่ได้เรียกชื่อของพวกเขาก็ได้พวกเขาจึงไม่จําเป็นต้องสนใจ
เซี่ยเหลี่ยคิดในใจว่า “ด้วยอุปกรณ์วิจัยทางวิทยาศาสตร์พร้อมกับบุคลากรชั้นแนวหน้าของเราอยู่ที่นี่มากมายพวกเขาต้องการอะไรกันแน่?”
ประตูกระจกเปิดออกพร้อมกับชายชราคนหนึ่งที่เดินออกมา บนหน้าอกของเขามีป้ายระบุชื่อพร้อมกับตําแหน่งเขาเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่มาจากสถาบันวิทยาศาสตร์ของประเทศจีนเป็นนักวิชาการที่ชื่อหวางเหล่ย
การที่จะได้รับตําแหน่งนักวิชาการของสถาบันวิทยาศาสตร์ประเทศจีนนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย พวกเขาเหล่านั้นต้องมีผลงานวิจัยที่โด่ดเด่นทางด้านวิทยาศาสตร์จากสิ่งที่เห็นนี้ทําให้คิดได้ว่าพวกเขามีความจริงจังอย่างมากในการทดสอบอัลลอยโบราณ!
“หัวหน้าหลง ผมรู้สึกลําบากใจมากจริงๆ” หวางเหล่ยพูดด้วยท่าทางอ่อนน้อม จากนั้นก็พูดต่ออีกว่า”ผมไม่รู้จะทําอย่างไรดีเรื่องนี้เป็นเรื่องเร่งด่วนจริงๆ “
หลงบึงพูดว่า “ไม่เป็นไร นี่เป็นงานของเรา”
หวางเหลี่ยมองไปที่เซี่ยเหล่ยก่อนจะพูดขึ้นว่า “นี่คือ…?”
หลงบึงพูดขึ้นว่า “นักวิชาการหวาง เขาคือเซี่ยเหล่ย เขาเป็นคนที่นําสิ่งที่เราต้องการกลับมาจากอัฟกานิสถาน “
หวางเหล่ยพูดอย่างประหลาดใจว่า “สวัสดีคุณเซีย แม้ว่าครั้งนี้เราจะเจอกันเป็นครั้งแรกแต่ดอกเตอร์หนิงพูดถึงคุณบ่อยมาก คุณยอดเยี่ยมจริงๆประเทศของเราต้องการคนแบบคุณ “
เซี่ยเหลียยื่นมือออกไปเพื่อจะจับมือทักทายพร้อมกับพูดว่า “นักวิชาการหวาง ก็พูดเกินไปผมเพียงแค่ทําตามหน้าที่ทําในสิ่งที่ควรทําก็เท่านั้นเองและถ้าเกิดพวกคุณต้องการความช่วยเหลือโปรดบอกผมได้เลยไม่ต้องเกรงใจ “
นี่คือวิธีการของเซี่ยเหลี่ยที่ต้องการบอกเป็นนัยๆให้กับหวางเหล่ย เซี่ยเหลี่ยทําไปเพราะเขากําลังหาโอกาสเพื่อให้ตัวเองได้มีส่วนร่วมในโครงการวิจัยนี้
หลงบึงมองไปที่เซี่ยเหลี่ยทันทีพร้อมกับความรู้สึกังวลกับสิ่งที่เขากําลังทําอยู่
“คุณเซีย แน่นอนผมต้องการความช่วยเหลือจากคุณถ้าจําเป็นแต่สิ่งที่เราต้องการจริงๆตอนนี้คือนักวิจัยไม่ใช่ทหารไว้คราวหน้าแล้วกัน ” พูดเสร็จก็หันไปพูดกับหลงบิงว่า” หัวหน้าหลงโปรดมากับผม”
หลงบึงพยักหน้าพร้อมพูดว่า “นักวิชาการหวางนําทางไปเลย”
เซี่ยเหลี่ยเดินตามพวกเขาไปพร้อมกับคิดในใจว่า “ดูเหมือนนักวิชาการหวางจะไม่ต้องการให้เราเข้ามามีส่วนร่วมในโครงการนี้ซักเท่าไหร่ นี่คงจะเป็นเรื่องลําบากอีกเรื่องหนึ่งเหมือนกัน”
จังหวะนี้หนิงจึงได้เดินมาจนถึงประตูทางเข้า เธอเดินไปจับมือกับเซี่ยเหลี่ยพร้อมพูดว่า “คุณมาได้ยังไง?”
เซี่ยเหลี่ยตอบกลับไปว่า “ก็ไม่มีอะไรมาก ผมแค่มาดูอะไรบางอย่างก็เท่านั้น”
หวางเหลี่ยมองไปที่หนิงจึงก่อนจะพูดอย่างเคร่งขรึมว่า “ดอกเตอร์หนิง คุณไม่จําเป็นต้องมาหรอกนะกลับไปทํางานของคุณซะ “
“ฉัน…… “หนิงจึงพูดแต่ก็ไม่ได้พูดให้จบ สุดท้ายเธอก็เดินกลับไปทํางานของตัวเองตามเดิม
หวางเหล่ยขมวดคิ้วก่อนจะพูดว่า “ไปได้แล้ว ตอนนี้ผมไม่ได้มีเรื่องที่จะพูดกับคุณ”
นี่ไม่ใช่การขอร้องแต่เป็นคําสั่ง !
หนิงจึงมีท่าทางไม่พอใจเล็กน้อยก่อนจะเดินกลับไปทํางานของตัวเอง
“หัวหน้าหลงกับคุณเซีย มากับผมทางนี้เถอะ” หวางเหล่ยพูดพร้อมเดินนําพวกเขาไป
เซี่ยเหลียหันกลับไปดูหนิงจึงหนึ่งครั้งพวกเขาสบตากัน เซี่ยเหลี่ยเห็นปากของเธอพึมพัมบางอยากเหมือนอยากที่จะพูดอะไรออกมา
หลงบังตีมือของเซี่ยเหล่ยก่อนจะพูดขึ้นว่า “เดินไปได้แล้ว ลืมเรื่องที่ฉันบอกไปก่อนหน้านี้แล้วงั้นเหรอ?”
เซี่ยเหล่ย “…”
หลงบังเองก็มองไปที่หนิงจึงก่อนจะหันไปมองที่โต๊ะทํางานของเธอ
“เซี่ยเหลี่ยพยายามแปลคําตามปากของเธอที่พึมพัมออกมาได้ใจความว่า อย่าเพิ่งไป พรุ่งนี้ฉันจะไปหาคุณในตอนเช้า
มุมของปากของเซี่ยเหลี่ยมีรอยยิ้มปรากฏขึ้นทันทีจากนั้นเขาก็คิดในใจว่า “ด้วยความสัมพันธ์ของเราถ้าถามเธอ เธอคงจะบอกอะไรหลายๆอย่างให้ได้รู้ต้องหาวิธีอยู่ที่นี่ให้นานกว่านี้ซะแล้ว “
ในตอนนี้หวางเหลี่ยได้เดินเซี่ยเหลี่ยและหลงวิ่งมาหยุดอยู่ที่ประตูทางเข้าประตูหนึ่ง
ป้ายหน้าประตูเขียนไว้ว่า “ห้องพยาบาล”
เมื่อเข้าไปในห้องเซี่ยเหล่ยก็ได้พบกับชายวัยกลางคนคนหนึ่งที่มีรูปร่างผอมมากนอนอยู่บนเตียงโดยที่ข้อมือและข้อเท้าทั้งสองข้างมีเชือกผูกมัดไว้กับเตียงนอน ทําให้เขาไม่สามารถขยับตัวไปไหนได้
เขาสงบมากในตอนที่เพิ่งเข้าไปภายในห้องแต่เมื่อเขาเห็นว่าหวางเหลี่ยได้พาเซี่ยเหล่ยและหลงบังเข้ามาสีหน้าและท่าทางของเขาก็เปลี่ยนเป็นตื่นตระหนก พร้อมกับพยายามดิ้นเพื่อให้ตัวเองหลุดออกจากเชือกที่มัดอยู่ในตอนนี้ท่าทางของผู้ชายคนนั้นดูหวาดกลัวมากเหมือนว่าเขาจะเคยเจอเหตุการณ์ประหลาดๆขึ้น
หวางเหล่ยพูดขึ้นว่า “ชื่อของเขาคือเฉินเค่อเฉวียนเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการตรวจสอบวัสดุชั้นนําของประเทศเราตอนนี้อาการของเขาดีขึ้นบ้างแล้ว ผมคิดว่าบางทีอาจจะรักษาเขาได้”
“แล้วสถานการณ์ตอนนี้เป็นยังไง?” หลงทิ้งถาม
ในบางเวลาเขาก็ดูสงบมากแต่บางเวลาเขาก็กระตื่นตระหนกพร้อมกับพูดอะไรไม่รู้เรื่องคล้ายเด็กทารกว่า”เจ้าหญิง รีบหนีไป รีบหนีไป ไม่มีเวลาแล้ว รีบหนีไป! “
พูดเสร็จเขาก็กลับมาสงบอีกครั้งพร้อมกับสายตาที่เหม่ยลอยคล้ายกับคนไม่รู้สึกตัว
“เห็นแล้วใช่ไหม?” หวางเหล่ยพูดจากนั้นก็พูดต่ออีกว่า “ไม่เพียงแค่คําพูดแปลกไปเท่านั้นก่อนหน้านี้เขาได้พยายามใช้มีดฟันผู้เชี่ยวชาญคนอื่นๆแต่โชคดีที่ไม่มีใครเป็นอะไรไป”
“แล้วทําไมไม่พาเขาไปโรงพยาบาลหล่ะ?” หลงทิ้งถาม
“ที่นี่มีหมอและอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ทันสมัยและครบครัน เราไม่จําเป็นต้องพาเขาไป” หวางเหล่ยพูดและยังพูดต่ออีกว่า “ที่ผมขอให้คุณมาก็เพื่อให้คุณเข้าใจสถานการณ์ในตอนนี้ ผมต้องการให้คุณเขียนราย งานเกี่ยวกับเรื่องนี้ทั้งหมด”
“แล้วจะให้ทําอะไรบ้าง?” หลงทิ้งถาม
“วิธีการค้นหาวิธีการขุดอัลลอยโบราณ วิธีที่นํามันกลับมาจากหลุมศพ เรื่องต่างๆที่แปลกประหลาดเกินกว่าจะอธิบายได้ไม่ว่าจะเป็นเรื่องไหนก็ตามช่วงเวลาที่ยากลําบากสิ่งที่ได้เห็นสิ่งที่ได้ยิน หรือแม้แต่กลิ่นผมขอให้คุณเขียนรายงานให้กับผมหน่อย” ในขณะที่พูดสายตาของหวางเหล่ยก็จ้องไปที่เซี่ยเหลี่ยตลอดเวลา
แม้ว่าตอนแรกที่ดูเหมือนเซี่ยเหลียจะไม่มีหนทางในการเข้าร่วมโครงการนี้แต่ตอนนี้คิดว่าพอจะมีหนทางแล้วถ้าหลงวิ่งไปขอร้องเรื่องนี้กับฉือโบเหยียนและย้ํากับเขาว่าเรื่องนี้จําเป็จะต้องเขียนรายงานและผู้ที่จะเขียนรายงานได้มีเพียงแค่เขาคนเดียวเท่านั้นนี่อาจจะเป็นโอกาสที่เซี่ยเหล่ยกําลังรออยู่ก็ได้
หลงบึงมองไปที่เซี่ยเหลี่ยทันที
เซี่ยเหลียไม่ได้พูดอะไรตอนนี้เขาหันไปมองเฉินเค่อเฉวียนที่กําลังนอนอยู่บนเตียง
ทันทีที่เขาเห็นเซี่ยเหลีย จู่ๆเขาก็มีท่าทีเหมือนต้องการจะพูดอะไรบางอย่างออกมา…..
ติดตามตอนต่อไป…