The Ultimate Student สุดยอดนักเรียนสมองอัจฉริยะ - ตอนที่ 145
บทที่ 145 การพบกันครั้งแรกของลูกพี่ลูกน้อง!
ฉินซูเจี้ยไม่ค่อยชอบเจ้าของเสียงนี้เท่าไหร่นัก นี่คือความรู้สึกแรกหลังจากที่เพิ่งเงยหน้าขึ้นมาแล้วเห็นคิ้ว ที่ยื่นเข้าหากันเพียงเล็กน้อยของเธอ ถ้าไม่อย่างนั้นฉันซูเจี้ยคงไม่ถึงกับออกอาการแบบนี้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้ยิน
แม้ว่าจี้เฟิงและฉินซูเจียจะไม่ได้รู้จักกันมานาน แต่จากที่จี้เฟิงเห็นเขาก็พอจะรู้ได้ว่าฉินซูเจียเป็นผู้หญิงที่ได้รับการปลูกฝังมารยาทมาเป็นอย่างดี แม้ว่าเธอจะรู้สึกไม่พอใจ เธอก็จะไม่แสดงออกมาทางสีหน้าง่ายๆเช่นนี้
แต่ครั้งนี้เธอแสดงออกอย่างชัดเจน ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเธอเป็นคนใจร้อนพอสมควรและไม่อยากจะเจอกับเจ้าของเสียงนี้เท่าไหร่นัก
อย่างไรก็ตามการเลี้ยงดูที่ดียังคงป้องกันไม่ให้ฉินซูเจี้ยแสดงความไม่พอใจออกมามากจนเกินไป หลังจากที่ฉินซูเจี้ยขมวดคิ้วเพียงครู่เดียวเธอก็กลับมามีสีหน้าที่สงบนิ่งตามปกติ
เฒ่าหวังที่นั่งอยู่ข้างๆถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้พูดอะไร แต่สีหน้าที่ตึงเครียดมากกว่าเดิมก็พอจะทําให้จี้เฟิงเดาได้ว่าเฒ่าหวังก็น่าจะรู้จัก และไม่ค่อยจะชื่นชอบเจ้าของเสียงนี้มากเท่าไหร่นัก
จี้เพิ่งหยิบชาบนโต๊ะขึ้นมาจิบโดยไม่พูดอะไร
ในไม่ช้าประตูห้องก็ถูกเปิดออกและชายหนุ่มอายุประมาณยี่สิบห้ายี่สิบหกปี ก็เดินเข้ามาพร้อมกับเสียงหัวเราะ เขาดูอารมณ์ดีมาก
“โอ้ ประธานฉินฉันเห็นรถของคุณฉันก็รู้ได้ทันทีเลยว่าคุณต้องอยู่ที่นี่!” ชายหนุ่มที่ไม่ได้รับเชิญพูดทักทาย ฉินซูเจี้ยทันทีที่เข้ามา เข้าถึงเก้าอี้ออกและนั่งลงโดยไม่รอให้เจ้าของห้องเชิญชวน “ถ้าให้ฉันเดา ประธานฉันคงเพิ่งกลับจากงานแสดงสินค้าหินหยกมาสินะ แล้วเป็นอย่างไรบ้าง ได้อะไรดีๆมาบ้างมั้ย?”
ฉินซูเจี้ยแสดงท่าทีที่ดูสุภาพมาก เธอยิ้มเล็กน้อยและกล่าวว่า “โชคดีที่ยังพอได้อะไรดีๆกลับมาบ้าง”
“ดีๆ แต่ถ้าประธานฉันพบกับปัญหาอะไรในเรื่องนี้ ขอให้บอกฉันได้ทันที ฉันเต็มใจที่จะช่วยเหลือประธานฉินทุกเมื่อ!” บนใบหน้าของชายหนุ่มมีรอยยิ้มที่สดใส มันไม่ใช่เรื่องแปลกหากใครจะรู้สึกดีเมื่อได้พูดคุยกับชายหนุ่มที่มีรอยยิ้มสดใสเช่นนี้เป็นครั้งแรก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับจี้เฟิง ตอนนี้ดูเหมือนว่าจี้เพิ่งจะรู้สึกตกใจและนิ่งอึ้งไปชั่วขณะเมื่อเห็นใบหน้าที่เขารู้สึกคุ้นเคย!
ถ้าไม่ใช่เพราะชายหนุ่มคนนี้สวมเสื้อผ้าแบรนด์เนมและอายุของเขาก็มากกว่า จี้เฟิงคงคิดว่าเขานั้นกําลังส่องกระจกอยู่
จี้เฟิงแอบเหลือบมองไปที่ชายหนุ่มที่ไม่ได้รับเชิญ แต่ยิ่งมองเขาก็ยิ่งพบว่าชายหนุ่มคนนี้ดูคล้ายกับเขามาก
แน่นอนว่าถ้าไม่ได้มองอย่างละเอียดจะไม่สามารถสังเกตเห็นถึงความคล้ายคลึงนี้ได้เลย เนื่องจากบุคลิกและลักษะนิสัยของทั้งสองคนนั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง จี้เฟิงเป็นคนที่สงบนิ่งเก็บตัวและมีดวงตาที่เฉียบคม
ส่วนชายหนุ่มคนนี้ถ้ามองจากภายนอกเขาดูเป็นคนที่มีอัธยาศัยดีแต่ก็สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าเขา เป็นคนที่พร้อมจะทําทุกอย่างเพื่อให้ได้มาในสิ่งที่ต้องการ ออร่ารอบตัวของเขาบ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่าเป็นคนที่สูงส่งและไม่สมควรอย่างยิ่งที่จะทําให้บุคคลเช่นนี้ขุ่นเคือง
ดังนั้นด้วยนิสัยที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงของทั้งสองคน คนอื่นๆจึงไม่สามารถมองเห็นถึงความคล้ายคลึงกันระหว่างจี้เฟิงกับชายหนุ่มคนนี้ได้ แม่ในความเป็นจริงหากมองพวกเขาใกล้ๆก็จะพบว่าพวกเขาสองคนมีความคล้ายคลึงกันมาก
ฉินซูเจียยิ้มอย่างสง่างาม “ดิฉันต้องขอขอบคุณจากใจสําหรับความมีน้ําใจของคุณในเรื่องนี้!”
ชายหนุ่มโบกมือและยิ้มกว้าง “ประธานฉินคุณไม่จําเป็นต้องพูดจาสุภาพกับฉันขนาดนั้นก็ได้ อันที่จริงที่ฉัน เต็มใจช่วยเหลือคุณไม่ใช่เพราะฉันเห็นแก่ฮาวหยูซะทีเดียวหรอก แต่เป็นเพราะพวกเราเคยเป็นเพื่อนร่วมชั้นกันมาก่อน จะว่าไปแล้วฉันก็เพิ่งจะคุยกับฮ่าวหยูเมื่อไม่นานมานี้ว่าถ้าพอจะมีเวลาพวกเราควรจะนัดรวมตัวกันซะ
หน่อย”
จากการสนทนาดังกล่าวทําให้จี้เพิ่งได้รู้ว่าชายหนุ่มคนนี้และฉินซูเจี้ยเคยเป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียนกันมาก่อน แต่คนที่ชื่อฮาวหยูที่เขาพูดถึงนั้นจี้เฟิงยังไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร
ฉินซูเจี้ยขมวดคิ้วเมื่อได้ยินประโยคเมื่อครู่ “จี้ช่าวเหลย ถ้าคุณมาที่นี่ในวันนี้ในฐานะเพื่อนร่วมชั้น ฉันก็ยินดีให้คุณมาร่วมโต๊ะด้วย แต่ถ้าคุณมาที่นี่ในฐานะพ่อสื่อหรืออะไรทํานองนั้นฉันคิดว่าคุณไม่มีความจําเป็นต้องอยู่ที่นี่”
จี้ชาวเหลย?
ชายหนุ่มคนนี้คือจชาวเหลย?!
เมื่อได้ยินฉินซูเจียเรียกชายหนุ่มคนนั้นว่าจี้ชาวเหลย จี้เฟิงก็เข้าใจในทันที่ว่าทําไมเขาถึงรู้สึกว่าเขากับชายหนุ่มคนนี้ถึงดูคล้ายคลึงกันมากขนาดนี้ ปรากฏว่าเขาเป็นลูกชายคนที่สองของอาคนที่สองของเขาและประธานของเจียนอันกรุ๊ปก็คือจชาวเหลยคนนี้!
ทันใดนั้นจ์เฟิงก็จําได้ว่าก่อนหน้านี้ที่โรงเรียนอนุบาล ลูกสาวของฉันซูเจียมีความขัดแย้งกับลูกชายของคนที่ชื่อโจวต้าหยงที่เป็นคนของจี้ช่าวเหลย และในตอนนั้นดูเหมือนว่าฉันซูเจี้ยจะเกรงใจจชาวเหลยอยู่พอสมควร แต่เป็นเพราะตอนนั้นเป็นเรื่องของลูกสาวของเธอ เธอจึงคิดที่จะยอมแลกด้วยชีวิตของเธอเองไม่ว่าใครหน้า ไหนที่กล้าจะมาแตะต้องลูกสาวของเธอ ดังนั้นเพิ่งจึงคิดไม่ถึงว่าจช่าวเหลยและฉินซูเจี้ยจะเป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียนกันมาก่อน
ดูเหมือนจะเป็นความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนมากเลยทีเดียว
จี้ชาวเหลยตบหน้าผากของเขาและยิ้มอย่างขมขึ้น “ซูเจี้ย คนที่กล้าพูดกับฉันแบบนี้ในเจียงโจวมีแทบจะนับคนได้ แต่เธอกลับพูดกับฉันโดยไม่คิดจะไว้หน้ากันบ้างเลยหรือ?!”
ท่าทีของฉันซูเจี้ยเริ่มเย็นลง เธอพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “จี้ชาวเหลย ตระกูลของคุณยิ่งใหญ่ขนาดนั้น แล้วคนที่เติบโตมาในตระกูลเล็กๆอย่างฉันจะกล้าทําเช่นนั้นได้อย่างไร เพียงแต่เรื่องระหว่างฉันกับฮ่าวหยมันจบไปแล้ว ดังนั้นมันก็ไม่ใช่เรื่องที่เหมาะสมหากคุณจะเข้ามายุ่งในเรื่องนี้ฉันพูดถูกมั้ย!”
“ไม่!”
ใบหน้าของจี้ชาวเหลยจริงจังขึ้นเช่นกัน “ซูเจี้ย คนเรามันก็ทําผิดพลาดกันได้ คุณควรให้โอกาสเขา เพราะฮ่าวหยูเขาก็พร้อมที่จะแก้ไขในสิ่งผิด คุณอย่ามองคนแค่เพียงด้านเดียว แล้วที่สําคัญพวกเราเป็นเพื่อนรวมชั้นเรียนกันมาก่อน ฉันเลยไม่อยากเห็นพวกคุณสองคนต้องแยกทางกัน ดังนั้นฉันว่าคุณควรคิดทบทวนเรื่องนี้อีกครั้ง!”
“แล้วถ้าไม่ล่ะ?” ฉินซูเจี้ยดูเหมือนจะโกรธแล้วตอนนี้
“ฉันเป็นหนี้ฮาวหยูครั้งหนึ่ง!” จี้ชาวเหลยพูดเสียงเบา “แล้วถ้าฮ่าวหยูขอร้อง ฉันจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อช่วยเขา!”
ฉินซูเจี้ยโกรธขึ้นมาทันที “งั้นก็หมายความว่า ถ้าเจ๋งฮ่าวหยูขอให้คุณจัดการกับฉัน คุณก็จะทํางั้นสิ?!”
“ถูกต้อง!” จี้ชาวเหลยพยักหน้าอย่างไม่ลังเล
“เหอะ!”
เฒ่าหวังส่งเสียงอย่างเย็นชาและจ้องเขม็งไปที่ดวงตาของจี้ช่าวเหลยด้วยแววตาที่น่ากลัวราวกับว่าถ้าจี้ชาวเหลยกล้าทําอะไรฉินซูเจี้ย เขาก็พร้อมจะจัดการจี้ชาวเหลยทันทีเช่นกัน
นอกจากจชาวเหลยจะไม่กลัวแล้วเขายังพูดขึ้นด้วยน้ําเสียงที่เย็นชา “เฒ่าหวัง คุณเป็นแค่คนขับรถ ไม่ควรมายุ่งเกี่ยวเรื่องของเจ้านาย ไม่เช่นนั้นคุณอาจจะเดือดร้อนโดยไม่รู้ตัว!”
“อัปส์!” เมื่อได้ยินประโยคเหล่านี้จี้เฟิงที่กําลังจิบชาอยู่ก็ถึงกับสําลักและน้ําชาก็พุ่งออกมาทําให้เขาไออยู่หลายครั้ง จี้เฟิงหน้าแดงก่ําจากอาการสําลัก แต่ภายในใจของเขาเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ
พูดจาข่มขู่เสียงดังขนาดนี้ ตกลงผู้ชายคนนี้เป็นนักธุรกิจหรือเป็นหัวหน้าแก๊งค์มาเฟียกันแน่?!
จี้ชาวเหลยเหลือบมองเขาและถามด้วยรอยยิ้มเย็น “ดูเหมือนน้องชายคนนี้จะมีความคิดเห็นที่แตกต่างไปจากนี้สินะ”
เมื่อเห็นว่าจี้ชาวเหลยหันมาสนใจตัวเอง จี้เฟิงก็อดไม่ได้ที่จะส่ายหัวและยิ้ม เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่าเขาจะพบกับลูกพี่ลูกน้องของตัวเองเป็นครั้งแรกภายใต้สถานการณ์เช่นนี้
เมื่อฉันซูเจี้ยเห็นว่าจี้ชาวเหลยเริ่มจะไม่พอใจจี้เฟิง เธอก็ตื่นตระหนกทันทีและรีบพูดว่า “จี้ชาวเหลย เขาคนนี้เป็นแขกของฉัน ธุระของคุณคือมาคุยกับฉันคนเดียว ดังนั้นอย่าไปยุ่งกับแขกของฉันเด็ดขาด!”
จี้ชาวเหลยส่ายหัวเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า “ซูเจี้ย ทําตามคําแนะนําของฉันเป็นเรื่องที่ดีที่สุด เธอก็น่าจะรู้ดีนะว่าถ้าเจ๋งฮ่าวหยูไม่คิดที่จะปล่อยเธอไป เธอก็ไม่สามารถอยู่ในเจียงโจวได้อย่างสบายใจ ดังนั้นวิธีที่ง่ายที่สุดคือเธอควรให้โอกาสเขา!”
ดูเหมือนว่าจี้ชาวเหลยแค่ให้คําแนะนํากับฉินซูเจี้ย แต่น้ําเสียงที่ดุดันนั้นเหมือนกําลังบอกเป็นนัยๆว่า โอกาสที่ฉินซูเจี้ยควรให้กับเจิ้งฮ่าวหยูก็เหมือนกับการให้โอกาสตัวเองในเวลาเดียวกัน เพราะถ้าฉันซูเจียไม่ทําตามที่เขาบอก ก็อย่าหวังจะได้อยู่ในเจียงโจวได้อย่างสบายใจเลย!”
คิ้วของจี้เฟิงขมวดอย่างช่วยไม่ได้ ดูเหมือนว่าพวกเขามีความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนมากจริงๆ และจี้ชาวเหลยที่มีอํานาจเหนือกว่ากลับทําตัวน่าอายด้วยการช่วยเพื่อนของเขามารังแกผู้หญิงที่อ่อนแอคนหนึ่ง มันไม่ได้ทําให้เขาดูน่าเกรงขามเลยสักนิด!
“โอกาสที่คุณบอกคือโอกาสที่ฉันจะให้เขา หรือเป็นโอกาสที่คุณจะให้ฉันกันแน่ล่ะ?” ฉินซูเจี้ยพยายามข่มความโกรธเอาไว้ในใจและถามอย่างเย็นชา
จี้ชาวเหลยส่ายหัวเล็กน้อยและกล่าวว่า “ซูเจีย อย่าเข้าใจฉันผิด ฉันเป็นแค่คนกลางไม่ได้มีอะไรมากไปกว่านั้น และถึงแม้ว่าคุณจะไม่ให้โอกาสกับฮ่าวหยูเพื่อแก้ไขตัวเองแต่คุณก็ควรคิดถึงเรื่องนี้อีกครั้งเพื่อลูกของคุณ!”
“คุณไม่ต้องเป็นกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้ ลูกของฉันฉันจัดการเองได้!” ฉินซูเจี้ยพยายามข่มความโกรธและพูดเบาๆ “ถ้าไม่มีอะไรนอกจากเรื่องนี้ ฉันคงต้องขอร้องให้คุณออกไปจากที่นี่ เพราะตอนนี้ฉันมีแขกและฉันก็ไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้อีกแล้ว!”
จี้ชาวเหลยส่ายหัวเล็กน้อยและไม่ได้โกรธที่ถูกไล่ออกไป เขาเพียงแค่ยิ้มจางๆและพูดว่า “โอเคๆ เอาเป็นว่า หน้าที่คนกลางมาพูดจาหว่านล้อมครั้งนี้ของฉันพังไม่เป็นท่า ฉันได้พยายามอย่างสุดความสามารถแล้ว ไม่ว่าจะใช้ไม้อ่อนหรือไม้แข็ง ฉันต้องถึงขนาดสวมบทเป็นผู้ร้ายแต่ก็ไม่สามารถทําให้เธอเปลี่ยนใจได้เลย เฮ้อ… ซูเจีย วันนี้ฉันรบกวนเธอมามากพอแล้วและต่อจากนี้ฉันจะไม่ยุ่งเกี่ยวเรื่องระหว่างเธอและฮ่าวหยูอีกต่อไป!”
เฉินซูเจี้ยอึ้งไปเล็กน้อย แต่สุดท้ายเธอก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก “แต่ไม่ว่าอย่างไรฉันต้องขอบอกกับคุณตามจริงว่า คุณเป็นถึงประธานของเจียนอันกรุ๊ปที่ใหญ่โต และเป็นเป็นลูกหลานของตระกูลที่ยิ่งใหญ่ ฉันที่เป็นเพียงผู้หญิงตัวเล็กๆจะไม่เกรงกลัวและกล้าเพิกเฉยต่ออิทธิพลของคุณได้อย่างไร ฉันเต็มใจที่จะรับฟังคําแนะนําของคุณเสมอ แต่เรื่องของฉันกับฮ่าวหยมันมาถึงจุดจบแล้วจริงๆ มันไม่มีประโยชน์อะไรที่เราสองคนจะคบหากันต่อไป รังแต่จะเป็นการทรมานสําหรับทั้งสองฝ่าย และมันไม่ใช่เรื่องดีสําหรับลูกของเราอย่างแน่นอน!”
จี้ชาวเหลยพยักหน้าและพูดว่า “ฉันเข้าใจ แต่พอฉันรู้ว่าพวกคุณสองคนกําลังจะเลิกกัน ฉันก็รู้สึกแย่และไม่อยากให้มันเกิดเหตุการณ์แบบนั้น ฉันรู้ดีว่ามันคงเป็นเรื่องอยากที่จะให้เพื่อนร่วมชั้นกลับมามีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันดั้งเดิม แน่นอนว่าเมื่อสถานะของพวกคุณเปลี่ยนไปจากเพื่อนร่วมชั้นกลายเป็นคนรัก แต่สุดท้ายแล้วพวก คุณนั้นเลิกรากัน มันจึงเป็นเรื่องยากที่จะกลับไปมีมิตรภาพที่ดีได้ดั่งเดิม ฉันจึงรู้สึกเสียดายที่รู้ว่าพวกคุณจะเลิกกันจริงๆ แต่ในเมื่อเรื่องมันเป็นแบบนี้ ฉันก็อยากจะบอกว่าอย่างน้อยๆก็อย่าให้ถึงกับพวกเราต้องขาดการติดต่อกันไปทั้งแบบนี้เลย!”
จี้เฟิงและคนอื่นๆเข้าใจแล้วว่าความโหดเหี้ยมที่น่าไม่อายของจี้ชาวเหลยนั้นเป็นเพียงแค่การเสแสร้ง และในตอนนี้ความเป็นจริงทั้งหมดได้ถูกเปิดเผยแล้ว และถึงแม้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างฉินซูเจี้ยและจี้ชาวเหลยอาจจะเรียกได้ว่าไม่ได้สนิทสนมกันนัก แต่สิ่งนั้นก็ไม่ได้เป็นปัญหาในเรื่องนี้
อย่างไรก็ตามจากมุมมองของฉันซูเจี้ย ไม่ต้องสงสัยเลยว่าจี้ช่าวเหลยเป็นบุคคลที่น่าเกรงขามและทรงอิทธิพลมาก แม้ว่าพวกเขาจะเคยเป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียนกันมาก่อน แต่ก็อย่างที่จชาวเหลยพูด ในเมื่อสถานะและความสัมพันธ์ต่างๆเปลี่ยนแปลงไป มันกลับกลายเป็นเรื่องยากกว่าเดิมหากต้องการจะให้ความสัมพันธ์กลับมาดีเหมือนอย่างในตอนแรก
“จี้ชาวเหลย คุณรู้หรือไม่ว่าในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาฮ่าวหยูเขาเปลี่ยนไปมาก และมันก็ทําให้ฉันกลัวเล็กน้อย อันที่จริงฉันไม่อยากจะพูดถึงเรื่องที่มันเป็นอดีตไปแล้ว ส่วนเรื่องในอนาคตระหว่างฉันกับเขาก็มีเพียงเรื่องเดียว ที่ฉันอยากจะฝากคุณไปบอกเขาว่าได้โปรดอย่ามายุ่งกับชีวิตของฉันอีกเลย” ฉินซูเจี้ยเงียบไปครู่หนึ่งและพูดด้วยน้ําเสียงที่เศร้า “กับคนที่ตีราคาของภรรยาตัวเองให้กับคนอื่นได้ ผู้ชายแบบนี้คงไม่มีค่าพอที่จะให้ฉันไปยุ่งเกี่ยวอีก”
จชาวเหลยส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้และพูดว่า “ฉันคงไม่สามารถบอกให้ได้ แต่ถ้าคุณอยากจะบอก คุณสามารถบอกกับเขาด้วยตัวเองโดยตรงได้เลย!”
ฉินซูเลี้ยพยักหน้าเล็กน้อยและกล่าวว่า “ถ้าฉันเดาไม่ผิด ตอนนี้เขาก็อยู่ที่นี่ด้วยใช่มั้ย? เขาก็เป็นแบบนี้มาโดยตลอด ไม่ว่าเขาต้องการอะไรเขาก็จะใช้วิธีที่เขาโปรดปรานมากที่สุดนั่นก็คือการกดดันจนกว่าฉันจะยอมจํานน หากเขาต้องการอะไรเขาควรจะพูดมันออกมาตรงๆ ไม่รู้ว่ามีประโยชน์อะไรที่ต้องให้คนอื่นมาวิ่งเต้นเพื่อกดดันฉันแบบนี้ นี่น่ะหรือคือวิธีที่คนรักเขาทํากัน!”
“ประธานฉิน นี่มันออกจะเกินไปหน่อย!” จี้ชาวเหลยขมวดคิ้ว “อย่างที่ฉันได้บอกไป เรื่องที่ฉันทําในครั้งนี้ มันเป็นเพราะว่าฉันติดหนี้บุญคุณอ่าวหยู!”
“หึ! ฉันกลัวว่าเขาตั้งใจสร้างเรื่องเพื่อให้คุณเป็นหนี้บุญคุณเขาน่ะสิ!” ฉินซูเจียพูดด้วยน้ําเสียงดูหมิ่น
“ฉินซูเจี้ย เธอพูดจาใส่ร้ายฉันอีกแล้วเหรอ!”
จู่ๆก็มีเสียงที่พูดด้วยความโกรธก็ดังขึ้นมาจากทางด้านนอก หลังจากนั้นประตูห้องก็ถูกเปิดออกและชายคน หนึ่งที่มีใบหน้าอมชมพูมันวาวก็เดินเข้ามา เขามองไปที่จี้เพิ่งและพูดด้วยรอยยิ้มเย้ยหยัน “ซูเจี้ย ผู้ชายคนนี้คือคนใหม่ของเธอเหรอ?”
..จบบทที่ 144-