Invincible Divine Dragon’s Cultivation System ระบบฝึกฝนมังกรอมตะ - ตอนที่ 333
ตอนที่ 333 นี่คือเทพธิดาของพวกเรานะ!
ในตอนนี้ถือได้ว่าหวังเสียนนั้นเป็นคนที่ร่ำรวยมากคนหนึ่งเลยก็ว่าได้ เพราะมูลค่าเม็ดยาจิตวิญญาณที่อยู่ในมือของเขานั้นมีมากเกินกว่าสองหมื่นล้านหยวน
หวังเสียนรู้สึกอารมณ์ดีเป็นอย่างมากเขายืนกอดและลูบคลำขวดกระเบื้องลายครามหลาย 10 ขวด ที่ข้างในนั้นบรรจุเม็ดยาจิตวิญญาณเอาไว้อย่างทะนุถนอม
“ช่วงนี้ฉันคงต้องพักผ่อนสัก 2-3 วันและจะได้ถือโอกาสเร่งการเจริญเติบโตของต้นยาจิตวิญญาณในสวนยาจิตวิญญาณแห่งนี้ด้วย!” หวังเสียนยิ้มออกมาในขณะที่เขาพูด
เขาก้มมองดูนาฬิกาที่อยู่บนข้อมือของเขา ในขณะนี้มันเป็นเวลาเกือบบ่ายสามโมงแล้ว เขาจึงรีบออกจากเกาะลอยน้ำแล้วตรงกลับไปที่วิลล่าริมชายหาดของเขาอย่างรวดเร็ว
เมื่อหวังเสียนกลับมาถึงที่วิลล่าเขาก็เห็น กวนชูชิง, เสี่ยวหยู, ผู้อาวุโสฟาง, เสี่ยวหลันและน้องสาวของเขา หลิวเมิ่งซินกำลังฝึกซ้อมฟันดาบกันอยู่ที่ลานกว้างของวิลล่า
ผู้เฒ่าซุยหวางนอนเอนหลังอยู่บนเก้าอี้ชายหาด พร้อมกับให้คำแนะนำในการฝึกซ้อมเป็นบางครั้งกับกลุ่มของกวนชูชิง
ในปัจจุบันกวนชูชิงและเสี่ยวหยูได้ก้าวเข้าสู่ระดับครึ่งขั้นก่อกำเนิดลมปราณแล้ว นั่นหมายความว่าผู้อาวุโสฟางไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็นอาจารย์และคอยให้คำปรึกษากับเสี่ยวหยูได้อีกต่อไป
ถึงแม้ว่าเธอนั้นจะมีความสามารถและความกล้าหาญและยังเป็นถึงผู้อาวุโสของสำนักกระบี่พฤกษาขจี แต่ความแข็งแกร่งและความสามารถโดยรวมของเธอ เธอก็ไม่สามารถสั่งสอนและให้คำแนะนำเสี่ยวหยูได้อีกต่อไปแล้ว
และแทนที่จะปล่อยให้ผู้อาวุโสฟางกลับไปที่สำนัก เสี่ยวหยูตัดสินใจขอให้ผู้อาวุโสฟางฝึกฝนอยู่กับเธอที่นี่ เพราะในความคิดของเสี่ยวหยูผู้อาวุโสฟางนั้นเป็นทั้งอาจารย์และเป็นเหมือนกับพี่สาวของเธอด้วย
และโดยปกติแล้วหวังเสียนก็ไม่ได้ปฏิบัติต่อผู้อาวุโสฟางอย่างเฉยชา แต่กลับตรงกันข้ามหวังเสียนนั้นปฏิบัติต่อเธออย่างดี มิหนำซ้ำยังมอบยาจิตวิญญาณที่เป็นทรัพยากรในการบ่มเพาะให้เธออย่างต่อเนื่อง [ดูแล้วก็ไม่น่ารอดมือหวัง]
และด้วยสาเหตุนี้จึงทำให้ผู้อาวุโสฟางนั้นก้าวเข้าสู่ระดับครึ่งขั้นก่อกำเนิดลมปราณอย่างที่เธอเป็นอยู่ในปัจจุบัน
และสำหรับเสี่ยวหรันที่เป็นลูกศิษย์ของหวังเสียน ความสามารถของเขาอยู่ในระดับนักรบขั้นที่ 8 เพียงเท่านั้น แต่อย่างไรก็ตามหากพิจารณาถึงอายุของเขาแล้วระดับนี้ถือได้ว่าน่ากลัวเป็นอย่างมากเลยทีเดียว
ส่วนน้องสาวของเขาหลิวเมิ่งซินก็ฝึกฝนร่วมกับเขาด้วยและเธอยังได้รับการยอมรับให้เป็นลูกศิษย์ของซุนหลิงซิ่ว ไม่เพียงแต่ฝึกฝนการบ่มเพาะด้านความแข็งแกร่งเพียงเท่านั้น หลิวเมิ่งซิน ยังฝึกฝนธาตุแห่งแสงและวิชาทางการแพทย์อีกด้วย
“พี่หวังเสียน!” เสี่ยวหยู ตะโกนออกมาเสียงดังด้วยความดีใจ
“เสี่ยวเสียน!” กวนชูชิง เรียกชื่อของเขาด้วยดวงตาที่เป็นประกายระยิบระยับ
“ท่านอาจารย์!” เสี่ยวหรัน ก็รีบทักทายหวังเสียนด้วยความเคารพ
แต่พวกเขาก็ไม่ได้หยุดการฝึกซ้อมลงแต่อย่างใด ในขณะที่พวกเขาทักทายหวังเสียน
หวังเสียน ตอบสนองด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่นและอ่อนโยนของเขา และเขาก็ไม่ได้รบกวนการฝึกซ้อมของกลุ่มกวนชูชิง เขาเพียงแค่เดินไปหยุดยืนอยู่ข้างๆผู้เฒ่าซุยหวางเท่านั้น
“พวกเจ้าอย่าเสียสมาธิฝึกซ้อมต่อไป จนกว่าจะถึงเวลาที่กำหนด!” ผู้เฒ่าซุยพูดออกมาเสียงเข้มเหมือนกับอาจารย์ที่กำลังสั่งสอนลูกศิษย์ ก่อนที่เขาจะหันไปหรี่ตามองยังหวังเสียน พร้อมกับพูดประชดประชันออกมา
“ฮึ! มันน่าแปลกใจจริงๆก่อนหน้านี้ข้าจำได้ว่าข้ารับลูกศิษย์เพียงคนเดียวเท่านั้น แต่ทำไมตอนนี้ดูเหมือนว่าข้านั้นจะมีลูกศิษย์เพิ่มขึ้นมาอย่างมากมายก็ไม่รู้!” ในขณะที่ผู้เฒ่าซุยพูด เขาก็อดไม่ได้ที่จะจ้องมองไปยังหวังเสียนด้วยความหงุดหงิด
“ฮ่าๆๆ! ถึงแม้ว่าหลายคนในที่นี้จะไม่ได้เป็นลูกศิษย์ของท่านโดยตรง! แต่การที่พวกเขาได้รับคำชี้แนะจากจักรพรรดิซุยผู้ยิ่งใหญ่แห่งยุค ถือได้ว่าเป็นโชคลาภของพวกเขาอย่างแท้จริง!” หวังเสียน หัวเราะออกมาพร้อมกับกล่าวคำเยินยอเล็กน้อยก่อนที่เขาจะเดินกลับเข้าไปในวิลล่าของเขา
“ฮึ! ไม่มีความจริงใจแม้แต่น้อย เจ้าคิดว่าข้านั้นเป็นเด็กน้อยที่จะหลงระเริงไปกับคำชื่นชมของเจ้าอย่างนั้นรึ!” ถึงแม้ว่าผู้เฒ่าซุยจะบ่นออกมาเช่นนั้น แต่เมื่อดูจากลักษณะท่าทางของเขาแล้วมันกลับตรงกันข้ามกับคำพูดที่เขาพูดออกมา เพราะใบหน้าของเขานั้นแสดงความภาคภูมิใจออกมาไม่น้อยเลยทีเดียว แต่หลังจากนั้นเขาก็ไม่ได้สนใจหวังเสียนอีกต่อไป เขาหันไปให้คำแนะนำสั่งสอนกลุ่มของกวนชูชิงตามปกติของเขาต่อไป
หลังจากที่หวังเสียนเดินเข้ามาในวิลล่าแล้วเขาก็สังเกตเห็น ซุนหลิงซิ่ว กำลังยุ่งอยู่กับการทำอาหารในครัว เขายืนจ้องมองเธออยู่ครู่ใหญ่ และไม่ได้เข้าไปรบกวนเธอ ก่อนที่เขาจะยิ้มออกมาบางๆและเดินกลับขึ้นห้องของเขาไป
ในปัจจุบันนี้ความงดงามของ ซุนหลิงซิ่ว เรียกได้ว่าเป็นเหมือนดั่งเทพธิดาและไร้ที่ติอย่างแท้จริง เพราะทุกอริยาบทของเธอนั้นช่างสง่างามและยังมีออร่าแห่งแสงอยู่รอบๆตัวเธออีกด้วย
….
เมื่อรุ่งสางของเช้าวันรุ่งขึ้น หวังเสียน มองไปที่ร่างเปลือยเปล่าของกวนชูชิง ที่ยังคงหลับอยู่บนเตียงอย่างอ่อนเพลีย เขาดึงเธอเข้ามาโอบกอดเบาๆพร้อมกับจูบไปที่หน้าผากของเธอ ก่อนที่เขาจะลุกขึ้นเพื่อเข้าไปอาบน้ำ
ในขณะที่หวังเสียนเดินออกมาสูดอากาศในสวนหลังบ้านของวิลล่า เขาก็นึกถึงศูนย์การแพทย์มังกรศักดิ์สิทธิ์ของเขาที่มอบให้กับซุนหลิงซิ่วดูแล หวังเสียนจึงตัดสินใจที่จะไปดูว่าตอนนี้นั้นเป็นอย่างไรบ้าง
พูดตามจริงแล้วเขาไม่เคยกลับไปดูที่ศูนย์การแพทย์มังกรศักดิ์สิทธิ์อีกเลยหลังจากที่เขาได้มอบความไว้วางใจให้กับซุนหลิงซิ่วดูแล
แต่เมื่อวานตอนทานอาหารมื้อค่ำเขารู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมากเมื่อพบว่า ซุนหลิงซิ่วได้มอบบัตรธนาคารที่มีเงินฝากมากกว่า 200 ล้านหยวนให้กับเขา ซึ่งมันเป็นเวลาเพียงแค่ 10 วันเท่านั้น ตั้งแต่ที่เธอได้เข้าไปจัดการดูแลศูนย์การแพทย์มังกรศักดิ์สิทธิ์
สิ่งนี้หมายความว่าเธอสามารถมีรายได้มากกว่า 20 ล้านหยวนต่อวัน ซึ่งสูงกว่าตอนที่เขาเป็นผู้ดูแลศูนย์การแพทย์มังกรศักดิ์สิทธิ์มากเลยทีเดียว
เมื่อหวังเสียน มาถึงประตูทางเข้าของศูนย์การแพทย์มังกรศักดิ์สิทธิ์เขาก็ต้องประหลาดใจกับภาพที่เห็นตรงหน้า
ในตอนนี้มันเป็นเวลาเพียงแค่สิบโมงเช้าเท่านั้น แต่มีคนมากกว่า 20 คนมารวมกันอยู่ที่ประตูทางเข้าหลักแล้ว
เป็นกลุ่มคนที่ใส่เสื้อผ้าธรรมดาซึ่งดูแล้วก็เหมือนกับชาวบ้านปกติทั่วๆไป กลุ่มคนพวกนี้นั้นมีทั้งเด็กและผู้ใหญ่
พวกเขายืนเข้าแถวอยู่ที่ประตูหลักกันอย่างเป็นระเบียบไม่มีใครสร้างความวุ่นวายและส่งเสียงดังออกมา
จากลักษณะท่าทางของพวกเขานั้นไม่ใช่การกระทำที่เกิดจากความหวาดกลัว แต่มันเป็นปฏิกิริยาการกระทำที่แสดงออกถึงความเคารพและเชื่อฟังอย่างจริงใจ
หวังเสียนรู้สึกค่อนข้างจะประหลาดใจ แต่เขาก็ไม่ได้คิดอะไรมากนัก และยังคงมุ่งหน้าเดินตรงเข้าไปข้างในศูนย์การแพทย์ตามปกติ
เมื่อเขาเดินผ่านประตูทางเข้าหลักเข้าไปข้างใน เขาก็พบว่าที่ด้านในยังมีผู้คนยืนเข้าแถวกันอยู่อีกมาก หมอโลหิตชายชาวยุโรปที่เป็นเหมือนพ่อบ้านผู้ซื่อสัตย์ของซุนหลิงซิ่วก็กำลังให้คำปรึกษาและรักษาคนไข้ด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม
คนไข้หลายคนซึ่งเป็นผู้สูงอายุนอนอยู่บนเตียงผู้ป่วย ด้วยสภาพเสื้อผ้าที่ค่อนข้างเก่าซอมซ่อ เห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่าคนพวกนี้นั้นเป็นคนที่ยากจนอย่างแน่นอน
หวังเสียนหันไปมองที่กำแพงโดยรอบ เขาพบว่ามีชายธงเชิดชูเกียรติแขวนไว้อยู่จนเต็มแทบจะทุกด้านของฝังผนัง
บางข้อความเป็นข้อความขอบคุณ หมอซุนและหมอโลหิตที่ช่วยเหลือและรักษาชีวิตของผู้ยากไร้อย่างไม่เห็นแก่ตัว
บางข้อความก็เป็นข้อความที่ชื่นชมเธอในฐานะ หมอเทวะหญิงผู้เป็นดั่งเทพธิดาของประเทศจีนผู้ยิ่งใหญ่
บางข้อความก็เป็นข้อความที่พร่ำพรรณนาถึงความใจดีและความสง่างามของหมอซุน เช่นเทพธิดาแห่งแสงผู้สง่างามใจดีและมีเมตตา ผู้เป็นเหมือนแสงนำทางแห่งเมืองเจียงเฉิง
มีชายธงยกย่องเชิดชูเกียรติอยู่ทุกประเภทแขวนอยู่จนเต็มผนังทุกด้าน
หวังเสียน หันไปมองยังด้านที่เขาเคยแขวนตั้งกฎของศูนย์การแพทย์เอาไว้ แต่ในตอนนี้กฎของศูนย์การแพทย์ที่นี่ได้เปลี่ยนไปแล้ว
“ศูนย์การแพทย์มังกรศักดิ์สิทธิ์ยินดีช่วยเหลือและรับรักษาเพื่อช่วยชีวิตผู้ป่วยที่มีจิตใจดีและยากจนโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้น!” หวังเสียน อ่านกฎที่เพิ่มขึ้นมาอีก 1 ข้อ
“ผู้ฝึกตนของกองกำลังที่ร่ำรวยจะต้องจ่ายเงินค่ารักษาขั้นต่ำที่ 5 ล้านหยวน!” และนี่ก็คือกดที่เพิ่มขึ้นมาเป็นข้อที่ 2
“สิ่งนี้สามารถบอกได้เลยว่าตรงกับลักษณะนิสัยของซุนหลิงซิ่วอย่างแท้จริง!” หวังเสียน พูดพึมพำออกมาเบาๆ เมื่อเขากวาดสายตามองไปอีกครั้งเขาก็สังเกตเห็นว่ากฎบางข้อของเขานั้นก็ยังถูกนำมาใช้เช่นเดิม เช่นกฎที่ว่าต้องเข้าคิวรับการรักษาและห้ามส่งเสียงดัง รวมถึงต้องมีทัศนคติที่ดีหากเข้ามาอยู่ในศูนย์การแพทย์มังกรศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้
ก่อนหน้านี้ซุนหลิงซิ่วเคยเป็นหมออยู่ในโรงพยาบาลใหญ่ของตัวเมือง เธอได้เคยเห็นการบาดเจ็บ การพิการรวมถึงความตายมาอย่างมากมาย การพรากจากกันของคู่รัก การสูญเสียของพ่อแม่และลูกๆ เธอตระหนักได้ว่าผู้ป่วยส่วนมากนั้นไม่สามารถจ่ายค่ารักษาพยาบาลที่มีราคาแพงได้ บางคนต้องฝืนกล้ำกลืนน้ำตาปล่อยให้คนที่พวกเขารักนั่นต้องจากไปอย่างไม่เต็มใจเพราะความยากจน
ดังนั้นเธอจึงเลือกที่จะรักษาให้กับผู้คนเหล่านั้นฟรี
และก็แน่นอนตามกฎที่เธอได้เขียนเอาไว้มันต้องอยู่ภายใต้ข้อเท็จจริงที่ว่าคนผู้นั้นต้องเป็นคนยากจนและต้องเป็นคนดีอีกด้วย
ซึ่งมันก็ไม่ยากที่จะตรวจสอบข้อเท็จจริงเหล่านี้ สำหรับความสามารถของเธอและหมอโลหิตที่มีความสามารถของธาตุแห่งแสง
เบื้องต้นผู้ป่วยจะต้องผ่านการพิจารณาจากหมอโลหิตที่ดูเหมือนกับชายวัยกลางคนผู้ใจดี ความสามารถของหมอโลหิตผู้นี้นั้นสามารถบอกข้อเท็จจริงเกี่ยวกับคำโกหกของผู้คนที่มีความสามารถต่ำกว่าระดับก่อกำเนิดลมปราณขั้นสูงสุดได้อย่างง่ายดาย
เพราะฉะนั้นสำหรับคนธรรมดาทั่วไปแล้วนั้น มันจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะโกหกและหลอกลวงเขา
และอีกอย่างหนึ่งที่ระยะหลังๆมานี้ไม่มีใครกล้าเข้ามาโกหกและหลอกลวงเพื่อจะรับการรักษาฟรีจากศูนย์การแพทย์มังกรศักดิ์สิทธิ์ เพราะหมอโลหิตที่ท่าทางใจดีผู้นี้ กลับเป็นคนที่น่ากลัวเป็นอย่างมากเมื่อมีคนเข้ามาหลอกลวงหวังรับการรักษาฟรี
หลังจากที่มีตัวอย่างของผู้เคราะห์ร้าย 3-4 ราย ก็ไม่มีใครกล้าจะเข้ามาสร้างความวุ่นวายที่นี่อีกต่อไป
ห้องโถงชั้นแรกมีไว้สำหรับรักษาคนธรรมดาที่เข้ามารับการรักษาฟรี ส่วนชั้นที่ 2 นั้นเปรียบเสมือนห้อง VIP ที่ใช้สำหรับรักษากลุ่มกองกำลังผู้ฝึกตนที่ต้องจ่ายค่ารักษาพยาบาลราคาแพง และส่วนมากพวกเขาก็จะได้รับการรักษาจากเทพธิดาแห่งแสงซุนหลิงซิ่วโดยตรง
ด้วยเหตุนี้หวังเสียนจึงตั้งใจเดินขึ้นไปที่ชั้นสองในทันที
ขณะที่หวังเสียนมาถึงชั้นสองและกำลังจะเดินเข้าไปข้างในห้องทำงานของซุนหลิงซิ่ว เขาก็ถูกขวางให้หยุดเสียก่อน
“เฮ้! น้องชายหากนายมาด้วยจุดประสงค์อื่น ต้องไปเข้าคิวท้ายแถวพวกเรา หากนายต้องการมารับการรักษา นายต้องกลับไปเข้าคิวที่ด้านล่างและต้องรอจนกว่าจะถูกเรียกตัว!” เสียงของชายหนุ่มคนหนึ่งดังขึ้นมาในทันที
“หือ?” หวังเสียนหันไปมองด้วยความสับสนเล็กน้อย
เป็นชายหนุ่มที่แต่งตัวดีคนหนึ่งกำลังมองเขาด้วยสายตาที่เย็นชา ที่ข้างๆเขามีชายหนุ่มและชายวัยกลางคนนั่งอยู่บนเก้าอี้เรียงลำดับตามคิว
นอกเหนือจากชายหนุ่มที่แต่งตัวดูดีทั้งสามคนแล้ว ยังมีชายหนุ่มอีกสองคนที่พกดาบอยู่ในมือ จากลักษณะท่าทางของพวกเขานั้นเห็นได้ชัดเลยว่าพวกเขานั้นเป็นชาวยุทธ พวกเขาอาจจะเป็นผู้ที่มารอรับการรักษาหรืออาจจะเป็นองครักษ์ของชายหนุ่มกลุ่มนี้ก็ได้
ถึงแม้ว่าชายหนุ่มทั้งสามคนจะดูเย่อหยิ่ง แต่พวกเขาก็ค่อนข้างที่จะหล่อเหลามากเลยทีเดียว
นอกจากนี้แล้วพวกเขาแต่ละคนยังถือดอกไม้ช่อใหญ่อยู่ในมือกันอีกด้วย
“ผมไม่ได้มีจุดประสงค์เช่นเดียวกับพวกคุณ! ฉะนั้นโปรดหลีกทางด้วย!” หวังเสียน ยิ้มออกมาบางๆ ก่อนที่เขาจะปัดมือของชายหนุ่มคนที่พยายามขวางเขาเอาไว้ ออกไปเบาๆ
“นายไม่รู้จักกฎของที่นี่อย่างนั้นหรอกหรือ หากคุณหมอซันกำลังรักษาคนไข้อยู่ ห้ามเข้าไปรบกวนโดยเด็ดขาด!” ชายหนุ่มคนนั้นพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่ดุดัน เขาจ้องมองไปที่หวังเสียน ด้วยสายตาที่ไม่เป็นมิตร
“คุณเป็นเจ้าหน้าที่ที่นี่อย่างนั้นเหรอ?” หวังเสียน ถามออกไปในทันทีเมื่อเห็นว่าชายหนุ่มคนนั้นยังคงตั้งใจจะขัดขวางเขาอยู่
“คนอย่างนายไม่มีคุณสมบัติพอที่จะรู้ว่าฉันนั้นเป็นใคร! นายต้องรออยู่ที่นี่หากต้องการรับการรักษา ถ้าไม่เช่นนั้นก็ไสหัวไปให้พ้น!” คราวนี้ชายหนุ่มตะคอกออกมาด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างดังด้วยความโมโห
“ที่นี่คือศูนย์การแพทย์ของเทพธิดาแห่งแสงผู้ศักดิ์สิทธิ์และสง่างาม หากนายตั้งใจจะมาก่อความวุ่นวาย ฉันคิดว่านายควรรีบออกไปให้พ้นเสียจะดีกว่าไม่เช่นนั้นนายอาจจะเจ็บตัวก็ได้!” ชายหนุ่มอีกคนนึงพูดเสริมออกมาในขณะที่เขาเชิดหน้าขึ้นอย่างหยิ่งยโส
หวังเสียนยิ้มออกมาและส่ายหัวอย่างช้าๆ เขาพบว่าชายหนุ่มพวกนี้นั้นค่อนข้างจะน่าตลกเสียจริงๆ
เขาเดาได้อยู่แล้วว่าชายหนุ่มพวกนี้นั้นต้องคอยตามติดพันซุนหลิงซิ่ว อย่างแน่นอน
‘เมื่อพิจารณาถึงความงดงามปานเทพธิดาของซุนหลิงซิ่วแล้ว นี่จึงนับว่าเป็นเรื่องธรรมดาจริงๆ ที่จะมีชายหนุ่มมาติดพันเธอ เพราะหากพูดกันตามตรงแล้วถ้ามีผู้ชาย 100 คนได้พบเห็นเธอ 99 คนต้องหลงเสน่ห์ในความสวยงามของเธออย่างแน่นอน!’ หวังเสียนหัวเราะออกมาเบาๆ ในขณะที่เขาไม่ได้สนใจชายหนุ่มเหล่านั้นและยังคงเดินตรงเข้าไปข้างใน
“หยุดอยู่ตรงนั้น! นายไม่ได้ยินที่พวกฉันพูดหรือยังไง!” ชายหนุ่มทั้งสามคนแทบจะตะโกนออกมาพร้อมๆกัน
ในตอนนี้ใบหน้าของพวกเขานั้นจริงจังเป็นอย่างมากขณะที่จ้องมองไปยังหวังเสียน
“เอ๋?” ในขณะที่ซุนหลิงซิ่ว กำลังรักษาผู้ป่วยอยู่ในห้อง เธอก็ได้ยินเสียงของคนทะเลาะกันอยู่ทางด้านนอก เธอขมวดคิ้วขึ้นมาเล็กน้อย
เธอจึงเดินออกมาดู และต้องประหลาดใจเป็นอย่างมากเมื่อเห็นหวังเสียนกำลังเดินเข้ามาในห้อง
เธอยิ้มออกมาอย่างสดใสพร้อมกลับรีบเดินตรงเข้าไปหาเขาในทันที
“เสี่ยวเสียน วันนี้คุณว่างอย่างนั้นเหรอถึงมาหาฉันที่นี่ได้!” รอยยิ้มที่อ่อนหวานและสดใสพร้อมกับเสียงพูดที่ไพเราะของ ซุนหลิงซิ่ว เพียงพอที่จะทำให้ชายหนุ่มทุกคนที่ได้เห็นหลอมละลายลงไปได้เลยในทันที
“วันนี้ผมไม่มีธุระอะไร ผมจึงแวะเข้ามาหาคุณ!” หวังเสียน ตอบออกมาด้วยรอยยิ้ม ในขณะที่เขาเดินเข้าไปยืนอยู่ใกล้กับเธอจนตัวแทบจะติดกัน
ซุนหลิงซิ่วไม่ได้หลบเลี่ยงเขาแต่อย่างใด และเธอยังจับแขนของเขาเอาไว้อย่างเป็นธรรมชาติ พร้อมกับถามออกไป “เด็กเฝ้าประตูตัวโข่งสามคนนั้นไม่ได้ทำหยาบคายอะไรกับคุณใช่หรือไม่?”
ในขณะที่ซุนหลิงซิ่วถามหวังเสียนเธอก็หันไปเหลือบมองชายหนุ่มทั้งสามคนด้วยสายตาที่เย็นชาเล็กน้อย
“ไม่หรอก! พวกเขาไม่ได้หยาบคายและสร้างปัญหาอะไรให้กับผม! พวกเขาดูเป็นมืออาชีพและรู้จักกฎระเบียบของที่นี่อย่างดีเลยทีเดียว!” หวังเสียนพูดออกมายิ้มๆ
“คิกๆ! ถ้าอย่างนั้นก็เข้ามาก่อนนั่งก่อนเถอะ ฉันจะชงชาให้กับคุณเอง!” ซุนหลิงซิ่ว หัวเราะคิกคักออกมาอย่างอารมณ์ดี ในขณะที่เธอดึงแขนของหวังเสียน เพื่อพาเขาไปนั่งลงยังโต๊ะที่นั่งสำหรับพักผ่อนของเธอ และเธอก็เริ่มชงชาหลงจิ่งที่เป็นชาโปรดของหวังเสียน ให้กับเขา
“นะ…นี่ๆๆ..มัน!!” ชายหนุ่มทั้งสามคนที่ยืนดูอยู่ที่หน้าประตูห้อง อ้าปากพูดออกมาอย่างตะกุกตะกัก พวกเขายืนจ้องมองเทพธิดาของพวกเขาแสดงรอยยิ้มที่มีความสุขของเธอต่อหน้าหวังเสียนด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง
“มะ!…มันจะเป็นไปได้ยังไง?…ฉันไม่เชื่อ! เทพธิดาของพวกเรากำลังชงชาให้กับไอ้หนุ่มหน้าหล่อคนนั้นด้วยท่าทางที่มีความสุข!” เสียงพูดของชายหนุ่มคนที่ยืนขวางทางหวังเสียน พูดออกมาคล้ายกับเสียงคนร้องไห้
……….
จบบท