The King of the Battlefield - ตอนที่ 214
KotB บทที่ 214: ราชาปีศาจเหล็กเอนโรธ (3)
พื้นที่ที่เรียกว่าอาณาเขต?
มูยองเหมือนไม่รู้จักคุณค่าที่แท้จริงของอาณาเขตตัวเอง ดังนั้นคุณสามารถพูดได้ว่ามูยองเป็นลอร์ดที่มีความสามารถในการปกครองต่ำกว่าค่าเฉลี่ย
เขากลายเป็นผู้ปกครองอาณาเขตเพียงเพราะมันเป็นสิ่งจำเป็นเท่านั้น
และแน่นอนว่าเขาไม่คิดว่าคนในปกครองของตนจะพัฒนาไปถึงขั้นที่หยุดการโจมตีของซาซ่าได้
หนึ่งในข้อมูลที่เขาได้ยินมา มีโดเกบิคนหนึ่งเป็นผู้นำในการป้องกันการโจมตีของซาซ่า
โดเกบิเป็นเผ่าพันธุ์ที่มีความสัมพันธ์ยาวนานกับมูยอง หลังจาก ‘เซฮุน’ เสียชีวิตโดเกบิที่เหลือต่างตกอยู่ในความระส่ำระสายงก่อนที่ผู้นำคนใหม่จะปรากฎตัว
“ ข้าชื่อดอนทัค เป็นหัวหน้าของโดเกบิเผ่าทองคำจำนวนกว่า 2,000 ตนและตอนนี้เป็นผู้นำโดเกบิในอาณาเขตของเรา”
มูยองไม่เคยเห็นผู้นำคนใหม่คนนี้มาก่อน แต่เขาเคยได้ยินเกี่ยวกับโดเกบิเผ่าทองคำ พวกมันมีผิวสีทองและเก่งมากที่สุดในบรรดาเหล่าโดเกบิทั้งหลาย อย่างไรก็ตามจำนวนของพวกมันน้อยมากจนไม่สามารถแข่งชิงตำแหน่ง ‘โอม’ ได้ และเข้าร่วมอาณาเขตมาตอนที่มูยองไม่อยู่
อาจเพราะเหตุนั้นมูยองจึงรู้สึกว่าดอนทัคไม่ให้ความเคารพเท่าไหร่ แม้ว่าดอนทัคจะพูดเหมือนเคารพแต่ก็ไม่พบความเคารพในพฤติกรรมของเขา ดูเหมือนมูยองจะกำลังประเมินดอนทัคอยู่ว่ามีความแข็งแกร่งเพียงใด
‘เขาแข็งแกร่ง’
เขาแข็งแกร่งจริงๆแต่แน่นอนว่าเป็นในแง่ของโดเกบิ ดอนทัคดูเหมือนจะมีความมั่นใจในทักษะของตน และไม่พอใจกับตำแหน่งปัจจุบัน
มูยองไม่ชอบดวงตาของดอนทัคที่เต็มไปด้วยความท้าทาย อย่างไรก็ตามเขาไม่ชอบพูดถึงเรื่องเหล่านี้ แต่ชอบดูความประพฤติและผลงานมากกว่า
“ นายรับผิดชอบแทนฮันซุงใช่ไหม?”
“ ใช่ เพราะเราไม่สามารถปล่อยตำแหน่งนี้ให้ว่างนานๆได้…”
“ ดังนั้น นั่นก็หมายความว่ามันเป็นเพียงชั่วคราว”
ตำแหน่งชั่วคราว
ดอนทัคไม่พอใจอย่างยิ่งเมื่อได้ยินคำพูดนั้น เขาไม่เคยคิดว่ามูยองจะพูดใส่หน้าตนแบบนี้ อย่างไรก็ตาม เป็นเรื่องจริงที่มูยองไม่เคยแต่งตั้งดอนทัคให้เป็นผู้นำของโดเกบิ
แม้ว่าดอนทัคสามารถก้าวขึ้นไปถึงตำแหน่งดังกล่าว ใช่วงเวลาที่เกิดวิกฤติและปกป้องดินแดน แต่เมื่อมูยองกลับมาแล้วเขาต้องแก้ไขสายบังคับบัญชาให้ถูกต้องอีกครั้ง
“ เป็นเวลาสองปีที่โดเกบิได้รวมเป็นหนึ่งเดียวภายใต้คำสั่งของข้า และหน่วยที่ข้าเป็นผู้นำก็คือหน่วยที่แข็งแกร่งที่สุดในอาณาเขตนี้”
เขาเรียกความสนใจต่อมูยอง อย่างไรก็ตามมูยองไม่ได้ถูกชักนำ มูยองไม่เชื่อคำพูดใครง่ายๆโดยปราศจากการพิสูจน์
“ ฉันยังไม่เคยเห็นความสามารถของนายเลย ดังนั้นนายจะต้องพิสูจน์พวกมัน”
“ ท่านหมายถึงอะไร”
“ ไปช่วยอลันและผู้ที่ถูกซาซ่าจับตัวไว้ ”
มูยองได้ข่าวว่ามีพลเมืองหลายคนของตนถูกซาซ่าจับและคุมขังเอาไว้ เนื่องจากนิสัยที่ชอบเล่นสนุกกับเหยื่อ ดังนั้นมันจะไม่สังหารเหยื่อในทันที และในเมื่อพลเมืองของเขายังไม่ตาย ก็จำเป็นต้องช่วยเหลือพวกเขาเป็นเรื่องธรรมดา นอกจากนี้หนึ่งในมือดาบที่ดีที่สุดในอาณาเขตอย่างอลันก็ตกเป็นเชลยของซาซ่าด้วย
การแสดงออกของดอนทัคกลายเป็นแข็งทื่อ
“ มันออกจะยากเกินไปสำหรับเผ่าพันธุ์อย่างโดเกบิ”
“ นายกำลังพูดอะไร?”
“… ?”
“ การช่วยเหลือต้องทำด้วยคนจำนวนน้อยที่สุด นายคิดจะพาโดเกบิทั้งหมดไป? อยากให้ทุกคนตายหรือไง”
นำโดเกบิทั้งหมดไปช่วยเชลยศึก นั่นก็เหมือนการบอกศัตรูว่าเขากำลังจะไปทำสงคราม ซึ่งเป็นวิธีที่โง่เขลาอย่างแท้จริง
ใบหน้าของดอนทัคเปลี่ยนเป็นสีแดง มูยองไม่สนใจและพูดต่อไป
“ สำหรับการออกล่า ฉันต้องการสุนัขนักล่าที่เก่งกาจ ไม่ใช่สุนัขที่เอาแต่เห่า”
ซาซ่าทำตัวเหมือนเป็นเจ้าของสถานที่แห่งนี้ขณะที่มูยองไม่อยู่ แต่เจ้าของตัวจริงกลับมาแล้ว สิ่งที่ต้องทำตอนนี้คือตามล่าคนที่แอบอ้างเป็นเจ้าของพื้นที่ของเขา!
‘เอนโรธ’
ในความเป็นจริง มูยองจะไปจัดการราชาปีศาจชาร์ซาซ่าเองก็ได้ แต่ถ้าเขาเป็นผู้ลงมือเอนโรธจะไหวตัวทัน
เอนโรธ คือราชาปีศาจผู้ที่ถูกกล่าวขานว่าเป็นจักรพรรดิปีศาจ ในการเข้าไปยุ่งกับมันมูยองจำเป็นต้องเตรียมการให้ดี และเป็นการดีที่สุดที่จะมีหน่วยไล่ล่าจำนวนมาก
นอกจากนี้ถ้าเขาโจมตีเอนโรธเทพปีศาจอามอนอาจจะปรากฏตัวขึ้น การโจมตีโดยไม่เตรียมตัวใดๆย่อมไม่ต่างกับการฆ่าตัวตาย
“ ตกลงข้าจะทำมัน ด้วยโดเกบิจำนวน 300 ตนข้าจะช่วยเหลือผู้ที่ถูกคุมขังรวมไปถึงอลันออกมา”
มูยองชอบความมั่นใจของเขา ก่อนที่ดอนทัคจะได้รับอนุญาตให้จ้องมองมูยองด้วยสายตาท้าทายเขาจะต้องพิสูจน์ตัวเอง
“ จัดการให้ได้ภายใน 7 วัน ระหว่างนั้นฉันจะไปรวบรวมเผ่าพันธุ์ที่อยู่ใกล้ๆทั้งหมด จำไว้ว่าทุกอย่างต้องเป็นไปอย่างรวดเร็วตามที่วางแผนไว้ “
เขาจะทำแบบเดียวกับพวกไฟทาร์หากไม่มีใครให้ความร่วมมือ เพราะหากไม่มีความร่วมมืออย่างเต็มใจ มันคงจะไม่ต่างไปกว่าการทำงานแยกกัน แต่หากเป็นการใช้กำลังสักเล็กน้อยเขาก็ไม่เกี่ยงที่จะรวมพลังของทุกคนมา
โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าทำให้ไฟทาร์เข้าร่วมได้ มันจะกลายเป็นความช่วยเหลือที่ดี มูยองเองก็มีความสัมพันธ์ที่ดีกับพวกไฟทาร์อยู่บ้าง สิ่งต่างๆย่อมสามารถทำงานได้อย่างราบรื่น และหากทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่นจริงๆเขาก็จะชนะซาซ่า หลังจากนั้นก็เป็นเอนโรธ…และ
‘ฉันจะมีคุณสมบัติเข้าร่วมการต่อสู้กับเทพปีศาจ’
พอถึงตอนนั้นอามอนและเหล่าเทพปีศาจตนอื่นๆก็จะเริ่มเพ่งเล็งมูยอง ก่อนหน้านี้เขาต้องการที่จะแข็งแกร่งขึ้นในขณะที่หลีกเลี่ยงความสนใจ แต่ตอนนี้เป็นเวลาที่จะค่อยๆโชว์ของบ้างแล้ว
มูยองลุกขึ้นจากที่นั่งของเขา
ไม่มีเวลาให้เสียเปล่าอีกต่อไป
***
ไฟทาร์เป็นยักษ์ที่มีเปลวเพลิงลุกท่วมทั่วตัว นั่นเป็นเหตุผลที่พวกเขาใช้ ‘ต้นโพธิ์’ เพื่อต่อต้านไฟของตัวเอง สำหรับพวกเขาต้นโพธิ์เป็นดั่งเสมือนมารดาและผู้พิทักษ์ หลังจากมูยองแก้ไขปัญหาเรื่องแมลงของต้นโพธิ์ให้พวกเขา ความสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่ายก็ถือว่าไม่เลวนัก
พอมูยองนำมังกรกระดูกเจ็ดตัวไปเยี่ยมหมู่บ้านของพวกไฟทาร์ก็พบว่าจำนวนนักรบของไฟทาร์ลดลงอย่างเห็นได้ชัด ที่สำคัญกว่านั้นคือเขาไม่เจอโอการ์ในสถานที่ดังกล่าว
‘น่าแปลก’
ครั้งหนึ่งโอการ์เคยบอกกับมูยองว่าเขาจะสร้างอาณาจักรของไฟทาร์ขึ้น เขาไม่ใช่คนที่จะถูกสังหารได้ง่ายๆแม้จะถูกราชาปีศาจจู่โจมก็ตาม…
เนื่องจากการปรากฏตัวของมังกรกระดูกทำให้ไฟทาร์มารวมตัวกันที่ทางเข้า
“กลับไปซะ”
มูยองได้พบกับคนที่เหมือนจะเป็นหัวหน้าของพวกไฟทาร์และเขาถูกปฎิเสธ
หลังจากหัวหน้าใหญ่ของเผ่าเสียชีวิต มูยองคิดว่าโอการ์จะกลายเป็นผู้ปกครองที่นี่ แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างเขาไม่สามารถเห็นโอการ์ได้
“ พวกนายสู้กับซาซ่าเพียงลำพังได้งั้นเหรอ?”
“ เราเป็นไฟทาร์ และไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้สำหรับไฟทาร์”
ด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น มีความตึงเครียดปนอยู่
จำนวนไฟทาร์ลดลงอย่างมาก มูยอนเห็นความวิตกกังวลของพวกเขา มันเป็นสิ่งที่ไม่เคยได้เห็นจากในอดีต อย่างไรก็มูยองยังไม่เจอโอการ์
“หรือว่าโอการ์…ตายแล้ว?”
มูยองพูด
หากพูดเรื่องการต่อสู้ไฟทาร์มีประสบการณ์ที่ไม่สามารถจินตนาการได้ และสำหรับสงครามครั้งนี้มันก็ไม่น่าจะมีอะไรพิเศษสำหรับพวกเขา
ดังนั้นเหตุผลที่ไฟทาร์มีปฎิกิริยาแบบนี้ บางทีคงมีบางอย่างเกิดขึ้นกับโอการ์!
หลังจากที่มูยองถาม การแสดงออกของหัวหน้าก็แข็งทื่อ
“ ราชาของผืนดินเล็กๆเช่าเจ้าไม่จำเป็นต้องกังวลกับเรื่องของเรา”
“ฉันก็แค่กังวลเรื่องของโอการ์ เขาคือเพื่อนของฉัน ”
แม้จะดูแปลกๆหากพูดว่าโอการ์เป็นเพื่อนของเขา แต่ถ้านับผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่โอการ์เป็นคนใกล้ชิดกับมูยองจริงๆ ตั้งแต่แรกเริ่มเขาเป็นคนเดียวที่เข้าใจมูยอง หรือพูดอีกด้านหนึ่งก็คือเขาเป็นไฟทาร์เดียวที่พยายามเข้าใจเขา
มูยองพูดต่อ
“ นอกจากนี้ฉันยังผ่านบทสดสอบของไฟทาร์แล้ว จะทำเหมือนฉันเป็นคนนอกก็คงไม่ถูกต้องนัก”
“ ผู้ที่ผ่านการทดสอบเพียง 18 คลื่น ไม่สามารถนับได้ว่าเป็นนักรบที่แท้จริง”
มูยองเคยผ่านคลื่นการทดสอบสิบแปดครั้งในสมรภูมิไร้จุดจบของไฟทาร์ อย่างไรก็ตามเขามีโอกาสอีกครั้งในการเข้าสู่สมรภูมิไร้จุดจบตอนอยู่กับพวกโดเกบิ
เมื่อมูยองโชว์ไหล่ของเขาหมายเลข ’34’ ก็ปรากฎให้ทุกคนเห็น มันเป็นตัวเลขที่เขาไปถึงเมื่อเข้าบททดสอบของโอมพร้อมกับเหล่าโดเกบิ
“ นี่เป็นบันทึกครั้งที่สองของฉัน มันพอหรือยัง?”
“ 34 …แค่โดเกบิสามารถไปถึงระดับนั้นได้ยังไง”
“ฮึ”
การผ่านไปถึง 34 คลื่น ไฟทาร์ส่วนใหญ่ไม่สามารถทำลายสถิติจำนวนนี้ได้ อย่างไรก็ตามหัวหน้าของพวกเขายังคงมีความเคลือบแคลงอยู่
“ ข้าไม่ยอมรับการ ‘ทดสอบ’ จากภายนอก”
“ ถ้างั้นฉันจะทำการทดสอบของนักรบเผ่าไฟทาร์อีกครั้ง ถ้าฉันทำลายสถิติของนาย นายจะต้องบอกทุกอย่างที่รู้เกี่ยวกับโอการ์และไฟทาร์ทั้งหมดจะต้องติดตามฉันออกไป”
มูยองยื่นคำท้า
สำหรับไฟทาร์นักรบ การทดสอบดังกล่าวมีความสำคัญ ผลลัพธ์ของมันไม่สามารถปฎิเสธได้ หมายเลขสูงสุดของคลื่นที่ผ่านจะถูกเขียนไว้บนร่างกายของคนๆนั้นและแสดงให้เห็นว่าพวกเขาแข็งแกร่งแค่ไหน
เขาสามารถได้รับการยอมรับและความเคารพผ่านการทดลองมากกว่าการประลองฝีมือ
ในขณะที่หัวหน้าเพิ่มแรงกดดันไปที่ไหล่ข้างหนึ่ง ตัวเลขที่สร้างขึ้นจากเปลวไฟก็ปรากฏ
จำนวนคือ 57!
มันเป็นตัวเลขที่สูงมาก ดูเหมือนว่าเขาจะแข็งแกร่งกว่ารองหัวหน้าเมื่อสองปีก่อนซะอีก แม้ว่าเขาจะดูด้อยกว่าเล็กน้อยเมื่อเทียบกับหัวหน้าใหญ่ของเผ่าคนนั้นก็ตาม
“ย่อมได้ แล้วเจ้าจะเดิมพันอะไร”
“ ฉันจะเดิมพันด้วยทุกอย่างที่มี”
มูยองนำกองทัพและอาณาเขตของเขาเข้าเดิมพัน
หัวหน้าไฟทาร์มองมังกรกระดูกที่อยู่ข้างหลังเขา หากนักรบของเขาสามารถใช้มังกรกระดูกเหล่านั้น พลังการต่อสู้ของพวกเขาจะเพิ่มขึ้นทันที
“ ข้ายอมรับการเดิมพันของเจ้า”
หัวหน้ามองไปที่มูยองด้วยความกระหาย อย่างไรก็ตามมูยองไม่สนใจ
* * * *
<คุณได้เข้าสู่ ‘สมรภูมิไร้จุดจบ’>
<บันทึกทั้งหมดในสถานที่นี้จะถูกบันทึกไว้ในหอคอยเกียรติยศของโซโลมอน>
<บันทึกปัจจุบันของผู้ใช้คือคลื่นที่ ’34’>
<ป้องกันศัตรู คุณสามารถกลับมาได้ตลอดเวลาหลังจากสกัดกั้นคลื่นอย่างน้อย 5 ครั้ง>
<คลื่นลูกแรกกำลังเริ่ม>
<คลื่นลูกแรก – 100 ก๊อบลิน>
ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงมากสำหรับสนามรบอันไร้ที่สิ้นสุดแห่งนี้
‘การทดสอบของนักรบ’ ที่ไฟทาร์ยึดถือกันมาจริงๆแล้วเป็นสิ่งที่ภูติอย่างวูฮีสร้างขึ้น อย่างไรก็ตามเจ้าของการทดสอบนี้หายไปด้วยเหตุนี้สนามรบจึงไม่เปลี่ยนไปมากนัก
ก๊อบลิน 100 ตัวล้อมมูยองจากทั่วทุกแห่ง
ตูม!
ขณะที่เขาก้าวเท้าออกไปพื้นดินก็สั่นสะเทือน ในขณะนั้นเปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์ก็แผ่กระจายไปทั่วทั้งพื้นที่
เปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้หายไปในทันที มันลุกท่วมรอบบริเวณสมรภูมิไร้จุดจบ
ฟูมม!
กี๊ซซซ!
เสียงกรีดร้องอันโหยหวนดังขึ้นพร้อมกับคลื่นลูกแรกที่ถูกเคลียร์อย่างรวดเร็ว
<คุณจัดการคลื่นลูกแรกแล้ว>
<คลื่นลูกที่สองเริ่มขึ้นแล้ว>
<คุณจัดการคลื่นลูกที่สองแล้ว>
<คลื่นลูกที่สาม…>
…
<คลื่นลูกที่ 20 ได้เริ่มขึ้นแล้ว>
<300 โกเลมเหล็ก>
ขอบคุณเปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์ที่ทำให้เขาใช้เวลาเพียง 10 นาทีสำหรับการเคลีย์คลื่นทั้ง 19 ลูก แต่โกเลมนั้นเป็นเรื่องราวที่แตกต่าง พวกมันเป็นสิ่งมีชีวิตประดิษฐ์ที่จะไม่ตาย หากคุณไม่ทำลายแกนกลางของพวกมัน
เหล็กละลายได้หากถูกไฟเผา แต่ถ้ายังมีแกนกลางพวกมันจะสามารถสร้างตัวเองขึ้นใหม่ได้
มูยองกางปีกสะบัดขนจำนวน 300 เส้นออกไปเจาะแกนกลางของโกเลมทั้ง 300 ตัว
แม้ว่าเปลวไฟจะทำลายมันไม่ได้ แต่ก็ยังสามารถทำให้การเคลื่อนไหวของโกเลมช้าลงจนง่ายสำหรับเขาที่จะดูแลพวกมันต่อ
<คุณจัดการคลื่นลูกที่ 20 แล้ว>
<ผลลัพธ์ที่น่าประหลาดใจ! สมรภูมิไร้จุดจบพึ่งผ่านไปเพียง 15 นาทีเท่านั้น>
<คุณได้รับคะแนน ‘3’ แต้ม>
<คุณจะมีโอกาสใช้คะแนนในทุกๆ 50 คลื่น>
เป็นเรื่องแปลกที่ได้รับแต้มคะแนนในสมรภูมิไร้จุดจบ
‘ร้านค้า’ ที่ปรากฏหลังจากเคลียร์ 50 คลื่น แตกต่างจากร้านค้าทั่วไปอย่างแน่นอน คุณสามารถซื้อไอเทมด้วยคะแนนเท่านั้นโดยที่พวกมันทั้งหมดล้วนเป็นไอเทมที่มีเอกลักษณ์และหายาก
‘ฉันจะคิดว่ามันเป็นโบนัสแล้วกัน’
มูยองยักไหล่และรอให้คลื่นลูกต่อไปเริ่ม เขาอยากรู้ตัวเองจะไปได้ไกลแค่ไหน
YOU MAY ALSO LIKE
Tips: Lorem ipsum dolor sit amet, consectetur adipisicing elit, sed do eiusmod tempor incididunt ut labore et dolore magna aliqua. Ut enim ad minim veniam, quis nostrud exercitation ullamco laboris nisi ut aliquip ex ea commodo consequat. Duis aulores eos qui ratione voluptatem sequi nesciunt. Neque porro quisquam est, qui dolorem ipsum quia dolor sit ame