I’m in Hollywood – ย้อนเวลามาเป็นเจ้าพ่อฮอลลีวูด - ตอนที่ 247
ตอนที่ 247 ไปๆมาๆ
หลังจากที่ผ่านการถ่ายหนังไปกว่า 20 วันในที่สุดหนังเรื่อง Sleepless in Seattle ก็ปิดกล้องลง ทว่าเอริคกลับยังไม่ได้รับช่วงเวลาในการพักผ่อนหลังจากนั้น เพราะเขายังมีการถ่ายทําของเรื่อง Home alone 2 ต่ออีกเรื่องหนึ่ง แม้ว่าพล็อตเรื่องของภาคแรกและภาคสองจะมีความคล้ายคลึงกันทว่าภายในภาคใหม่นั้นยังมีความ แปลกใหม่มากกว่าภาคแรกอยู่มากและที่สําคัญที่สุดคือเมื่อเทียบกับภาคแรกที่การถ่ายทําก่อนหน้านี้จะเน้นอยู่ภายในบ้านของเควิน ทว่าสําหรับภาคนี้การถ่ายทํามีเรื่องราวที่เพิ่มมากขึ้นกว่าเดิมเพราะนอกจากฉากของโจรสองคนแล้วยังมีเรื่องราวที่เกิดขึ้นภายในโรงแรมและเซ็นทรัลพาร์คเพิ่มขึ้นมาอีก
“ออกไปเช้าขนาดนี้เลยเหรอ ? ” เช้ารุ่งขึ้นหลังจากที่เอริคเดินออกมาจากห้องของเขา เขาก็มองเห็นเอลิซาเบธที่สะพายกระเป๋าเป้พร้อมกับทําท่าจะออกจากโรงแรมเช่นเดียวกันกับเขา
เมื่อได้ยินเสียงของเอริค เอลิซาเบธก็หยุดเท้าของหล่อนพร้อมกับหันตัวมาพร้อมกับจ้องไปยังเอริคก่อนจะถามขึ้นว่า “นายอยากให้ฉันอยู่ต่อเหรอ ? “
“…”
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งเอริคก็ส่ายหน้าพร้อมกับพูดขึ้นว่า “เอาเถอะ ถือว่าฉันยินยอมก็แล้วกัน เพราะพ่อของเธอก็คงจะไม่ยอมให้เธออยู่กับฉันตลอดเวลาหรอก”
สายตาของเอลิซาเบธเกิดประกายความผิดหวังขึ้นก่อนที่จะกัดริมฝีปากของตนเองพร้อมกับพูดขึ้นมาว่า “พ่อไม่ได้สนใจฉันขนาดนั้น “
เอริคยิ้มออกมาก่อนที่จะถามว่า “เธอจะกลับไปลอสแองเจลิสเหรอ? “
“นายนี่ซื่อบื่อจริงๆเลย บ้านฉันอยู่แมนฮัตตัน นายคงไม่คิดว่าคนทั้งโลกจะอยู่แต่ลอสแองเจลิสหรอกนะ” หญิงสาวพูดจาเหน็บแนมชายหนุ่มโดยไม่รู้ตัวหลังจากที่หล่อนเห็นสีหน้าของเอริคเลื่อนลงหล่อนก็รีบพูดขึ้นว่า “ฉัน…. ฉันจะกลับมหาลัยหน่ะ แล้วก็…..ต้องขอบคุณนายด้วยที่ให้ข้อมูลกับฉันตลอดระยะเวลาที่อยู่ที่นี่ “
“ก็แค่เล็กน้อย จริงๆแล้วฉันก็เพียงแค่….” เอริคพูดไปได้ครึ่งประโยคเขาก็เงียบลงราวกับว่ากลัวจะมีความลับบางอย่างหลุดออกมาจากปากของเขา จริงๆแล้วนี่เป็นครั้งแรกที่เอริคและเอลิซาเบธพูดถึงวิทยานิพนธ์ของหล่อนซึ่งเป็นการทําวิจัยที่ศึกษาเกี่ยวกับความสําเร็จของบ็อกออฟฟิศภาพยนตร์ของเอริค และการช่วยเหลือของ เอริคนั้นเป็นเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น เพราะเขาเพียงแค่นําข้อมูลบางส่วนที่มาจากความทรงจําในยุคก่อนหน้านี้ที่เขาเคยเห็นผ่านตามารวมถึงให้แนวคิดและรายละเอียดบางอย่างเกี่ยวกับการถ่ายทําภาพยนตร์ให้กับหญิงสาว
เอลิซาเบธรออยู่ครู่หนึ่งหลังจากที่เห็นว่าเอริคหยุดพูดไป หล่อนก็เลือกที่จะไม่ถามต่อ “ฉันคิดว่าจะทําวิทยานิพนธ์ให้จบก่อนสิ้นปีนี้ ต้นปีหน้าฉันจะเริ่มทําภาพยนตร์เรื่องแรกและจะเข้าฉายในช่วงฤดูร้อน ช่วงนั้นนายมีหนังที่จะเข้าฉายหรือเปล่า ?”
เอริคพยักหน้า แม้ว่าเขาจะไม่ได้คาดหวังภาพยนตร์ในปีหน้าเท่ากับปีนี้ทว่าเขาเองก็ไม่ยอมที่จะปล่อยโอกาสที่ดีให้หลุดลอยไปเช่นกัน
“ถึงเวลานั้นพวกเรามาแข่งบ็อกออฟฟิศกันดีไหมล่ะ? ” ความคิดของหญิงสาวถูกเอ่ยออกมาทันที่ที่หญิงสาวนึกขึ้นได้โดยไม่ตั้งใจ
เอริคได้ยินเช่นนั้นก็อดไม่ได้ที่จะคิดขึ้นมาในใจว่าโอกาสที่หล่อนจะชนะเขาคือศูนย์ ทว่าเมื่อนึกขึ้นได้ว่าเอลซาเบธจะสร้างหนังที่มีชื่อเสียงอย่างเรื่อง The Silence of the Lambs เขาก็ตระหนักขึ้นมาได้ว่าหนังเรื่องนี้ในยุคของเขาค่อนข้างมีชื่อเสียงและคะแนนของบ็อกออฟฟิศก็สามารถแตะไปถึง 100ล้านเหรียญได้อย่างง่ายดาย
หลังจากที่เอลิซาเบธพูดจบหล่อนก็รู้สึกได้ว่ามีความเป็นไปได้ที่หล่อนจะไม่ได้รับชัยชนะในครั้งนี้ หล่อนจึงใช้มือดึงสายกระเป๋าสะพายก่อนที่จะรีบพูดขึ้นว่า “ช่างเถอะๆ ยังไงฉันก็ไม่มีทางชนะนายอยู่แล้ว ถ้างั้นก็…ลาก่อนนะ “
เอริคมองไปที่หญิงสาวก่อนที่จะพูดขึ้นว่า “ลาก่อน…เอ่อ….จะให้ฉันช่วยถือกระเป๋าเดินทางให้ไหม ?”
” ไม่ต้องหรอก พนักงานช่วยลากลงไปด้านล่างให้ฉันแล้ว ตอนนี้รถก็คงจะรออยู่ด้านล่างแล้วแหละ”
“งั้นฉันเดินไปส่ง ” เอริคพูดขึ้นพร้อมกับเดินไปที่ลิฟต์พร้อมกับหญิงสาว
หลังจากที่รถแท็กซี่ขับออกไปไกลแล้ว เอริคก็เดินกลับไปที่โรงแรมอีกครั้งพร้อมกับตรงไปยังห้องอาหารซึ่งเป็นช่วงเวลาที่นิโคลที่สวมใส่เสื้อแจ็คเก็ตรัดรูปพร้อมกับกางเกงยีนส์กําลังเดินเข้ามาพอดี
“มอนิ่งเอริค “
“อรุณสวัสดิ์ ” เอริคพยักหน้ารับ ” กินข้าวเช้เหรอ ? “
“อื้อ” นิโคลตอบกลับพร้อมกับเดินตรงเข้าไปในห้องอาหารพร้อมกับเอริคในทันที
ทั้งสองสั่งอาหารเช้าพร้อมกับนั่งลงข้างๆกัน หลังจากที่ทั้งสองสั่งอาหารเสร็จแล้วเอริคก็ถามขึ้นว่า “อ่อจริงสิ เธอจะกลับเมื่อไหร่ล่ะ ? “
นิโคลแสดงความขุ่นเคืองขึ้นมาหลังจากที่ได้ยินสิ่งที่เอริคถาม “ตอนคุณไปส่งเอลิซาเบธเมื่อกี้ก็แสดงท่าทางไม่ใส่ใจ แล้วตอนนี้ยังจะไล่ให้ฉันรีบกลับไปอีกเหรอ?”
“อย่าพูดไร้สาระ ” เอริคจ้องไปที่หญิงสาว ” เธอก็รู้ว่าฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น”
นิโคลเห็นว่าเอริคไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่นักหล่อนจึงหยุดพดแซวเขาในทันที”ฉันไม่ได้กลับซิดนีย์เกือบครึ่ง ปีแล้ว เลยคิดว่าจะใช้ช่วงที่ว่างช่วงนี้กลับไปอยู่กับที่บ้านสักหน่อยจะกลับเมื่อไหร่ก็คงต้องดูว่ากําหนดการใน การโปรโมทหนังเรื่อง Sleepless in Seattle เป็นช่วงไหน “
หลังจากที่ได้ยินเช่นนั้นเอริคก็พูดแนะนําขึ้นว่า “จะให้ฉันช่วยเลื่อนให้ไหม เธอจะได้มีเวลาอยู่กับครอบครัวในวันขอบคุณพระเจ้า จบเทศกาลแล้วเธอค่อยกลับมา ?”
นิโคลยิ้มก่อนที่จะส่ายหน้า ” ไม่ต้องหรอก คุณคงลืมไปแล้วสินะว่าออสเตรเลียไม่มีเทศกาลขอบคุณพระเจ้า อีกอย่างที่นั่นก็เป็นซีกโลกใต้ในฤดูร้อนด้วย ถึงแม้ว่าคริสต์มาสจะคึกคักแต่มันก็ไม่ได้มีบรรยากาศที่น่าประทับใจเท่าไหร่หรอก เอาเป็นว่าฉันยึดตามเวลาที่โปรโมทหนังก็แล้วกันถึงเวลานั้นจะรีบกลับมา “
ระหว่างที่ทั้งสองคุยไปพลางรับประทานอาหารไปพลาง นิโคลก็ใช้เวลาอย่างรวดเร็วในการรับประทานอาหารในจานของตนเองจนหมด หล่อนใช้ผ้าเช็ดปากซับมุมปากก่อนที่จะมองไปรอบๆห้องอาหาร พร้อมกับพูดเสียงเบาว่า “ฉันจะบินพรุ่งนี้แล้ว และอาจจะไม่ได้เจอคุณอีกช่วงหนึ่งเลย….คืนนี้ฉันไปห้องคุณอีกดีไหม ? “
เสียงของนิโคลไม่ได้ดังและไม่ได้เบาจนเกินไป หากมีคนนั่งฟังอยู่ตรงนี้ก็สามารถที่จะได้ยินสิ่งที่หญิงสาวพูดได้อย่างไม่ต้องสงสัย เอริคจ้องหน้าหญิงสาวที่กล้าหาญตรงหน้าเขาก่อนที่จะพยักหน้าเบาๆ “ระวังหน่อย อย่าให้ใครเห็นล่ะ”
นิโคลยิ้มด้วยความพึงพอใจเพราะในเวลานี้ดูเหมือนว่าหล่อนสามารถจับจุดของเอริคได้แล้ว ชายตรงหน้าของเขาในเวลานี้แม้ว่าจะมีความแข็งแรงแต่เขาก็ไม่ใช่คนที่แข็งกระด้างอะไร ดังนั้นหล่อนจึงรู้สึกดีใจที่เอริคเริ่ม ที่จะรู้ทริคเล็กๆของหล่อนในเวลานี้แล้วถึงแม้ว่าเขาจะแสดงท่าทีที่ไม่ใส่ใจอะไรเท่าไหร่นัก
ในไม่กี่วันสุดท้ายของการถ่ายหนังเรื่อง Sleepless in Seattle ผู้ช่วยผู้กํากับก็ได้ทําตามที่เอริคแนะนําก่อนหน้านี้คือเริ่มเปิดกล้องถ่ายหนังเรื่อง Home alone2 ในฉากง่ายๆทันที โดยเริ่มจากฉากของเควินที่อยู่บนเปโตรนาสทาวเวอร์รวมไปถึงฉากที่เควินนั่งแท็กซีผ่านสะพานบรูคลิน
แม้ว่าเมื่อวานจะเพิ่งปิดกล้องหนังเรื่อง Sleepless in Srattle ไป และกองถ่ายจะมีเวลาพักหนึ่งวันเต็มๆ ทว่าสําหรับเอริคแล้วเขากลับไม่มีพักผ่อนเลยแม้แต่น้อย เพราะไม่เพียงแต่ที่เขาจะต้องควบคุมงานหลังกล้องหนังเรื่อง Sleepless in Seattle แล้วเขายังต้องตรวจสอบงานถ่ายหนังเรื่อง Home alone2 ที่มีการถ่ายไปก่อนหน้า นี้เพื่อดูว่างานชิ้นไหนสามารถใช้ได้หรือชิ้นไหนต้องมีการถ่ายใหม่อีกครั้ง
ในวันที่สอง เอริคก็เริ่มถ่ายทําหนังเรื่อง Home alone2 ด้วยตัวของเขาเองโดยเริ่มจากฉากที่ถ่ายทําง่ายที่สุดไปจนถึงฉากที่ยากที่สุด และฉากเริ่มต้นถูกวางไว้ในโรงแรมพลาซ่า
“สติว รอเดี๋ยว นายเดินมาจากทางนี้ พอไปถึงจุดนั้นนายก็ไปถามทางกับชายคนหนึ่งที่เดินผ่านมานะ แล้วหลังจากที่ถามทางจบแล้วนายก็แสดงตามบทต่อไป อ้อแล้วอย่าลืมนะว่าเดินช้าๆ ไม่ต้องรีบเข้าใจไหม ?”
” แน่นอนเอริค เรื่องง่ายๆแบบนี้คุณยังพูดซ้ํากับผมอีก คุณคิดว่าผมซื่อบื้อขนาดนั้นเลยเหรอ ? ” เด็กชายที่สวมใส่หมวกหนาบนศีรษะพร้อมกับกระเป๋าเป้สีน้ําตาลที่ยืนอยู่ข้างเอริคกรอกตามองบนก่อนที่จะพูดขึ้น
เมื่อเห็นเอริคใบหน้าเลื่อนไปหลังจากที่ถูกเด็กชายพูดเช่นนั้น โดนัลที่ยืนรอเข้าฉากอยู่ก็หัวเราะออกมาก่อนที่จะมองไปยังสติวพร้อมกับพูดขึ้นว่า ” ช่างเป็นเด็กที่น่าสนใจจริงๆ”
“เอาเถอะ ถ้านายจําได้ก็โอเค นายไปยืนรอที่ทางเข้าเลย พวกเราเริ่มถ่ายกันเถอะ” เอริคพูดจบก็เดินไปที่หน้าจอมอนิเตอร์อย่างรวดเร็วก่อนที่จะหยิบวิทยุสื่อสารขึ้นมาและสั่งให้คนที่ยืนกระจัดกระจายอยู่เริ่มประจําตําแหน่งของตนเอง
การถ่ายทําฉากนี้ไม่ได้เป็นเรื่องยากสําหรับสติวเพราะเขาเพียงแค่เดินผ่านทางเดินจากประตูทางเข้าและ เดินเข้าไปยังล็อบบี้เท่านั้น
ทว่าความยากของฉากนี้อยู่ที่ช่างภาพและคนควบคุมการบันทึกเสียง
เพราะเป็นฉากที่ต้องถ่ายหน้านักแสดงโดยตรงเป็นเวลากว่าครึ่งนาทีโดยที่ไม่สามารถใช้รางเลื่อนในการถ่ายทําได้ จึงทําให้ผู้ถ่ายจะต้องถือกล้องขนาดใหญ่ด้วยมือของตนเองพร้อมกับเดินถอยหลังไปเรื่อยๆพร้อมกับจับภาพในเวลาเดียวกัน ซึ่งนั่นทําให้แม้ว่าจะเป็นฉากถ่ายที่ง่ายๆแต่ก็ยังต้องใช้คนถึงห้าคนเป็นอย่างน้อย นอกจากช่างภาพและผู้บันทึกเสียงแล้วยังมีผู้ช่วยอีกจํานวนหนึ่งที่ต้องตามทั้งสองคนไปด้วยระหว่างถ่ายทําเพื่อช่วยดูสายเคเบิลที่เชื่อมต่อกับกล้องและไมโครโฟนตลอดเวลา
” นิคเกิล พร้อมหรือยัง ? ” เอริคเดินไปยังล็อบบี้ซึ่งมีมอนิเตอร์วางพร้อมไว้อยู่ก่อนหน้านี้แล้ว เขาถือวิทยุสื่อสารไว้ภายในมือของเขาเพื่อถามความเรียบร้อยในแต่ละจุดอย่างคล่องแคล่ว
เมื่อเขาเดินมาใกล้กับจอมอนิเตอร์แล้วเขาก็พบผมสีทองที่ผลุบๆโผล่ๆอยู่ด้านหลังกล้องมอนิเตอร์ของเขา เอริคจึงรีบเดินมาดูใกล้ๆก่อนที่จะพบกับเด็กผู้หญิงสวมใส่เสื้อโค้ทขนสัตว์สีชมพูกําลังปืนอยู่ตรงด้านหลังมอนิเตอร์ซึ่งเป็นตําแหน่งที่เขานั่งพร้อมกับใช้มือจับไปมาด้วยความอยากรู้อยากเห็น
เด็กน้อยคนนี้ดูอายุราวๆ 10 ปีและดูเหมือนว่าจะสูงกว่าสตัวด้วย เด็กคนนี้มีผมสีทองพร้อมหน้าม้าและมีกิ๊ฟติดผมรูปการ์ตูนสีชมพูสวย มีดวงตากลมโตและขนตาที่งอนยาวสวยรวมไปถึงคางที่เรียวแหลมพอดีกับรูปหน้า
เมื่อเด็กหญิงคนนั้นมองเห็นว่าเอริคกําลังจ้องมองมา เด็กหญิงตัวน้อยก็เหลือบมองเขาด้วยความอยากรู้อยากเห็น เอริคมองไปรอบๆก่อนที่จะมองไปยังพนักงานคนอื่นๆที่อยู่บริเวณนั้นที่มองดูเด็กน้อยคนนี้ด้วยสายตาที่เอ็นดูราวกับกําลังมองเด็กที่ไร้เดียงสาอยู่
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น ? ที่ของฉันตอนนี้กลายเป็นตําแหน่งของเด็กที่ไม่รู้ที่มาที่ไปคนนี้ไปแล้วรึไง ?
” นี่หนู เธอเป็นใครหน่ะ ? ” เอริคเดินไปด้านหน้าก่อนที่จะใช้มือของเขาขวางมือเล็กๆของเด็กน้อยที่กําลังกดมอนิเตอร์ของเขา พร้อมกับใช้มือดึงไปที่แก้มเล็กๆของเด็กคนนั้น
“แล้วคุณเป็นใคร ? ” เด็กน้อยหลบมือของเอริคด้วยความคล่องแคล่วก่อนที่จะส่งสายตาไปมองเอริคด้วยความระมัดระวัง
เอริคยิ้มก่อนที่จะชี้ไปยังเก้าอี้ที่อยู่ด้านหลังของโลลิ่น้อยพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ฉันก็คือคนที่ควรจะได้นั่งเก้าอี้ตัวนั้นไง”
เด็กน้อยหันกลับไปมองด้านหลังก่อนที่จะพูดขึ้นด้วยน้ําเสียงเหยียดว่า “เหอะ บอกว่าเป็นผู้กํากับก็ได้แล้วผู้ใหญ่นี่ชอบพูดจาอ้อมค้อม “
” โอเค ฉันชื่อเอริค วิลเลี่ยม ส่วนเธอคือ….สุภาพสตรีตัวน้อย….ช่วยบอกชื่อของเธอหน่อยได้ไหม ? ” เอริคพูดก่อนที่จะยื่นมือไปด้านหน้าเด็กน้อย
เด็กน้อยตรงหน้าถอยออกไปด้านหลัง โดยที่ไม่มีทีท่าว่าจะยื่นมือออกไปจับกับมือของเอริคแม้แต่น้อย ก่อนที่จะเชิดหน้าขึ้นพร้อมกับตอบว่า “ฉันชื่ออีแวนก้า “
เอริคขมวดคิ้วก่อนจะถามต่อว่า “อีแวนก้า ? อีแวนก้า เทพูแลน ? “
“อืม “เด็กน้อยพยักหน้ารับ