The Ultimate Student สุดยอดนักเรียนสมองอัจฉริยะ - ตอนที่ 143
บทที่ 143 หยกราคาสูงเสียดฟ้า
เสียงของล้อเจียรที่ขัดลงไปบนพื้นผิวของหินยังคงส่งเสียงดังอย่างต่อเนื่อง แต่ไม่มีใครในเวลานี้คิดว่าเสียงนี้เป็นที่น่ารําคาญอีกต่อไป เมื่อคริสตัลสีมรกตค่อยๆปรากฏขึ้นให้เห็นมากขึ้นทีละนิดๆ ทุกคนกลับต้องการให้เสียงเจียรหินนั้นรุนแรงและรวดเร็วมากขึ้นกว่าเดิม
ผู้สังเกตการณ์เกือบทั้งหมดแสดงความอิจฉาและความโลภผ่านดวงตาของพวกเขาอย่างชัดเจน พวกเขามองไปยังซากปรักหักพังที่ร่วงหล่นไปบนพื้นใกล้เท้าอาไร่ ในตอนนี้แร่หินที่ถูกเครื่องเจียรขัดจนเผยให้เห็นหยกที่มีขนาดครึ่งหนึ่งของลูกบาสเกตบอล และนี่เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น เมื่อมองไปยังทิศทางของหยก ที่เหลือในแร่หินแล้วดูเหมือนว่ามันน่าจะมีหยกอีกมากกว่าครึ่งหนึ่งจากที่เห็นอยู่ในแร่หินที่ยังไม่ได้รับการเจียระไน!
นอกเหนือจากผู้สังเกตการณ์เหล่านั้นแล้ว ยังมีอีกสองคนที่รู้สึกประหลาดใจมากที่สุด นั่นก็คือฉันซูเจี้ยและอู่ฉางฉุน แต่ใบหน้าที่บ่งบอกถึงความประหลาดใจของพวกเขานั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ฉินซูเจี้ยมองไปที่จี้เฟิงด้วยรอยยิ้มจางๆ ด้วยความหมายที่ลึกซึ้ง ทันใดนั้นเธอก็นึกขึ้นมาได้ว่า เมื่อครั้งแรกที่เธอได้เห็นหยกชิ้นใหญ่แบบนี้ ดูเหมือนว่าเธอจะตื่นเต้นจนไม่สามารถควบคุมสีหน้าของเธอได้เลย แต่ชายหนุ่มตรงหน้าเธอกลับดูสงบนิ่งมาก แม้ว่าใบหน้าของเพิ่งจะมีการแสดงออกถึงความตื่นเต้นยินดีอยู่บ้าง แต่ฉินซูเจี้ยก็ไม่มั่นใจนักว่าเป็นการแสดงออกที่มาจากใจจริงหรือเป็นเพียงแค่การเสแสร้งของเขา
พูดกันตรงๆ ดูเหมือนว่าจี้เฟิงจะไม่รู้สึกแปลกใจเลยที่เขาชนะพนันหินหยกแถมยังเป็นหยกที่มีขนาดใหญ่!
มีความเป็นไปได้หรือไม่ว่าเขาจะรู้มาก่อนว่ามีหยกอยู่ข้างใน? หรือเขาเคยผ่านประสบการณ์ชีวิตที่ระทึกกว่านี้จนทําให้เหตุการณ์ตรงหน้านี้เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยจนไม่สามารถทําให้เขารู้สึกตื่นเต้นได้เลย? ฉินซูเจี้ยมึนงงอยู่พักใหญ่ แต่มีสิ่งหนึ่งที่เธอแน่ใจ นั่นก็คือตอนนี้เธอรู้สึกตื่นเต้นมาก
ปัจจุบันธุรกิจอัญมณีและหยกเป็นธุรกิจที่ไม่ค่อยราบรื่นนัก แน่นอนว่าการแข่งขันก็เป็นสาเหตุหนึ่ง แต่อุปทานที่ตึงตัวก็มีความสําคัญเช่นกัน
(*อุปทาน ปริมาณความต้องการเสนอขายสินค้า หรือบริการชนิดใดชนิดหนึ่งที่ผู้ประกอบการ หรือผู้ผลิตมีความเต็มใจที่จะเสนอขาย และสามารถจัดหามาขาย หรือบริการได้ในขณะใดขณะหนึ่ง ณ ระดับราคาต่าง ๆ ที่ ตลาดกําหนดมาให้)
ตัวอย่างเช่นบริษัทของฉันซูเจี้ยในเวลานี้ เหลือเพียงหยกชั้นดีของร้านค้าที่ตั้งอยู่ในเมืองเพียงหนึ่งหรือสอง ชิ้นเท่านั้น แต่ก็ยังเรียกได้ว่าไม่ใช่หยกที่ดีที่สุด ส่วนใหญ่เครื่องประดับและอัญมณีถูกแกะมาจากหยกสีม่วงหรือหยกคุณภาพต่ํา มันจึงไม่เป็นที่ดึงดูดมากพอสําหรับเหล่าคนรวย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเร็วๆนี้ อุปทานของบริษัทซูเหยาจิวเวลรี่เกิดความตึงตัว ถึงแม้อัญมณีชนิดอื่นๆจะยังคงเพียงพอ แต่หยกชั้นดีเริ่มลดน้อยลงและเริ่มที่จะขาดแคลนแถมยังมียอดขายหยกที่เพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงระยะเวลาไม่กี่ปีที่ผ่านมา ทําให้เห็นได้ชัดว่าความต้องการหยกของผู้คนสวนทางกับหยกที่เริ่มหาได้ยากมากยิ่งขึ้น นี่จึงเรียกได้ว่าเป็นความเสียหายอย่างมากสําหรับบริษัทจิวเวลรี่
เป็นเพราะสาเหตุนี้ฉินซูเจี้ยจึงเข้าร่วมงานแสดงสินค้าหยกด้วยตัวเองเพื่อหาซื้อวัตถุดิบให้เพียงพอต่อความต้องการของตลาดและเพื่อบรรเทาวิกฤตของบริษัท
อย่างไรก็ตามนักธุรกิจคนอื่นๆก็คิดเช่นเดียวกัน พวกเขาต่างเข้าร่วมในงานแสดงสินค้าหยกจนทําให้มีผู้ซื้อ และรอประมูลหยกนั้นมีจํานวนมากเกินไปจนการแข่งขันยิ่งถีบตัวสูงมากขึ้น บางบริษัทนั้นเรียกได้ว่าเป็นบริษัทที่มีอํานาจและมีขนาดใหญ่มาก แม้ว่าบริษัทซูเหยาจิวเวลรี่ของฉันซูเจียจะมีความแข็งแกร่งในด้านทรัพยากรทางการเงิน แต่เมื่อเทียบกับบริษัทเหล่านั้นแล้วนับได้ว่ายังห่างไกลมากทีเดียว
ดังนั้นจึงเป็นเวลาเกือบครึ่งวันแล้วที่ฉินซูเจี้ยมาที่งานแสดงสินค้าแห่งนี้และยังไม่ได้ซื้อหยกเลยแม้แต่ชิ้นเดียว
ถ้าไม่ใช่เพราะฉินซูเจี้ยได้เจอกับจี้เฟิงโดยบังเอิญ เธอคงเข้าร่วมการพนันแร่หินด้วยตัวเองอย่างแน่นอน นั่นจึงเป็นเหตุผลที่เธอพาอาไร่เซียนหยกคนนี้มาที่งานแสดงสินค้าด้วย
แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าเธอไม่จําเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องนั้นแล้ว
แร่หินหรือหินหยกหยาบที่เพิ่งซื้อมา ได้เผยให้เห็นว่ามีหยกอยู่ข้างในนั้นอย่างแน่นอนและมันก็เป็นปริมาณที่ไม่น้อยเลย!
เมื่อพิจารณาจากขนาดของหยกที่ถูกเผยให้เห็นแล้วก็พอจะรู้ได้ว่าหยกชิ้นนี้มีขนาดใหญ่เท่ากับลูกบาสเกตบอลและลักษณะของเนื้อหยกยังดีมากอีกด้วย หากเธอซื้อมันมาได้มันก็จะเพียงพอสําหรับบริษัทของเธอที่จะยืนหยัดต่อไปได้อีกระยะหนึ่ง
“ช่างเป็นชายหนุ่มที่น่าสนใจจริงๆ!” เมื่อฉันซูเจี้ยมองไปที่จี้เฟิงที่ยืนอยู่ไม่ไกล เธอก็อดไม่ได้ที่จะพึมพําออกมา
ส่วนความประหลาดใจที่แสดงออกอย่างตรงกันข้ามกันกับของฉันซูเจี้ยนั่นก็คือท่าทีของอู่ฉางฉุนที่เวลานี้กองอยู่กับพื้นข้างๆเครื่องตัดหินด้วยสีหน้าเหมือนคนไร้วิญญาณ และมีสองพี่น้องฮูซูฉินและซ่ฮ่ยยืนทําหน้าเหวออยู่ข้างๆ
พวกเขาทั้งสามคนมองไปที่เฟิงอย่างว่างเปล่า ความรู้สึกโมโหและอิจฉาปะปนอยู่ในใจของพวกเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งคู่ฉางฉุนที่ตอนนี้ใบหน้าของเขาเริ่มกลับมามีสีเลือด แต่เป็นสีที่แดงก่ําราวกับมีใครบางคนกําลังบีบคอของเขาอยู่ มีเส้นเลือดสีฟ้าปดขึ้นที่หน้าผากของเขาสองสามเส้น
“ไอ้สารเลว! มีเงินติดตัวแค่หนึ่งล้านแต่กลับกล้าประมูลแร่หินจนทําให้กูต้องซื้อเศษหินในราคาหกล้าน!”
การสูญเสียเงินมากกว่าหกล้านหยวนทําให้อิฉางฉุนแทบกระอักเลือด เกรงว่าถ้าไม่มีผู้คนจํานวนมากอยู่ที่นี่ เขาคงคว้าเครื่องเจียรไปทําร้ายจี้เฟิงให้รู้แล้วรู้รอด
แต่หญิงสาวสองพี่น้องฮูซูฉินและฮซ่ฮียซึ่งตอนนี้เต็มไปด้วยความอิจฉาริษยากําลังรับไม่ได้และไม่เข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้า “ทําไมอ่ฉางฉุนถึงพ่ายแพ้ในการพนันหินหยกที่มั่นใจนักหนา แต่เด็กขายผักยากจนด้อยค่าไร้ความสามารถกลับชนะพนันจนได้หยกชิ้นใหญ่?”
อันที่จริงสองพี่น้องยังไม่รู้ว่าหยกขนาดใหญ่ที่จี้เพิ่งได้มานั้นมีมูลค่าเท่าไหร่ เกรงว่าถ้าหากพวกเธอรู้ก็คงจะอิจฉาจนตาแทบจะลุกเป็นไฟ
“เอื้อก!”
เสียงกลืนน้ําลายของหลายๆคนดังออกมาอย่างชัดเจน พวกเขาจ้องมองหยกที่กําลังปรากฏและใหญ่ขึ้นเรื่อยๆในมือของอาไห่ด้วยความตื่นเต้นและมีความโลภฉายชัดอยู่ในดวงตาของพวกเขา
“เห้ย! นั่นมันหยกน้ําแข็ง?!” พ่อค้าหยกคนหนึ่งอุทานขึ้นมาด้วยความประหลาดใจสุดขีด “ไม่จริงใช่มั้ย มันคือหยกเนื้อน้ําแข็งขนาดใหญ่!”
จี้เฟิงตกตะลึงในทันที เขาไม่เคยได้ยินเรื่องหยกเนื้อน้ําแข็งมาก่อน
“ไม่ใช่ว่าหยกที่ดีที่สุดคือหยกเนื้อน้ําหรอกหรือ แล้วหยกเนื้อน้ําแข็งมาได้ยังไง?” จี้เฟิงงุนงงเล็กน้อย เขาอยากจะถามอาไห่ แต่เมื่อเห็นว่าอาไร่ยังคงยุ่งอยู่เขาจึงขับไล่ความสงสัยนี้ออกไปก่อน แล้วรอจนกว่าอาไห่จะจัดการธุระตรงหน้าเสร็จ
“แจ๊ดดด..ดด!!”
เมื่อเสียงเจียรครั้งสุดท้ายหยุดลงหยกในมือของอาไร่ก็เผยสีและปริมาณที่แท้จริงออกมา
หยกขนาดใหญ่เท่ากับลูกบาสเกตบอลสองลูก ถึงแม้จะมีรูปร่างที่บิดเบี้ยวผิดปกติอยู่บ้าง แต่สิ่งนี้ก็ไม่ได้บดบังความสวยงามและลดทอนมูลค่าของตัวมันได้เลย
“อืม..สวยจริงๆ ช่างเป็นหยกน้ําแข็งที่งดงามมาก!”
อาไร่ปาดเหงื่อบนหน้าผากของเขาแล้วอุทานออกมาเบาๆ “ฉันคร่ําหวอดอยู่ในวงการหยกมาเกือบตลอดชีวิต แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันได้ไขแร่หินหยกก้อนใหญ่ขนาดนี้ด้วยมือของฉันเอง และที่ยิ่งกว่านั้นมันยังเป็นหยกน้ําแข็งที่สวยงามอีกต่างหาก!”
ไม่เพียงแต่เขาเท่านั้นที่ประหลาดใจ แต่ผู้คนโดยรอบที่จ้องมองไปยังหยกน้ําแข็งที่สวยงามราวกับถูกมันดึงดูดจนยากที่จะละสายตา ก็ประหลาดใจไม่แพ้กัน
มันคือหยกเนื้อน้ําแข็งขนาดเท่ากับลูกบาสสองลูก!
อาไห่สั่งให้พนักงานชั่งน้ําหนักทันทีซึ่งผลที่ออกมายิ่งทําให้ผู้คนโดยรอบถึงกับขนลุก น้ําหนักของมันมากกว่าสี่สิบสามกิโลกรัม
สายตาแห่งความโลภของผู้คนโดยรอบต่างจับจ้องไปที่หยกอย่างไม่สามารถปกปิดได้
“จีจี!” อาไร่เดาะลิ้นเบาๆและหันไปพูดกับจี้เฟิง “จี้เฟิงเธอช่างเป็นเด็กหนุ่มที่โชคดีจนฉันไม่รู้จะพูดยังไงเลยจริงๆ!” อาไห่มองไปที่เด็กหนุ่มเจ้าของหยกก้อนใหญ่อย่างงี้เฟิงแล้วอดยิ้มไม่ได้ บางทีอาจเป็นเพราะความตื่นเต้น ดูเหมือนอาไร่จะกล้าพูดอย่างสนิทสนมกับจี้เฟิงมากขึ้น
จี้เพิ่งยิ้มเล็กน้อยและพูดว่า “อาไห่นี่ไม่ใช่โชคของผมคนเดียวหรอก อาไร่เป็นคนลงมือขัดเจียรหินด้วยตัวเองขนาดนี้ถ้าจะบอกว่าเป็นโชคก็ต้องเป็นเพราะโชคและฝีมือของอาไร่ด้วยเช่นกัน!”
อาไหยิ้ม เขาชี้ไปที่หยกแล้วพูดว่า “จี้เฟิง หยกชิ้นนี้คือหยกเจไดต์เนื้อน้ําแข็ง ประเภทของมันอยู่ไม่ห่างจากหยกไจไดต์เนื้อน้ําเท่าไหร่นัก แต่หยกชิ้นนี้มีขนาดที่ใหญ่มาก และภายใต้สถานการณ์อย่างในปัจจุบันหยกเจไดต์ชนิดนี้จึงเรียกได้ว่าเป็นหยกเจไดต์ที่ดีที่สุด!”
จี้เฟิงที่ไม่ทันจะได้พูดหรือถามอะไรกับอาไห่ ก็ถูกนักธุรกิจคนหนึ่งตะโกนแทรกขึ้นมา “พ่อหนุ่ม เธอเอาหยกไปประเมินราคาได้เลย ฉันจะจ่ายราคาเต็มให้ทันที!”
“ฉันอยู่ในวงการค้าหยกมามากกว่าสิบห้าปี เครดิตแน่นปึก พ่อหนุ่มขายให้ฉันดีกว่า!” พ่อค้าหยกวัยกลางคนคนหนึ่งพูดด้วยรอยยิ้ม “หรือไม่ก็ให้อาไห่ตีราคาเดี๋ยวนี้เลยและหลังจากตีราคาได้แล้ว ฉันจะเพิ่มให้เธออีก 10%!”
คนอื่นๆเห็นดังนั้นจึงตะโกนเสนอราคาบ้างทันที หยกชิ้นใหญ่เช่นนี้เพียงพอที่จะทําให้มั่นใจได้ว่าบริษัทเล็กๆจะมีสินค้าคงคลังได้นานถึงครึ่งปีโดยไม่มีปัญหาใดๆ และที่สําคัญมันยังเป็นหยกเนื้อน้ําแข็งซึ่งเป็นสิ่งที่ดึงดูดลูกค้าที่ร่ํารวยได้อย่างแน่นอน
อาไห่มองไปที่จี้เพิ่งและพูดด้วยรอยยิ้ม “อยู่ที่เธอแล้วว่าจะตัดสินใจอย่างไร!”
มีรอยยิ้มจางๆปรากฏบนใบหน้าของจี้เฟิง เขาพูดขึ้นด้วยเสียงที่ดังและสง่าผ่าเผยแต่แฝงไปด้วยความอ่อนน้อม “ผมต้องขอโทษทุกๆท่านด้วย หยกชิ้นนี้ถูกจองแล้ว!”
นักธุรกิจหลายคนรู้สึกผิดหวังอย่างกะทันหัน แต่ก็ยังมีบางคนที่ยังรู้สึกว่าน่าจะพอมีหวังอยู่บ้างและพูดขึ้นว่า “น้องชายหยกก้อนนี้มันใหญ่มาก มันอาจจะเป็นเรื่องยากที่คนคนนึงจะรับซื้อมันได้ทั้งหมด ทําไมน้องชายไม่ลองไปปรึกษากับคนที่จองไว้ดูก่อน ว่าเขาพอจะแบ่งขายให้กับฉันบ้างได้ไหม”
“ใช่ใช่!” คนอื่นๆสนับสนุนคําพูดนี้ทันที
จี้เฟิงหันไปมองทางฉินซูเจียแล้วยิ้ม “คุณฉิน เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับคุณแล้ว คุณควรเป็นคนตัดสินใจ”
“หึม! ฉันเหรอ?” สายตาของทุกคนเปลี่ยนไปที่ฉินซูเจี้ยอย่างรวดเร็ว และเมื่อพวกเขาพบว่าเป็นเธอ พวกเขาก็รู้สึกตกตะลึงทันที โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักธุรกิจท้องถิ่นในเจียงโจวถึงกับทําหน้าไม่ถูก
ฉินซูเจียรีบก้าวไปข้างหน้า เธอกลัวว่าเธออาจจะพลาดโอกาสที่จะได้หยกชิ้นนี้
เนื่องจากหลายคนพอจะรู้ว่าภูมิหลังของฉันซูเจี้ยนั้นไม่ธรรมดาแถมบริษัทของเธอก็ยังแข็งแกร่งมากเช่นกัน และในสถานการณ์เช่นนี้มันมีความเสี่ยงมากเกินไปที่อาจจะทําให้เธอไม่พอใจ และไม่ใช่เรื่องที่ดีนักที่จะแข่งขันกับบริษัทซูเหยาจิวเวลรี่ของเธอ
ท้ายที่สุดแล้วนักธุรกิจต่างชาติจะจากไปเมื่อไหร่ก็ได้ แต่นักธุรกิจที่อยู่ในพื้นที่ต้องอยู่ที่นี่ต่อไปมันจึงจําเป็นที่พวกเขาจะต้องรู้งานและรู้ว่าอะไรที่ควรยุ่งและอะไรที่ไม่ควรยุ่ง และที่สําคัญหากพวกเขาต้องการดําเนินธุรกิจอยู่ที่นี่ต่อ การขัดแย้งกับซูเหยาจิวเวลรี่ก็ไม่ใช่ทางเลือกที่ดีอย่างแน่นอน!
“โอ้ว เป็นประธานฉินนี่เองที่สั่งซื้อหยกชั้นดีชิ้นนี้ สมกับที่เป็นประธานฉินแห่งซูเหยาจิวเวลรี่ ช่างมีวิสัยทัศน์ที่ยอดเยี่ยมมาก!” สิ่งที่นักธุรกิจเชี่ยวชาญอีกอย่างหนึ่งคือการยกยอเพื่อพัฒนาความสัมพันธ์ แม้ว่าพวกเขาจะยอมแพ้ให้กับการแข่งขันประมูลหยกอย่างเด็ดขาดแล้วแต่อย่างน้อยก็ยังไม่ยอมแพ้ในเรื่องอื่นและไม่ยอมพลาด หากจะมีอะไรติดไม้ติดมือกลับไปสักเล็กน้อย ด้วยการมีสัมพันธ์อันดีกับฉินซูเจียซึ่งเป็นประธานและเจ้าของบริษัทซูเหยาจิวเวลรี่จะต้องส่งผลดีกับพวกเขาในอนาคตอย่างแน่นอน!
ด้วยรอยยิ้มที่สง่างามบนใบหน้าสวยของฉันซูเจีย ริบฝีปากสีแดงของเธอค่อยๆเปิดออกเล็กน้อย “คุณก็ชมเกินไป”
จี้เฟิงยิ้ม “คุณฉิน ตามข้อตกลงก่อนหน้านี้ที่เราได้คุยกันไว้ หยกชิ้นนี้ผมจะขายให้กับคุณ”
ฉินซูเจี้ยพยักหน้ารับพร้อมรอยยิ้มหวาน เธอมองไปที่อาไห่และกระซิบ “อาไห่คุณสามารถประเมินราคาได้เลย!”
อาไห่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “หยกของจี้เฟิงเป็นหยกเนื้อน้ําแข็งที่ยอดเยี่ยมและมีขนาดใหญ่ นอกจากจะนําไปแกะสลักวัตถุขนาดเล็กได้แล้วยังสามารถแกะสลักวัตถุขนาดใหญ่ที่หาได้ยากและเป็นที่ต้องการของตลาดอีกด้วย ดังนั้นราคาจึงค่อนข้างสูงทีเดียว อย่างไรก็ตามนอกเหนือจากค่าแกะสลักและค่าใช้จ่ายอื่นๆจะขอพูดถึง แต่ราคาของหยกเท่านั้น ฉันคิดว่ามันควรจะอยู่ที่สี่ถึงห้าสิบล้านหยวน!”
“เฮือก!”
ทันทีที่คําพูดของอาไร่สิ้นสุดลง สองพี่น้องฮูซูฉินและฮูซู่ฮียก็เผลอสูดลมหายใจเข้าไปอย่างแรงและแทบจะลืมผ่อนลมหายใจออกมา มันแพงขนาดนั้นเลยหรอ?!
ใบหน้าของอู่ซ่ฮ่ยยิ่งแสดงถึงความไม่อยากจะเชื่อ เธอสูญเสียเสียงของเธอไปโดยไม่รู้ตัวและได้แต่คิดในใจ “เป็นไปได้ยังไง จี้เฟิงเด็กยากจนที่มีเพียงแม่ที่ขายผักตามข้างทางคอยหาเลี้ยงจะกลายเป็นมหาเศรษฐี ในพริบตาได้อย่างไร แล้วหยกเพียงแค่ชิ้นเดียวจะมีค่าราคาแพงจนถึงขนาดพลิกชีวิตคนคนหนึ่งได้ขนาดนี้เลยหรือ?!”
ฉินซูเจี้ยมองไปที่จี้เฟิงแล้วถามว่า “คุณจจะคิดราคาอย่างไรกับหยกชิ้นนี้”
จี้เฟิงยิ้มอย่างอารมณ์ดีเขาพยักหน้าเล็กน้อยแล้วพูดว่า “ตามที่อาไห่บอก นั่นคือราคาของหยกชิ้นนี้”
“ถ้าคุณพูดแบบนั้น มันจะไม่เป็นการเอาเปรียบคุณจี้เกินไปหรอกหรือ?” ฉินซูเจี้ยหัวเราะเบาๆ
จี้เฟิงส่ายหัวและยิ้ม “คุณฉินอย่าลืมนะครับว่าถ้าผมไม่ได้เงินที่ยืมมาจากคุณฉิน ผมคงไม่ได้ซื้อแร่หินก้อนนี้ด้วยซ้ํา แล้วนับประสาอะไรกับการที่ผมจะได้ขายหยกชิ้นนี้!”
“จี้เฟิง เธอนี่เป็นชายหนุ่มที่ซื่อตรงและไม่มีความโลภเลยแม้แต่น้อย ดีๆ!” อาไห่กล่าวชื่นชม
เมื่อเห็นฉินซูเลี้ยสั่งให้คนโหลดหยกขึ้นรถไป นักธุรกิจบางคนที่ยังแอบมีความหวังอยู่ลึกๆก็เสียดายที่สุดท้ายแล้วพวกเขาก็ยังคงพลาดโอกาสดีๆเช่นนี้ไป
เมื่อมองจากสถานการณ์ในปัจจุบันเกรงว่าการซื้อขายหยกในครั้งนี้ จะเป็นการซื้อขายหยกเจไดต์ที่ดีที่สุดในงานแสดงสินค้านี้แล้ว
ในความคิดของสองพี่สองฮซูฉินและฮซ่ฮียต่างมีคําว่า “ราคาสูงเสียดฟ้า!”
..จบบทที่ 143