My Disciples Are All Villains - ตอนที่ 575
ตอนที่ 575 อายุขัยอันจํากัด
สี่วู่หยาขมวดคิ้ว ตัวเขากําลังใช้ความคิดอย่างหนัก ในตอนนี้สี่วู่หยากําลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ในขณะที่ลูบไล้พัดขนนกยูงที่อยู่ในมือ
ยู่เฉิงไห่เหลือบมองไปที่สี่วู่หยาก่อนจะพูดออกมา “เจ้าเดาได้อย่างงั้นสินะ?”
“ถูกต้องแล้ว” คําตอบของสี่วู่หยาเป็นเพียงคําตอบสั้นๆ สี่วู่หยารู้ว่าวันนี้จะต้องมาถึง ตัวเขารู้มาตลอดตั้งแต่เก็บบันทึกไว้ นี่คือเหตุผลที่ทําให้สี่วู่หยาเก็บซ่อนมัน ตัวเขาไม่รู้เลยว่าคนอื่นๆ จะคาดเดาได้ไหม แต่ไม่ว่าจะคิดแบบไหนสี่วู่หยาก็ไม่อาจปฏิเสธได้เลย มันเป็นความจริง
ในตอนที่ยู่เฉิงไห่ถูกขายให้กับชาวลั่วหลานในครั้งที่ยังเป็นเด็ก ยู่เฉิงไห่ต้องผ่านความยากลําบากมานับไม่ถ้วน ก่อนที่จะหลั่งเลือดตายด้วยฝีมือของเหล่าชนชั้นสูง การเสียชีวิตครั้งแรกของยู่เฉิงไห้ได้พรากอายุขัยไปกว่า 300 ปีไปจากตัวเขา และความตายครั้งที่สองเกิดขึ้นหลังการต่อสู้กับผู้เป็นอาจารย์ และเช่นกัน ยู่เฉิงไห้ก็ได้เสีย อายุขัยไปกว่า 300 ปี เวลาอีก 300 ปีตัวเขาได้ใช้มันฝึกฝนตัวเองในศาลาปีศาจลอยฟ้า ในตอนนี้อายุของเขา ใกล้จะหมดเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นยอดฝีมือผู้มีพลังอวตารดอกบัวแปดกลีบก็ตาม แต่ถึงแบบนั้นมันก็ไม่ได้ทําให้ยู่ เฉิงไห่เอาชนะขีดจํากัดที่ยิ่งใหญ่ที่มีเพียง 1,000 ปีได้ มันเป็นอย่างที่ยู่เฉิงไม่ได้พูดไว้ ตอนนี้ตัวเขาเหลือเวลา ไม่มากนัก
ยู่เฉิงไห่ยักไหล่ก่อนที่จะพูดต่อ “นี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร…ข้าน่ะได้พอใจในวิถีชีวิตของข้าแล้ว”
“ศิษย์พี่ใหญ่ ข้าอยากรู้มาโดยตลอด…ท่านน่ะเหลือเวลาไม่มากนัก แต่ทําไมท่านถึงยังตั้งใจที่จะทําลาย เมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ล่ะ?” สี่วู่หยาเงยหน้าขึ้นก่อนที่จะพูดต่อ “ได้โปรดบอกกข้าตามตรงเถอะ ในอดีตข้าไม่เคยถามท่านเรื่องนี้มาก่อน แต่ในช่วงเวลาสําคัญแบบนี้ท่านยังจะตั้งใจปิดบังเรื่องนี้กับข้าอีกอย่างงั้นเหรอ?” สี่วู่หยาไม่สามารถหาเหตุผลในการกระทําของยู่เฉิงไห่ได้เลย เนื่องจากยู่เฉิงไห่มีชีวิตอยู่ไม่นาน แล้วมันจะมีความหมายอะไรกันที่จะพิชิตเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ได้? มันเป็นการกระทําเพื่อที่จะมอบให้กับใครกัน?
ยู่เฉิงไห่นั่งลงก่อนที่จะพูดออกมาอย่างจริงจัง “อันที่จริงมันก็มีเหตุผลอื่นอยู่ แต่ข้าน่ะไม่เคยโกหกเจ้า ศิษย์น้องเจ็ด อย่าได้พูดถึงเรื่องนี้เลย ข้ารู้ดีว่าข้ากําลังทําอะไรอยู่”
สี่วู่หยาสังเกตเห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของยู่เฉิงไห่ ทั้งวิธีการพูดรวมไปถึงสีหน้า มันแสดงให้เห็นเป็นอย่างดี ว่ายู่เฉิงไห่กําลังมีอารมณ์แปรปรวน สี่วู่หยาที่ได้เห็นแบบนั้นก็ได้หัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนที่จะเอ่ยปากถามออกมา “ศิษย์พี่ใหญ่ รู้ไหมว่าทําไมข้าถึงช่วยท่าน?”
“ก็เพราะพวกเราต่างก็เป็นศิษย์ร่วมสํานัก?”
“นั่นมันก็เป็นแค่ความจริงบางส่วน…” สี่วู่หยาพูดต่ออย่างช้าๆ “เมื่อข้าออกจากศาลาปีศาจลอยฟ้ามา ในตอนนั้นข้าทั้งยังเด็กและยังกล้าหาญจนเกินกว่าที่จะกลัวอะไร ข้าต้องทําอะไรหลายๆอย่างก็เพื่อที่จะพิสูจน์ตัวเอง พิสูจน์ว่าข้าไม่ได้อ่อนแอ และเพราะแบบนั้นข้าเลยเลือกที่จะเข้าสู่เมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์และกลายเป็นราชครูที่คอยสั่งสอน จากนั้น…ข้าก็ตระหนักได้ว่ามันไม่สามารถทําให้ตัวข้ารู้สึกพึงพอใจได้ ข้าเริ่มศึกษาเขตแดนพลังทั้งสิบ ที่มาแห่งความเชื่อมั่นที่ทางราชสํานักมีโลกใบนี้ก็เป็นเหมือนกับพันธนาการมนุษย์นั้นไม่ได้สําคัญอะไร ความรู้ของคนเราก็เป็นเหมือนกับวงกลม ยิ่งวงกลมใหญ่มากเท่าไหร่ มันก็ยิ่งที่จะมีสิ่งที่ไม่รู้เพิ่มมากขึ้นเท่านั้น…ครั้งหนึ่งข้าเคยคิดว่าไม่มีอะไรในโลกที่ข้าไม่สามารถแก้ได้ ข้าคิดว่าตัวเองได้รู้เรื่องทุกอย่างของมณฑลทั้งเก้า รู้ดีว่าทุกอย่างทํางานกันยังไง ข้ายังรู้เรื่องเกี่ยวกับดวงอาทิตย์ขึ้นและตกอีกด้วย ก็เป็นเพราะดวงอาทิตย์จึงทําให้เกิดอากาศที่อบอุ่นและหนาวเย็น…แต่ถึงแบบนั้นข้าก็ยังไม่รู้ว่าอะไรคือพันธนาการของฟ้าและดินของโลกใบนี้”
ยู่เฉิงไห่รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อพบกับการระเบิดอารมณ์ของสี่วู่หยา “ยังดีที่เจ้ามีสิ่งที่ต้องต่อสู้เพื่อ…”
“ศิษย์พี่ใหญ่…พวกเราต่างก็ต้องต่อสู้กันอย่างหนักเพียงเพื่อ…ที่จะพิชิตเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์จริงๆ อย่างงั้นเหรอ? ท่านก็แค่ต้องการเมืองหลวงอย่างงั้นเหรอ?” สี่วู่หยาพยายามกลับไปคุยหัวข้อเดิม
ยู่เฉิงไห่ขมวดคิ้ว “ยังไงซะเจ้าก็จะได้พบมันในไม่ช้า ไม่ว่าจะยังไงก็แล้วแต่จะไม่มีใครหยุดข้าจากการพิชิตเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ได้ และเมื่อเวลานั้นมาถึงข้าจะกลับไปที่ศาลาปีศาจลอยฟ้า กลับไปรับการลงโทษจากท่านอาจารย์เอง”
“…” เมื่อสี่วู่หยาเห็นความมุ่งมั่นของยู่เฉิงไห่ ตัวเขาก็ไม่คิดที่จะถามอะไรอีก
สี่วู่หยาขมวดคิ้ว ตัวเขากําลังใช้ความคิดอย่างหนัก ในตอนนี้สี่วู่หยากําลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ในขณะที่ลูบไล้พัดขนนกยูงที่อยู่ในมือ
เนหยงเยงเงียบสงขบขนม
แม้ว่าจะเงียบแต่สี่วู่หยาและฮัวจงหยางก็สามารถสัมผัสได้ถึงความโกรธที่ยู่เฉิงไห่มีได้
สีหน้าของยู่เฉิงไห่เปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย ยู่เฉิงไห่พยายามเก็บซ่อนอารมณ์โกรธแค้นเอาไว้ “อาการบาดเจ็บของพวกเขาเป็นยังไงบ้าง?”
“ไปยู่ชิงเป็นผู้ได้รับอาการบาดเจ็บน้อยที่สุด เป็นเพราะพลังวรยุทธของเขาลึกล้ํามากที่สุด แต่ถึงแบบนั้นไป ยู่ชิงก็ต้องใช้เวลาพักฟื้นเป็นเวลากว่า 6 เดือน สําหรับหยางยานและดีชิง…” ฮั่วจงหยางส่ายหัว “ข้าเกรงว่าในอนาคตพวกเขาคงจะกลับมายืนหยัดได้ใหม่อย่างยากลําบากแน่ ข้าไม่แน่ใจเลยว่าพวกเขาจะฟื้นฟูพลังวรยุทธได้ไหม”
ยู่เฉิงไห่กําหมัดแน่น “พาพวกเขากลับมา”
“คนของเราได้ออกเดินทางไปแล้ว แม้ว่าทั้งสามคนปกป้องมณฑลเหลียงเอาไว้ด้วยความยากลําบาก แต่การโจมตีที่มีก็ยังรุนแรงเกินกว่าที่พวกเขาจะต้านรับได้ พวกเราควรจะทํายังไงดี?” ฮั่วจงหยางดูเป็นกังวล “ให้ข้าไปปกป้องเมืองมณฑลเหลียงด้วยเถอะ”
ยู่เฉิงไห้ไม่เห็นด้วยกับเรื่องนั้น แม้แต่สุดยอดผู้พิทักษ์ทั้งสามก็ยังได้รับบาดเจ็บสาหัส การส่งฮั่วจงหยางไปที่นั่นเท่ากับการส่งให้เขาไปพบกับความตาย
กเข้ามาได้ เมื่อถึงเวย
แต่ถ้าหากมณฑลเหลียงไม่ได้รับการปกป้อง ชนเผ่าอื่นก็จะฉกฉวยโอกา เฉิงไห้ก็จะถูกประณาม
“ศิษย์น้องผู้หลักแหลมของข้า..เจ้ามีแผนอะไรดีๆ ไหม?” ยู่เฉิงไห่มองไปที่สี่วู่หยา
สี่วู่หยาไม่ได้ตอบกลับในทันที ตัวเขามองไปที่ฮั่วจงหยางก่อนที่จะถามออกมาแทน “สถานการณ์ที่มณฑลจี เป็นยังไงบ้าง?”
“ในตอนนี้มันถูกพิชิตได้แล้ว…เหลือเพียงเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น”
การต่อสู้กับเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์อยู่ใกล้แค่เอื้อม ในตอนนี้กองทัพของสํานักอเวจีกําลังเตรียมบุกเมืองหลวง ศักดิ์สิทธิ์แล้ว
การบุกรุกของชนเผ่าอื่นไม่ใช่แค่เรื่องบังเอิญแน่
นี่ถือเป็นอีกหนึ่งบททดสอบของสํานักอเวจี
“ติดต่อเกาะเผิงไหล วิหารปีศาจ ฝ่ายบานสะพรั่ง และสํานักหมื่นอสรพิษซะ…ขอความช่วยเหลือจากพวกเขา นอกจากนี้ระดมพลครึ่งหนึ่งที่มีจากมณฑลจิง มณฑลยู่ และมณฑลหยานไปสมทบ ปกป้องมณฑลเหลียง และมณฑลยี่ให้ได้” สี่วู่หยาสั่งการออกมาอย่างเด็ดขาด ตัวเขาหันไปมองยู่เฉิงไห่ต่อ “ข้าเองก็จะระดมพี่น้อง สํานักแห่งความมืดไปด้วย…”
ฮัวจงหยางได้ถามกลับมา “การจะระดมพลสํานักอเวจีและคนจากเกาะเพิ่งไหลได้ไม่ใช่เรื่องน่าห่วง แต่อย่างไรก็ตาม วิหารปีศาจฝ่ายบานสะพรั่ง และสํานักหมื่นอสรพิษจะช่วยพวกเราอย่างงั้นเหรอ?”
“ไม่ต้องกังวลไป…ในตอนนี้ทุกที่ทั่วดินแดนหยานต่างก็แบ่งฝั่งออกเป็น 2 ฝั่ง มีเพียงฝั่งสํานักอเวจีและฝั่งเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์เท่านั้นที่ยังหลงเหลืออยู่ ในตอนนี้ศิษย์พี่ใหญ่กําลังยื่นมือไปหาพวกเขา แน่นอนว่าไม่มีใครยอมให้โอกาสนี้หลุดรอดไปได้แน่”
ผู้ที่ถูกลิขิตให้ทําสิ่งที่ยิ่งใหญ่มักจะดึงดูดผู้อื่นให้เข้าร่วมได้เสมอ
“แล้วจะเกิดอะไรขึ้นถ้าหากเจ้าพวกนั้นตัดสินใจเปลี่ยนใจในนาทีสุดท้ายล่ะ?”
“สําหรับชนเผ่าอื่นที่ต้องเจอ ข้ามั่นใจมากกว่าทุกคนจะต้องร่วมมือกับพวกเราแน่!”
“งั้นดี! ลงมือได้?” ยู่เฉิงไห่ตกลงในทันที
สามวันต่อมา
รถม้าลอยฟ้าได้เดินทางจากมณฑลเหลียงไปยังมณฑลหยาน
เมื่อรถม้ามาถึง เหล่าสาวกจากสํานักอเวจีต่างก็แบกเปลหามออกมา
ยู่เฉิงไห่ ฮั่วจงหยาง และสี่วู่หยารีบออกมาต้อนรับรถม้าคันนั้น
สุดยอดผู้พิทักษ์ทั้งสามที่อยู่บนเปลต่างก็มีสีหน้าซีดเซียวจนน่ากลัว ไปยู่ชิงดูพอจะรู้สึกตัวอยู่ ในขณะที่หยางยานและดีชิงไม่ได้สติ
ยู่เฉิงไห่ขมวดคิ้ว ในฐานะที่ตัวเขาเป็นเจ้าสํานัก เมื่อเห็นพวกพ้องที่ต่อสู้กันมานานต้องตกอยู่ในสภาพที่น่าสงสารเช่นนี้ ตัวเขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเจ็บแค้น
“ทะ…ท่านเจ้าสํานัก…พวกเราช่างไร้ค่า!” ไปยู่ชิงพยายามที่จะลุกขึ้นมา แต่ถึงแบบนั้นตัวเขาก็บาดเจ็บจนเกินกว่าที่จะลุกมาได้
ยู่เฉิงไห่ก้าวไปที่ด้านหน้าก่อนจะกดไหล่ของไปยชิงลงเบาๆ ตัวเขาได้แต่ทิ้งความรู้สึกเจ็บแค้นนี้เอาไว้ข้างหลัง ในฐานะที่เป็นผู้นําสูงสุด ตัวเขาจะต้องทําตัวให้พึ่งพาได้มากที่สุด ยู่เฉิงไห่พูดขึ้น “เจ้าทําได้ดีมาก พวกเจ้าทุกคนทําได้ดีมากจริงๆ”
และนี่ก็คือสงคราม ไม่มีการต่อสู่ไหนที่ไม่มีการนองเลือด และไม่มีชัยชนะใดไร้ผู้บาดเจ็บ
“ท่านเจ้าสํานัก…แม่ทัพชาวรั่วหลี่ คา…คารอลได้ฝึกฝนตัวเองใหม่อีกครั้ง…ในตอนนี้เขามีพลังอวตารดอกบัวเจ็ดกลีบแล้ว! ด้วยการโจมตีผสมผสานกับเวทมนตร์คาถาที่มี…พวกเราไม่สามารถรับมือกับเขาได้เลย! ท่านเจ้าสํานักได้โปรดระวังชายคนนั้นด้วย!” ไปยู่ชิงพยายามพูดอย่างเหนื่อยล้า