The Ultimate Student สุดยอดนักเรียนสมองอัจฉริยะ - ตอนที่ 151
บทที่ 151 เด็กเกเรจี้ช่าวหยิน
สองพี่น้องชาวตงและจี้ช่าวเหลยต่างมองหน้าและยิ้มอย่างขมขึ้นในเวลาเดียวกัน
“เสี่ยวเฟิง ฉันก็ไม่ปฏิเสธหรอกนะว่าวิธีที่นายพูดมันก็เป็นวิธีที่ดีมาก แต่.. เสี่ยวหยินยังเด็กอยู่ ปีนี้เขาเพิ่งจะอายุได้สิบห้าสิบหกปีเอง ฉันไม่อยากใช้วิธีที่รุนแรงเกินไปนักกับเขา..” จี้ชาวเหลยกล่าวด้วยรอยยิ้มที่บิดเบี้ยว
แม้ว่าพวกเขาอยากจะปกป้องน้องชายมากแค่ไหนแต่เขาก็ต้องใส่ใจกับคําพูดของจี้เฟิง คุณต้องรู้ก่อนว่าในตระกูลจนั้น ถึงแม้จี้เพิ่งจะอายุน้อยกว่า แต่ตัวตนของเขานั้นสําคัญมาก เพราะเขาคือลูกชายของลูกชายคนโตแห่งตระกูลจ ถ้าหากเป็นในสมัยโบราณเขาจะเป็นทายาทในอนาคตผู้ซึ่งจะขึ้นมาเป็นผู้นําตระกูลรุ่นต่อไปต่อจากพ่อของเขา
แม้ว่าจะไม่ใช่ยุคสมัยโบราณ แต่วัฒนธรรมและกฎดั้งเดิมหลายอย่างของจีนยังคงได้รับการอนุรักษ์ไว้อย่างสมบูรณ์ โดยเฉพาะกับบางตระกูลที่เป็นตระกูลใหญ่ พี่ชายทั้งสองคนของจี้เพิ่งได้รับการศึกษาเกี่ยวกับวัฒนธรรมและกฎสมัยโบราณมาตั้งแต่ยังเด็ก ดังนั้นคําพูดของจี้เฟิงจึงเป็นสิ่งที่ไม่สามารถละเลยได้
ถ้าจี้เฟิงบอกเรื่องจี้ช่าวหยินกับคุณปู่ของพวกเขาซึ่งเป็นผู้นําตระกูลจ เกรงว่าไม่เพียงแต่จี้ช่าวหยินเท่านั้นที่จะถูกตําหนิ เพราะแม้แต่จี้เจิ้นถั่วพ่อของพวกเขาก็น่าจะโดนคุณปู่ตําหนิไปด้วย และถ้าหากเรื่องนี้ทําให้คุณปู่ของพวกเขาโกรธมาก มันก็อาจจะกลายเป็นเรื่องใหญ่
ดังนั้นเมื่อจี้ช่าวเหลยอยากจะห้ามปราบจี้เฟิงจึงทําได้แค่เพียงพูดห้ามอย่างอ้อมๆเท่านั้น
จี้เพิ่งส่ายหัว “ไม้อ่อนดัดง่ายไม้แก่ดัดยาก พี่ใหญ่พี่รองผมว่าถ้าจะฝึกก็ต้องฝึกตั้งแต่อายุยังน้อยๆจะไม่ดีกว่าเหรอครับ หรือเราจะรอให้เขาเติบโตกลายมาเป็นลูกคนรวยที่เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ แล้วรอให้พวกเราคอยตามเช็ดตามเก็บ?”
ทั้งจี้ช่าวตงและจี้ชาวเหลยต่างเงียบ เห็นได้ชัดว่าคําพูดของจี้เฟิงนั้นแทงใจดําพวกเขาทั้งคู่ พวกเขาถึงกับรู้สึกปวดหัวขึ้นมาทันที
“งั้นก็ช่างมันเถอะ เรายังไม่ต้องรีบพูดถึงเรื่องนี้กันในตอนนี้ เอาไว้รอผมให้ผมได้เจอกับจี้ช่าวหยินก่อนผมจะได้ถามความต้องการของเขาด้วยตัวเองเลย!” เมื่อเห็นว่าจี้ช่าวตงและจี้ชาวเหลย ไม่สามารถตัดสินใจในเรื่องนี้ได้ จี้เฟิงจึงยิ้มและพูดตัดบท “บางทีจี้ช่าวหยินเขาอาจจะอยากพัฒนาตัวเองและตัดสินใจที่จะเข้าร่วมกองทัพด้วยตัวเองเลยก็ได้”
“เอาล่ะ งั้นเราก็ไปกันเถอะ!” จี้ชาวตงได้แต่ยิ้มและส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ เห็นได้ชัดว่าแม้แต่เขาเองก็ไม่สามารถจัดการเรื่องนี้ได้อย่างเด็ดขาด
ทั้งสามคนเดินมาที่ซอยเล็กๆที่อยู่ไม่ไกลจากลานบ้าน ซึ่งมีรถ BMW X6 ของจี้ชาวเหลยจอดอยู่
จี้ชาวเหลยก้าวไปและกําลังจะเอื้อมมือไปเปิดประตูรถ แต่ทันใดนั้นจี้เฟิงก็คว้าข้อมือของเขาไว้ “ช้าก่อนพี่รอง!”
“มีอะไรเหรอ?” จี้ชาวเหลยสะดุ้ง
จี้เฟิงขมวดคิ้วและมองไปที่ประตูรถจากนั้นเขาก็จ้องไปตรงที่มือจับของประตูแล้วพูดขึ้นว่า “ถ้าผมคิดไม่ผิด รถคนนี้น่าจะถูกเปิดออกหลังจากที่เราออกไป”
“อะไรนะ?!” ดวงตาของชาวเหลยเบิกกว้างทันที เขาขมวดคิ้วและพูดว่า “ได้มีคนเข้าไปในรถหรือเปล่า”
จี้เฟิงพยักหน้าและพูดว่า “ใช่ พี่รองจําได้ไหมตอนที่เราออกมาจากคลับ เราก็ไม่ได้แวะที่ไหนพวกเราตรงขึ้นรถและมาที่นี่ทันที ตอนนั้นพี่รองอาจจะไม่ได้ใส่ใจ แต่ตอนนั้นพี่รองมีคราบชาติดอยู่ที่มือ!”
จี้เฟิงชี้ไปที่มือจับที่ประตูรถ “แต่ตอนนี้ไม่มีร่องรอยของคราบน้ําชา หรือแม้แต่รอยนิ้วมือก็ไม่มีราวกับว่ามีคนตั้งใจที่จะเช็ดมันออก!”
ใบหน้าของจี้ชาวเหลยเริ่มมืดมน เห็นได้ชัดว่าทุกสิ่งที่จี้เฟิงพูดนั้นฟังดูสมเหตุสมผลมาก ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อตอนที่เขาปิดประตูเขาก็มาถึงที่ลานบ้านของครอบครัวเรียบร้อยแล้ว และคราบชาบนมือของเขาก็แทบจะไม่มีแล้ว แต่รอยนิ้วมือยังคงถูกทิ้งไว้ตรงที่จับของประตูรถอย่างสมบูรณ์ และถ้านับเวลาตั้งแต่ที่พวกเขาออกมาจากคลับจนมาถึงลานบ้านรอยนิ้วมือที่ติดอยู่ตรงที่จับประตูรถจะต้องทิ้งร่องรอยไว้อย่างชัดเจนมากขึ้น
แต่ตอนนี้ตรงที่จับประตูรถไม่เหลือรอยนิ้วมือใดๆไว้เลยนั่นหมายความว่ามันถูกเช็ดออก! เพราะมีคนเปิดประตูรถเพื่อเข้าไปข้างในจริงๆ โดยปกติแล้วถ้ามีคนอื่นพยายามที่จะเข้าไปในรถ สัญญาณเตือนภัยจะดังขึ้นโดยอัตโนมัติและจะดังไปที่คอมพิวเตอร์พกพา(PDA)ของจี้ชาวเหลยด้วย แล้วถ้าเป็นเช่นนั้นจี้ชาวเหลยจะต้องรู้โดยทันที
อย่างไรก็ตามเขากลับไม่ได้ยินสัญญาณเตือนภัยหรือเสียงแจ้งเตือนใดๆเลย ซึ่งหมายความว่ามีคนทําให้เครื่องส่งสัญญาณเตือนภัยหยุดทํางาน
“ปัง!” จี้ชาวเหลยเตะรถด้วยความโมโห “ไอ้ชั่วคนไหนมันกล้ามาลองดีกับฉันวะ!”
จี้ชาวตงกล่าวอย่างเคร่งขรึม “ฉันคิดว่าเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นนี้มันชักจะแปลกๆ ฉันได้จ้างหมอปลอม รถของนายยังถูกคนอื่นบุกรุกและมีการเช็ดรอยนิ้วมือออกเพื่อทําลายหลักฐาน ทั้งหมดนี้มันจะเป็นแค่เรื่องบังเอิญจริงๆน่ะเหรอ?”
ใบหน้าของจี้ช่าวเหลยกลายเป็นสีแดงจนเกือบจะดํา “มีใครบางคนต้องการจัดการกับตระกูลจของเรา!”
“มันเป็นเรื่องที่แย่มากที่ใช้วิธีลอบกัดอย่างผิดกฎหมายแบบนี้!” จี้ชาวตงกล่าวด้วยใบหน้าที่ดํามืดและพูดอย่างเย็นชา “ถ้าเรื่องพวกนี้เกิดจากฝีมือของฝ่ายตรงข้ามของตระกูลเราจริงๆ พวกมันคงบ้าไปแล้ว และไม่ว่าพวกมันจะทําสําเร็จหรือไม่ จุดจบของพวกมันต้องไม่สวยแน่!”
ไม่ว่าจะใหญ่หรือเล็ก ทุกคนต่างปฏิบัติตามกฎ และไม่ว่าพวกเขาจะต่อสู้กันมาขนาดไหนพวกเขาจะไม่ใช่วิธีโจมตีกันแบบนี้ แต่ถ้าหากคุณทําเช่นนั้นก็จะไม่มีใครยอมอย่างแน่นอน และคุณต้องรู้ด้วยว่าทุกคนต่างเป็นคนที่มีฐานะยิ่งไปกว่านั้นจ์เจิ้นกั่วเป็นถึงผู้นําระดับสูง หากมีคนโจมตีเขาเช่นนี้ก็เท่ากับเป็นการต่อต้านคนทั้งประเทศ คงไม่มีใครโง่ขนาดนั้น
แล้วใครกันที่กล้าจนถึงขนาดมาทําเช่นนี้กับพวกเขา?
พี่น้องสามคนแห่งตระกูลจิ้ต่างมองหน้ากันและพวกเขาก็เห็นสีหน้าแห่งความงุนงงในสายตาของกันและกัน เรื่องนี้มันผิดปกติมาก
“ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นใครพวกเราก็ต้องหาตัวให้พบ ไม่เช่นนั้นตระกูลทั้งหมดจะไม่มีวันสงบสุข!” จี้ชาวตงกัดฟัน
จี้เพิ่งและจี้ชาวเหลยต่างพยักหน้าอย่างพร้อมเพียงกัน “ครับพี่ใหญ่ เราต้องหาตัวมันมาให้ได้!”
“เอาล่ะ ไว้เราค่อยมาพูดถึงเรื่องนี้กันทีหลัง ตอนนี้พวกเราไปหาช่าวหยินกันก่อนดีกว่า ปล่อยให้อาสามตรวจสอบและเค้นความจริงจากไอ้หมอปลอมนั่นไปก่อน”
“ใช่!” จี้ชาวเหลยพยักหน้า เขาเชื่อใจจี้เจิ้นผิงอาสามของเขามากในฐานะกัปตันทีมเรดแอร์โรว์การทําสิ่งนี้ ไม่เกินความสามารถของเขาอย่างแน่นอน
“แล้วนี่… จะไม่เกิดปัญหาอะไรใช่มั้ย?” จี้ชาวตงชี้ไปที่รถและถาม
“ผมก็ตอบไม่ได้จนกว่าผมจะได้เข้าไปในรถ แต่หลังจากที่เข้าไปแล้วพวกพี่ก็อย่าเพิ่งพูดอะไร” จี้เฟิงกล่าว พร้อมกับพยักหน้าส่งสัญญาณให้จี้ชาวเหลยเปิดประตูรถ หลังจากนั้นจี้เฟิงก็รีบเดินเข้าไปในรถและสังเกตมันอย่างระมัดระวัง และพูดขึ้นว่า “พี่รองเอากล่องเครื่องมือมาให้ผมหน่อย”
จี้ชาวเหลยเดินไปที่ท้ายรถและนํากล่องเครื่องมือมาส่งให้จี้เฟิง
จี้เฟิงหยิบไขควงและเปิดแผงหน้าปัดรถยนต์ออกมา จากนั้นเขาก็หยิบวัตถุสีดําขนาดเล็กประมาณแมลงเต่าทองออกมา และเมื่อตรวจสอบอย่างใกล้ชิด ก็พบว่าวัตถุสีดําชิ้นนี้คล้ายกลับโทรศัพท์มือถือแต่มันมีขนาดเล็กมาก
ใบหน้าของจี้ชาวเหลยเปลี่ยนไปทันที เขารู้ว่าสิ่งนี้มันคือเครื่องดักฟัง
จี้เฟิงค้นหายังจุดอื่นๆต่อจนแน่ใจว่าเขาไม่พบอะไรแล้ว จึงพูดขึ้นว่า “พี่รอง ผมว่าพี่เอาของพวกนี้ส่งให้อาสามช่วยตรวจสอบดูดีกว่า!”
จี้ชาวเหลยพยักหน้า พร้อมกับรับเครื่องดักฟังเล็กๆมา เขาดูมันอย่างใกล้ชิดอีกครั้ง และพบว่ามันเป็นเครื่องดักฟังของทางการทหาร ยิ่งไปกว่านั้นการระงับสัญญาณเตือนของรถ BMW ได้อย่างเงียบเชียบก็ไม่น่าจะใช่สิ่งที่คนธรรมดาสามารถทําได้
จี้ชาวเหลยลงจากรถและเดินกลับเข้าไปในบ้าน มีเพียงจี้ชาวตงและจี้เฟิงเท่านั้นที่นั่งรออยู่ในรถ ทั้งคู่ต่างไม่ได้พูดอะไรกันแม้แต่คําเดียว และดูเหมือนว่าพวกเขากําลังคิดและกังวลเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
สิบนาทีต่อมาจี้ช่าวเหลยก็เดินกลับมาพร้อมกับทําหน้าตาแปลกๆ “พี่ใหญ่ เสี่ยวเฟิง เมื่อตอนที่ฉันกลับ เข้าไปในบ้านอาสามโทรมาพอดี อืม.. เหมือนเขาจะรู้แล้วว่าใครเป็นคนทํา”
เมื่อเห็นใบหน้าแปลกๆของจี้ชาวเหลย จี้ชาวตงและจี้เฟิงก็อดไม่ได้ที่จะอยากรู้อยากเห็นว่าใครกันที่กล้าใช้วิธีสกปรกมาจัดการกับคนในตระกูลจี้ มันเป็นทั้งเรื่องที่ผิดกฎหมายและไม่เป็นที่ยอมรับของผู้คนในวงสังคมชั้นสูง แต่เมื่อมองไปที่ท่าทีและสีหน้าที่เปลี่ยนไปของจี้ชาวเหลยในตอนนี้ ดูเหมือนกับว่าความโกรธของเขาเริ่มจางหายไป ซึ่งไม่เหมือนกับสีหน้าและท่าทางที่ดูโกรธมากของเขาเมื่อตอนก่อนหน้านี้
“เกิดอะไรขึ้น?” จี้ช่าวตงถามด้วยเสียงทุ่มต่ํา ไม่ว่าคนที่ต้องการจัดการกับตระกูลจะเป็นใครก็ตาม จี้ชาวตงจะไม่อภัยให้เป็นอันขาด โดยที่ไม่ต้องพูดถึงว่าอีกฝ่ายให้หมออัจฉริยะจอมปลอมอาศัยช่องโหว่จากความเป็นห่วงพ่อของเขาเข้ามา เพื่อทําให้พ่อของเขาต้องรู้สึกเจ็บปวด และถ้าไม่ได้จี้เฟิงพ่อของเขาอาจตกอยู่ในอันตรายมากกว่านี้ เมื่อนึกถึงสิ่งนี้จี้ชาวตงก็รู้สึกละอายและอึดอัดจนแทบจะหายใจไม่ออก
จี้ชาวเหลยถอนหายใจเบาๆ “เฮ้อ.. อาสามบอกว่าเรื่องนี้มันเกี่ยวข้องกับเสี่ยวเฟิง….”
“หือ? มันมีอะไรเกี่ยวข้องกับผม?” จี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะแปลกใจ เขาเพิ่งจะเคยมาที่เจียงโจวเป็นครั้งแรก ถ้าจะพอนึกออกก็มีแค่เรื่องที่ทําให้อู่ฉางฉุนพี่เขยของฮซ่ฮียโกรธแค้นอยู่บ้างที่เหลือก็จะมีอู่เฉียนลูกน้องคนสนิทของจี้ช่าวหยิน ส่วนคนอื่นๆนอกเหนือจากนี้เขาก็นึกไม่ออกจริงๆ
สําหรับรองผู้บัญชาการหวังที่มีความขัดแย้งกับเขาระหว่างการฝึกทหาร ตอนนี้น่าจะอยู่ในขั้นตอนการจัดการของทางการอยู่ และนอกจากนี้มันเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอนที่เขาจะรู้ความสัมพันธ์ระหว่างตัวเขากับอาสองของเขา มันจึงยิ่งไม่มีทางเป็นไปได้ที่เขาจะวางแผนการสร้างเรื่องหมออัจฉริยะจอมปลอมนั่นมาหลอกพี่ใหญ่เพื่อแสร้งว่ามาทําการรักษาถึงบ้านของเลขาธิการคณะกรรมการพรรคแบบนี้
“พี่รอง อธิบายให้ชัดๆหน่อยว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ใครเป็นคนทําแล้วทําไมมันถึงเกี่ยวข้องกับผม!” จี้เฟิงกล่าว
“อันที่จริงฉันก็ไม่ค่อยจะแน่ใจในเรื่องนี้เท่าไหร่นัก แต่เท่าที่รู้อาสามบอกว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่ ไม่ต้อ งกังวล มันก็แค่คนบางคนที่ไม่รู้จักที่ต่ําที่สูง เฮ้อ.. เอาเป็นว่าถ้านายอยากจะรู้รายละเอียดที่เหลือ นายก็แค่โทรหาอาสามของนายด้วยตัวเองก็แล้วกัน ฉันถามเขาและฉันก็ได้คําตอบมาเพียงเท่านี้” จี้ชาวเหลยดูหดหู่มาก นั่นเป็นเพราะเขารู้สึกกลัวอาสามของเขามาก จี้ช่าวเหลยเคยเป็นเด็กเกเรมาก่อนเหมือนกัน และเขาก็เคยโดนจี้เจิ้นผิงจับได้และทุบตีทุกครั้งหลังมื้ออาหาร และถึงกับขู่ว่าจะโยนเขาเข้ากองทัพ จนทําให้จี้ชาวเหลยกลัวและไม่กล้าทําตัวเกเรอีกต่อไป
นี่จึงเป็นสาเหตุที่จี้ชาวเหลยรู้สึกกลัวจี๊เจิ้นผิงอาสามของเขาเป็นพิเศษ และเมื่อเห็นว่าอาสามของเขาไม่อยากพูดมากกว่านี้เขาจึงไม่กล้าที่จะถามอะไรอีก
จี้เฟิงพยักหน้าด้วยความสงสัย ในเมื่ออาสามของเขาบอกว่าไม่ใช่ปัญหาใหญ่ดังนั้นมันก็จะต้องไม่ใช่ปัญหาใหญ่อย่างที่เขาบอก แล้วถ้าเป็นอย่างนั้น เขาก็จะลืมเรื่องนี้ไปก่อนแล้วค่อยหาโอกาสไปถามอาสามอีกครั้ง
เมื่อคิดได้ดังนี้จี้เฟิงจึงยิ้มและพูดว่า “งั้นเราก็ไปกันเถอะ”
พวกเขาทั้งสามคนมาที่โรงเรียนมัธยมที่ 13 ในเจียงโจวซึ่งเป็นสถานศึกษาของจี้ช่าวหยิน ที่นี่เป็นโรงเรียน มัธยมที่สําคัญแห่งหนึ่งในเจียงโจว แต่ก็ยังเทียบไม่ได้กับโรงเรียนในสิบอันดับแรก
จี้ช่าวหยินได้มาเรียนที่นี่ซึ่งเป็นสิ่งที่เจิ้นถั่วแสดงให้เห็นว่าเด็กๆตระกูลจไม่จําเป็นต้องพิเศษไปกว่าคนอื่น และนอกจากนี้ตราบใดที่พวกเขามีความสามารถพวกเขาก็จะสามารถเรียนรู้ได้ทุกที่
แต่ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นของจี้ช่าวหยินไม่เหมือนกับสิ่งที่เจิ้นกั่วจินตนาการไว้ ในตอนแรกเขาคิดว่าที่ช่าวหยินเป็นเด็กที่ไม่ค่อยสนใจเรียนและเกเรนั่นเป็นเพราะเขายังเด็กและเป็นเรื่องธรรมดาของเด็กวัยนี้ จี้เจิ้นกั่ว จึงยังไม่ได้สนใจและจัดการเรื่องนี้เป็นพิเศษ แต่ถ้าเขาเติบโตขึ้นแล้วยังเป็นคนแบบนี้เกรงว่าตระกูลจี้คงมีลูกคุณหนูเอาแต่ใจ แต่เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อเข้าจริงๆ
ในตอนที่จี้เฟิงอยู่บนรถไฟขณะเดินทางมาที่เจียงโจว เขาได้ยินชื่อจี้ช่าวหยินจากอู๋จุนเจี้ย และเมื่ออู่จันเจี้ย แสดงความภาคภูมิใจว่าลูกพี่ลูกน้องของเขากับจี้ชาวหยินนั้นเป็นคนสนิทกัน ในตอนที่จี้เพิ่งได้ยินเรื่องนี้ เขาก็คิดว่าจี้ช่าวหยินคนนี้อาจจะเป็นเด็กที่บ้าอํานาจก็เป็นได้
และข้อเท็จจริงต่างก็ได้พิสูจน์แล้วว่าจี้เฟิงนั้นเดาไม่ผิด แม้ว่าเขาจะยังไม่ได้พบกัน แต่จี้เฟิงก็พอจะรู้สถานการณ์ของจี้ช่าวหยินทั้งหมดแล้ว
“โทรหาช่าวหยินก่อน แล้วบอกให้เขารอเราที่ประตูโรงเรียน” จี้ช่าวตงกล่าว
จี้ชาวเหลยพยักหน้าและกดหมายเลขของจี้ช่าวหยิน … ไม่มีใครรับสาย แม้ว่าจะลองโทรติดต่อใหม่อีกหลายครั้งก็ตาม
จี้ช่าวตงมองไปที่นาฬิกาข้อมือและพูดว่า “ตอนนี้ช่าวหยินอาจจะกําลังเรียนอยู่ มีความเป็นไปได้ว่าเขาอาจจะปิดเสียงโทรศัพท์ เราไปที่โรงเรียนเขาเลยก็แล้วกัน!”
“โอเค!” จี้ชาวเหลยยิ้มเล็กน้อยและแตะคันเร่ง BMW X6 ก็พุ่งทะยานออกไปราวกับจรวดและหายไปที่จุดสิ้นสุดของถนนในพริบตา