The Black Card - ตอนที่ 426
ตอนที่ 426 – ทำลายสถานการณ์
สือเหล่ยตอบกลับอย่างช่วยไม่ได้ “ขอล่ะ ให้ฉันกินก่อนได้ไหม? ไอ้หยา ฉันจะหิวตายแล้ว”
“ได้ ได้ ฉันจะให้นายได้กินทุกอย่างตามที่ต้องการ!”
ซงเมียวเมียววิ่งออกไปข้างนอกห้องเหมือนกับลมกรด เขาไม่รู้ว่าเธอทำแบบไหน แต่ภายในห้านาที โต๊ะก็เต็มไปด้วยอาหารทุกชนิด
มันมีอาหารอยู่ทุกๆแบบ ราวกับว่าเธอบอกให้เชฟทุกคนของที่นี่มาทำอาหารให้
สือเหล่ยหิวมากจริงๆ เขาแทบจะไม่ได้กินอะไรในมื้อเที่ยงและดื่มไปแค่ชาในตอนบ่าย ท้องของเขาว่างเปล่าแล้วจริงๆ
เขาไม่สนใจว่าอาหารจำนวนมากมายจะถูกจัดเตรียมมาอย่างไรในเวลาสั้นๆ เขาหยิบตะเกียบขึ้นมาและเริ่มใช้พวกมันเพื่อกินอาหาร
ซงเมียวเมียวเบิกตามองด้วยความตกใจในขณะที่เธอมองสือเหล่ยบิดข้อมือของเขาและเขมือบอาหาร เธอคิด ‘เขาหิวจริงๆ เหรอ? เขาเป็นคนที่หิวจนตายกลับชาติมาเกิดงั้นเหรอ?’
ในที่สุดสือเหล่ยก็รู้สึกถึงความพึงพอใจหลังจากได้กินอาหารมากกว่า 20 นาที เขาเรอออกมาเสียงดังและเอนตัวพิงเก้าอี้ในขณะที่ลูบท้อง
“นายจะบอกฉันได้ยัง?” ซงเมียวเมียวจ้องมองเขา หลังจากพิจารณาอยู่ครู่หนึ่ง เธอก็รินไวน์และวางมันไว้ตรงหน้าของเขา
สือเหล่ยหยิบมันขึ้นมาและกระดกมันก่อนที่จะเรอออกมาอีกครั้ง “ให้ฉันได้พักสักหน่อย ฉันกลัวว่ามันจะออกมาจากคอของฉันทั้งหมดถ้าฉันพูดตอนนี้ ฉันกินมากเกินไป”
ซงเมียวเมียวฉุน เธอกดสือเหล่ยลงบนเก้าอี้และเอาเท้าข้างหนึ่งขึ้นมาบนเก้าอี้ของเขาราวกับว่าเธอกำลังจะเผด็จศึกกับเขา
“นายกำลังทำบ้าอะไรอยู่? นายจะบอกฉันไหมฮะ?”
สือเหล่ยยกมือของเขาขึ้นมาเพื่อแสดงว่าเขายอมแล้ว และในที่สุดซงเมียวเมียวก็ปล่อยเขาไป ถึงกระนั้นเธอก็ยังคว้าคอเสื้อของเขาไว้ “พูดมา!”
สือเหล่ยทำได้เพียงแค่อธิบาย “มาพูดถึงเงื่อนไขแรกกันก่อน มันจะง่ายขึ้น เหตุผลที่เหยาเค่อจีทรยศต่อหยูปันจือเป็นเพราะเขาเกลียดตระกูลหยู
ซงเมียวเมียวยังคงรอให้สือเหล่ยอธิบาย แต่เขาก็ปิดปากและทำให้เธอรออยู่นาน “แค่นั้น?”
สือเหล่ยพยักหน้า “ใช่ แค่นั้น เขาเกลียดตระกูลหยู ดังนั้นมันจึงง่ายที่จะทำให้เขาทรยศต่อตระกูลหยู เธอแค่ต้องทำให้มั่นใจว่าจะมีคนช่วยให้เขาปลอดภัยได้”
“ไม่สิ ฉันจะไปรู้ได้ยังไงว่าเขาเกลียดตระกูลหยู? แต่เขาทำงานอย่างหนักเพื่อคนพวกนั้นมาตลอดชีวิตและจะมาทรยศเขาในตอนนี้งั้นเหรอ? ทำไมเขาถึงเกลียดตระกูลหยู?”
สือเหล่ยไม่มีทางเลือกนอกจากสรุปสั้นๆถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับเหยาเค่อจีในอดีต และในที่สุดซงเมียวเมียวก็พยักหน้า “ไม่ต้องสงสัยเลย งั้นมันก็เข้าใจได้แล้ว เหยาเค่อจีเจ้าแผนการมากๆที่ปกปิดตัวเองมาได้หลายปีขนาดนี้ งั้นเงื่อนไขที่สองล่ะ นายทำให้ปู่ของฉันยอมช่วยเหยาเค่อจีได้ยังไง?”
“มันง่ายกว่าอีก ฉันแค่แสดงให้เขาเห็นถึงผลประโยชน์ที่เขาจะได้รับซึ่งมากกว่าที่ตระกูลหยูมอบให้เขาและเขาก็ย่อมตัดสินใจที่จะช่วยเหยาเค่อจี แน่นอนว่าฉันได้ใช้เวลาอย่างน้อยกว่าหนึ่งชั่วโมงในการเปลี่ยนใจปู่ของเธอในเรื่องนี้เพียงอย่างเดียว ตามความเป็นของเขา แม้ว่าผลประโยชย์จะมากยิ่งกว่าสิ่งที่ตระกูลหยูมอบให้เขา แต่มันก็ไม่จำเป็นที่ต้องสร้างความขัดแย้งกับพวกเขา”
“สือเหล่ย ระวังคำพูดต่อไปของนายด้วย ถ้านายยังพูดอะไรที่ไร้ประโยชน์อยู่ ฉันจะข่มขืนนายซะ! นายคงไม่กล้าคิดหรอกนะว่าฉันจะไม่ทำมัน!” ซงเมียวเมียวขมวดคิ้วด้วยใบหน้าโกรธในขณะที่เธอโมโหกับคำอธิบายง่ายๆของสือเหล่ย
สือเหล่ยเป็นทุกข์ “พวกนี้คือประเด็นหลัก เธออยากรู้อะไรอีก?”
“ตระกูลหยูสามารถให้ได้เท่าไร? นายจะบอกได้อย่างไรว่ามันมากกว่าผลประโยชน์ที่พวกเขาจะเสีย? แม้ว่าฉันจะไม่เคยถามแต่ฉันก็รู้ว่าปู่ของฉันไม่ได้ขอเป็นเงินตรงๆ ปู่สนใจในทรัพยากรของหยูปันจือที่ต่างประเทศ สิ่งเหล่านี้ไม่สามารถประเมิณเป็นเงินได้ ฉันจะเข้าใจสิ่งที่นายหมายถึงว่าผลประโยชน์ที่มากยิ่งขึ้นได้ยังไง?”
“ผลประโยชน์ที่มากยิ่งขึ้นกว่าการได้รับทรัพยากรคือทรัพยากรที่มากยิ่งกว่านอกเหนือจากความช่วยเหลือบางอย่าง”
“มันคืออะไร?”
“เธอโง่รึเปล่า? ทรัพยากรของหยูปันจือ ทุกๆอย่างของหยูปันจือ… ทั้งหมดนี้อยู่ในมือของพ่อเหยาเอ้อใช่ไหม? เหยาเค่อจีสามารถเอาพวกมันมาได้แบบที่หยูปันจือสามารถทำได้และมันยิ่งตรงไปตรงมามากกว่า ไม่ใช่ว่าเธอถามว่าจะเอาสินทรัพย์ของหยูปันจือมายังไงโดยไม่ทำให้พวกเขากลายเป็นศัตรูอย่างนั้นเหรอ? มันก็ง่ายๆ สิ่งที่อยู่ในมือของเหยาเค่อจีก็จะยังเป็นของหยูปันจือ แต่เขาจะคืนพวกมันกลับไปให้หยูปันจือหลายๆครั้งในจำนวนเล็กๆน้อยๆเมื่อถึงเวลาและเวลาก็จำกัดอยู่ภายใน 5 ปี ในช่วง 5 ปีนี้ เหยาเค่อจีสามารถช่วยให้หยูปันจือดำเนินการกับพวกมันและแบ่งปันทรัพยากรกับตระกูลของเธอได้ เขายังสามารถใช้การลงทุนของหยูปันจือแและสิ่งอื่นๆเพื่อช่วยตระกูลของเธอได้ ฉันถามปู่ของเธอว่าพ่อของเธอจะอยู่ในตำแหน่งไปนานแค่ไหน ประโยคสุดท้ายอาจจะไปโดนใจเขาเข้า ตระกูลซงมีลูกหลานเพียงแค่คนเดียวและมันจะหยุดอยู่ที่เธอ ในฐานะตระกูลๆหนึ่ง ความอ่อนแอที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของตระกูลของเธอก็คือมันเล็กเกินไป”
ซงเมียวเมียวเงียบไป เธอมองมาที่สือเหล่ยด้วยดวงตากลวงๆและมันก็ยากที่จะจินตนาการว่านี่คือสือเหล่ยที่เธอรู้จัก
เธอชอบสือเหล่ยเพราะความเรียบง่ายของเขา เธอชอบที่เขาจะบอกกับเธอว่าเขาคิดอะไรจริงๆและเธอก็ชอบเขาเพราะเขาแตกต่างไปจากคนทั้งหมดที่เขาพบเจอมา
แต่มันนานแค่ไหนกันแล้วนะ? เขากลายเป็นคนที่ซับซ้อนอะไรขนาดนี้ได้ยังไง?
ซงเมียวเมียวมองไปยังสือเหล่ยด้วยความไม่เชื่อถือและถามอย่างแหยๆ “สือเหล่ย นายมักจะพิจารณาถึงอนาคตอยู่เสมอและแสร้งทำเป็นไร้เดียงสาต่อหน้าฉันงั้นเหรอ หรือว่านายกินปุ๋ยเร่งโตมา?”
สือเหล่ยกรอกตา “ไม่ เธอจะบ้าเหรอ ฉันทำตัวไร้เดียงสาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน? ฉันมันโคตรฉลาด เจ๋ง หล่อ และกล้าหาญ… อืม ได้ ฉันไม่ได้กล้าเท่ากับเธอ”
เป็นอีกครั้งที่ซงเมียวเมียวไม่ได้ล้อเลียนกลับไป แต่เลือกที่จะจ้องมองสือเหล่ยอย่างไม่เคลื่อนไหว
สือเหล่ยเกาหัว “บางทีมันอาจจะเป็นเพราะการแสดงออกตามปกติของฉันก็ได้มั้ง? และหลายๆสิ่งที่พ่อบุญธรรมของเว่ยชิงเยว่สอนฉัน อืม จะว่าสอนก็ไม่เชิง แต่เขาได้ให้คำแนะนำหลายๆอย่างและทำให้ฉันคิดวิธีการเหล่านี้ออก”
แน่นอนว่าเขาไม่สามารถบอกซงเมียวเมียวได้ว่าเขาเดินเข้ามาหานายท่านซงทีละขั้นด้วยคำใบ้ของบัตรสีดำ อันที่จริงพ่อบุญธรรมของเว่ยชิงเยว่ก็มอบคำแนะนำบางอย่างให้กับสือเหล่ยและบางทีเขาอาจจะไม่คิดว่าพวกมันคือคำแนะนำ แต่ยิ่งไปกว่านั้น มันเป็นเพราะบัตรลิ้นดอกบัว สิ่งที่ไม่ชัดเจนได้ถูกชี้แจงภายใต้ความช่วยเหลือของบัตรลิ้นดอกบัว
เมื่อสือเหล่ยคิดถึงจุดๆหนึ่ง บัตรลิ้นดอกบัวก็จะช่วยให้เขาเชื่อมต่อจุดเหล่านั้นเป็นเส้นตรง จากนั้นก็ตรงไปยังพื้นผิว และค่อนๆสร้างเป็นพื้นที่สามมิติขึ้นมา
และเพราะสิ่งนี้ สือเหล่ยจึงสามารถพูดกับนายท่านซงได้ตรงจุดด้วยตรรกะที่ชัดเจนและเหตุผลของเขา ทำให้เขาเข้าใจถึงสิ่งที่คุ้มค่าเพื่อที่จะยอมหักกับตระกูลหยูบ้างและช่วยเหยาเค่อจี และในระดับนี้ยังทำให้ตระกูลหยูไม่สามารถสู้กับตระกูลซงได้อีกด้วย ถึงอย่างไรก็ตาม ตระกูลหยูก็ไม่ได้สูญเสียทุกๆอย่างไป กับความสูญเสียนี้ ตระกูลหยูจะทำได้เพียงแค่กลืนความขมขื่นลงไปและมันก็น่าจะเป็นไปได้มากที่พ่อของหยูปันจือจะตัดสินใจถอยไป
ประเด็นหลักก็คือตราบใดที่นายท่านซงยังมีชีวิตอยู่ ตระกูลหยูก็จะตัดสินใจสู้ตายกับตระกูลซง ไม่ต้องพูดถึงเลยว่าในเวลาเดียว พ่อบุญธรรมของเว่ยชิงเยว่ยังได้สัญญาว่าจะช่วยเว่ยชิงเยว่และเว่ยปู้ถี ภายใต้สถานการณ์ที่พวกเขาไม่ได้สูญเสียอะไรไปมาก พวกเขาคงจะไม่ยอมให้ตัวเองต้องถูกรายล้อมด้วยศัตรู
ซงเมียวเมียวถอนหายใจยาวออกมา สถานการณ์ที่ดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้ถูกทำลายลงโดยสือเหล่ยอย่างง่ายดาย
อย่างไรก็ตาม ซงเมียวเมียวก็คำรามออกมาอย่างรวดเร็วและคว้าคอของสือเหล่ย ปลายจมูกอันละเอียดอ่อนของเธอเกือบจะแตะดวงตาของสือเหล่ยในขณะที่เธอคำรามออกมาด้วยเสียงต่ำ “ชิงเยว่? นายพูดชื่อของเธอแบบนี้เหรอ? เธอนอนกับเธอมาแล้วงั้นเหรอฮะ?!”