Great Demon King – กำเนิดราชันย์ปีศาจ - ตอนที่ 413
เมื่อเห็นรูขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นบนพื้นดิน ฟีบี้ก็ตกตะลึงและเต็มไปด้วยคำถาม สายตาของเธอเป็นประกายขณะมองไปยังเจ้าผีดิบธาตุดินที่สร้างโพรงนั้นขึ้นมา
ขณะที่เจ้าผีดิบธาตุดินนำหน้าไป แม้แต่ตัวตุ่นที่ขุดดินเก่งที่สุดก็ยังทำได้ไม่เท่าความสามารถอันยอดเยี่ยมของมัน มวลดินที่อยู่ด้านหน้าเคลื่อนตัวและแยกออกเป็นทางด้วยความเร็วที่สามารถมองได้ด้วยตาเปล่า ทำให้เขาสามารถเดินทางผ่านชั้นดินได้โดยไม่ต้องใช้ความพยายามเลยแม้แต่น้อย
“น… นี่มันเวทมนตร์ธาตุดินแบบไหนกันน่ะ?”
ฟีบี้ที่ตามหลังหานซั่วมาติด ๆ เฝ้ามองอยู่พักหนึ่ง และไม่สามารถเก็บความสงสัยของเธอไว้ได้ ความประหลาดใจปรากฏอยู่บนใบหน้าขณะที่เธอจ้องมองหานซั่ว
“ไม่ใช่เวทมนตร์หรอก”
หานซั่วตอบ เขานิ่วหน้าและครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะอธิบายอย่างไม่เต็มใจนัก
“จริง ๆ แล้ว นี่ก็คล้าย ๆ กับศาสตร์ต่อสู้ที่ข้าฝึกฝนอยู่นั่นแหละ ซึ่งไม่เกี่ยวกับออร่าต่อสู้หรือเวทมนตร์เลยสักอย่าง”
ฟีบี้อ้าปากค้าง ริมฝีปากเธออ้ากว้างด้วยความประหลาดใจ เธอมองหานซั่วและพูดขึ้น
“นอกจากเรื่องผู้หญิง 2 คนนั่น ดูเหมือนว่าเจ้าจะมีอะไรปิดบังข้าไว้อีกเพียบเลยสินะ!”
“ไม่ใช่สักหน่อย มันก็แค่อธิบายยากเท่านั้นเอง ศาสตร์ต่อสู้ที่ข้าฝึกอยู่น่ะ แตกต่างจากเวทมนตร์และออร่าต่อสู้อย่างสิ้นเชิง แถมยังมีความลึกลับซับซ้อนอีกตั้งมากมาย เพราะงั้น ต่อให้ข้าอธิบายไป เจ้าก็คงไม่เข้าใจอยู่ดีนั่นแหละ”
หานซั่วยิ้มอย่างขมขื่นขณะตอบ พลางจับมือฟีบี้ไว้แน่น
ฟีบี้กลอกตามองหานซั่วด้วยความไม่พอใจ และคิดว่าเธอคงต้องจับตาดูเขาอย่างใกล้ชิดมากขึ้นอีกในวันข้างหน้า คน ๆ นี้เจ้าเล่ห์มาตลอด และไม่เคยทนต่อสิ่งยั่วยุได้เลย เมื่อไหร่ที่สบโอกาสเข้าใกล้ผู้หญิงสวย ๆ เขาคงจะไม่ยับยั้งชั่งใจและต้องมีความคิดที่ร้ายกาจอีกแน่ ๆ ถ้าอะไร ๆ ยังคงเป็นแบบนี้ต่อไป ก็ไม่รู้เลยว่าเขาจะสร้างความเจ็บปวดให้อีกมากแค่ไหน
“เอาล่ะ เรามาถึงแล้ว ระวังให้ดีล่ะ ห้ามประมาทเด็ดขาด!”
ขณะที่ฟีบี้กำลังครุ่นคิดอยู่เงียบ ๆ หานซั่วก็พูดขึ้นอย่างจริงจังขณะที่เขามองขึ้นไปยังทางลาดด้านบน
** Please note : โปรดอ่านนิยายเรื่องนี้ จากบล็อกของผู้แปล gdk-th.blogspot.com เท่านั้น หากท่านกำลังอ่านจากเว็บไซต์อื่น แสดงว่าท่านกำลังจ่ายเงินให้กับผู้ที่ขโมยผลงานของนักแปลมาแสวงหาผลกำไรให้ตนเอง **
เจ้าผีดิบธาตุดินยืนนิ่งไม่ไหวติงราวกับว่ามันกำลังรอหานซั่วและฟีบี้อยู่ จากนั้นมันก็หันมาหาหานซั่วและส่งกระแสจิตสื่อสารกลับมา
ท่านพ่อ ข้าควรจะสร้างทางออกขึ้นไปข้างบนเลยรึเปล่า?
ทั้งเจ้าโครงกระดูกตัวเล็ก เจ้าผีดิบธาตุดิน ธาตุไม้ ธาตุไฟ และธาตุน้ำ ต่างคุ้นชินกับการเรียกเขาว่า ท่านพ่อ แล้ว แม้หานซั่วรู้สึกไม่ค่อยสบายใจนักในตอนแรก แต่เขาก็เริ่มชินกับมันอย่างช้า ๆ เมื่อมีเสียงเรียก “ท่านพ่อ” ดังเข้ามาในใจของเขา มันทำให้เขารู้สึกแปลกใหม่อย่างบอกไม่ถูก
ราวกับว่าอสูรทั้ง 5 ตนที่หานซั่วหล่อหลอมขึ้นมา เริ่มกลายเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเขาจริง ๆ ทำให้หานซั่วรู้สึกไม่อยากจากพวกมันไป หากหานซั่วไม่ได้ติดต่อกับพวกมันสักระยะหนึ่ง เขาก็จะมีความรู้สึกโหยหาและเป็นห่วงพวกมัน ด้วยกลัวว่าพวกมันอาจเจอเข้ากับเรื่องไม่ดีในมิติมืด
“รออีกนิดเถอะ”
หานซั่วตอบ ก่อนจะหันไปหาฟีบี้และพูดขึ้น
“ทางออกอยู่ข้างบนของเรานี่แหละ ตอนนี้เราอยู่ด้านล่างของลอว์เรนซ์และคนอื่น ๆ แต่เราไม่ควรจะโผล่ขึ้นไปแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย ลอว์เรนซ์และคนอื่น ๆ จะได้ไม่โจมตีเราโดยที่ยังไม่เข้าใจสถานการณ์ เจ้ารออยู่ตรงนี้ก่อนก็แล้วกัน ข้าจะไปดูสักหน่อยว่าพอจะช่วยอะไรอาจารย์เจ้าได้บ้าง”
“อาจารย์ของข้า? เกิดอะไรขึ้นกับท่านอาจารย์เหรอ?”
แม้ว่าหานซั่วจะสามารถเฝ้าสังเกตเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้านนอกได้ผ่านปีศาจอาคม แต่ฟีบี้ไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ เมื่อได้ยินหานซั่วพูดเช่นนั้น เธอจึงแปลกใจและร้องถาม
“เขาเจอปัญหานิดหน่อยน่ะ”
หานซั่วอธิบาย
“จะเป็นไปได้ยังไงกัน? อาจารย์ของข้าเป็นถึงจอมดาบศักดิ์สิทธิ์ แล้วท่านจะเจอปัญหาได้ยังไง?”
ฟีบี้มั่นใจในตัวคาเรลจนไม่ลืมหูลืมตา เธอยิ้มเล็กน้อยขณะถามหานซั่ว ท่าทีของเธอไม่มีความหวั่นวิตกใด ๆ ทั้งสิ้น
“ตอนนี้อาจารย์ของเจ้ากำลังต่อสู้อยู่กับอัศวินเทมพลาร์จากศาสนจักรแห่งแสงสว่าง และเขาก็เป็นอัศวินศักดิ์สิทธิ์ด้วยเหมือนกัน อีกอย่าง ดูจากออร่าต่อสู้ของเขาแล้ว อัศวินศักดิ์สิทธิ์นั่นยังได้รับพรของเทพมาด้วย”
หานซั่วอธิบายให้ฟีบี้ฟังด้วยสีหน้าจริงจัง
สีหน้าของฟีบี้เปลี่ยนไปในทันที เธอรู้ข้อมูลเกี่ยวกับศาสนจักรแห่งแสงสว่างเป็นอย่างดี และร้องออกมาอย่างไม่รู้ตัว
“เป็นไปไม่ได้หรอก ท่านอาจารย์เคยบอกข้าว่าอัศวินเทมพลาร์ของศาสนจักรแห่งแสงสว่างที่แข็งแกร่งระดับนั้นมีอยู่ไม่ถึงสิบคนด้วยซ้ำ แล้วเขาจะออกจากวิหารแห่งแสงมาทำไม?”
“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน”
หานซั่วตอบ พลางขมวดคิ้วและคิดอยู่ในใจ หรือจะเป็น… เพราะข้ารึเปล่านะ?
“ถ้างั้นก็เร็ว ๆ เข้าเถอะ ข้าไม่อยากให้ท่านอาจารย์เป็นอะไรไป ถึงข้าจะรู้ดีถึงความแข็งแกร่งของท่าน แต่ก็มีเรื่องเล่ามากมายเกี่ยวกับอัศวินเทมพลาร์ผู้แข็งแกร่งของศาสนจักรแห่งแสงสว่างที่แพร่ออกไปทั่วอาณาจักร และเล่าขานถึงพลังอันน่าสะพรึงกลัวของพวกเขา ข้าอดห่วงท่านอาจารย์ไม่ได้เลย”
สีหน้าของฟีบี้เป็นกังวลอย่างที่สุด
หานซั่วพยักหน้าและออกไปพร้อมเจ้าผีดิบธาตุดิน
ด้านบน จอมดาบศักดิ์สิทธิ์คาเรลและอัศวินศักดิ์สิทธิ์แห่งศาสนจักรแห่งแสงสว่างกำลังต่อสู้กันอย่างไม่ลดราวาศอก ทำให้ตึกอาคารต่าง ๆ พังพินาศไปตาม ๆ กัน มีหลุมลึกมากมายเกิดขึ้นบนพื้นดินซึ่งเป็นบริเวณที่แสงของดาบพาดผ่าน พลังมหาศาลถูกปลดปล่อยออกมาจากทั้ง 2 คน ทำให้ทุก ๆ คนที่อยู่โดยรอบต่างต้องรักษาระยะห่างเอาไว้เพื่อไม่ให้โดยลูกหลง
หานซั่วสามารเฝ้ามองการต่อสู้ได้อย่างชัดเจนผ่านปีศาจอาคม 2 ตน หานซั่วยังคงอยู่ใต้ดินและเดินไปตามเส้นทางที่เจ้าผีดิบธาตุดินสร้างไว้ ก่อนจะไปเฝ้ารออยู่บริเวณตำแหน่งที่อัศวินศักดิ์สิทธิ์จะทิ้งตัวลงมา เพื่อเตรียมพร้อมซุ่มโจมตีทันทีที่สบโอกาส
ชายชราผมสีทองผู้ถือหอกสีทองนั้นดูราวกับทองคำแท่งที่เคลื่อนที่ไปมาเมื่อมองจากระยะไกล เกราะสีทองของเขาแข็งแรงอย่างยิ่ง อีกทั้งยังมีแสงทองเป็นประกายแผ่ออกมาทุกครั้งที่เขากวัดแกว่งหอก ก่อให้เกิดแสงอันเจิดจรัสท่ามกลางค่ำคืนที่มืดมิด สีหน้าของคาเรลนั้นดูเคร่งเครียด ขณะที่ผมสีขาวของเขาพริ้วสะบัดตามการเคลื่อนไหว ทุกครั้งที่ตวัดดาบ เขาก็ฟาดท่าฟันกางเขนศักดิ์สิทธิ์ใส่ศัตรู
** Please note : โปรดอ่านนิยายเรื่องนี้ จากบล็อกของผู้แปล gdk-th.blogspot.com เท่านั้น หากท่านกำลังอ่านจากเว็บไซต์อื่น แสดงว่าท่านกำลังจ่ายเงินให้กับผู้ที่ขโมยผลงานของนักแปลมาแสวงหาผลกำไรให้ตนเอง **
เห็นได้ชัดในการต่อสู้ครั้งนี้ คาเรลสู้สุดฝีมือ ท่าฟันกางเขนศักดิ์สิทธิ์ของเขามีขนาดใหญ่และและทรงพลังกว่าตอนที่เขาลองประมือกับหานซั่วในครั้งนั้น กางเขนศักดิ์สิทธิ์ดูราวกับคมเคียวที่หมุนคว้าง มันระเบิดก้อนหินจนแตกกระจาย และทำให้ตึกอาคารพังไปตลอดทางที่มันพาดผ่าน จนกระทั่งทำลายทุกสิ่งที่ขวางหน้า
อัศวินศักดิ์สิทธิ์ผู้นั้นมีท่าทีสงบเยือกเย็นขณะขับขานเพลงสวดบูชาเทพแห่งแสง และเมื่อได้รับพรจากเทพ เกราะของเขาจึงแข็งแกร่งดุจเพชร ทุกการจู่โจมก่อให้เกิดแสงประกายสีทองระยิบระยับซึ่งแฝงไปด้วยออร่าศักดิ์สิทธิ์ ราวกับว่ามันสามารถทำลายท่าฟันกางเขนศักดิ์สิทธิ์ของเคเรลที่พุ่งเข้ามาทุกครั้งให้แหลกสลายไปในพริบตา
การต่อสู้ระหว่างยอดฝีมือทั้งสองทำให้คฤหาสน์ของลอว์เรนซ์ตกอยู่ในสภาพที่ราวกับเพิ่งผ่านเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่มา ไม่มียอดฝีมือที่อยู่รอบ ๆ คนใดกล้าเข้าไปยุ่ง เพราะเกรงว่าจะโดนออร่าต่อสู้อันน่าสะพรึงกลัวเหล่านั้นฟาดฟันจนร่างกายขาดสะบั้น
ในตอนนั้นเอง ก็มีทหารและอัศวินอีกมากมายที่มุ่งหน้ามายังที่นี่จากระยะไกล และล้อมรอบคฤหาสน์ของลอว์เรนซ์ไว้อีกหลายชั้น จนในที่สุด สถานการณ์ทางฝั่งของลอว์เรนซ์ก็เริ่มจะเลวร้ายมากขึ้นเรื่อย ๆ
การต่อสู้อันดุเดือดระหว่างยอดฝีมือทั้งสองคนที่อยู่ด้านบน ทำให้หานซั่วรู้สึกตื่นตาตื่นใจเป็นอย่างยิ่ง เขาสามารถมองเห็นทุกการเคลื่อนไหวได้อย่างชัดเจนผ่านปีศาจอาคม และในตอนนี้ หานซั่วก็ตระหนักแล้วว่าเมื่อคราวก่อนที่ประมือกัน คาเรลไม่ได้ใช้พลังอย่างเต็มที่เลยแม้แต่น้อย ซึ่งถ้าเขาทุ่มพลังสุดตัวเหมือนในตอนนี้ หานซั่วก็คงถูกจัดการไปนานแล้ว
ขณะที่ยอดฝีมือทั้งสองกำลังต่อสู้กัน หานซั่วก็ยืมพลังของเจ้าผีดิบธาตุดินเพื่อที่จะได้เดินทางใต้ดินได้อย่างรวดเร็ว และหาจังหวะเหมาะที่จะจู่โจมศัตรูให้ถึงตาย หานซั่วสัมผัสได้จาง ๆ ว่าแท้จริงแล้ว เป้าหมายของอัศวินศักดิ์สิทธิ์อาจจะเป็นตัวเขาเอง และแม้ว่าการใช้ประโยชน์จากการต่อสู้ของผู้อื่นเพื่อดักซุ่มโจมตีนั้นจะเป็นวิธีที่น่ารังเกียจ แต่หานซั่วก็ไม่ได้แยแสเรื่องนั้นมากนัก
ด้วยผลงานขอเจ้าผีดิบธาตุดิน ก็ได้สร้างอุโมงค์สลับซับซ้อนลึกลงไปในดินเสร็จเรียบร้อยแล้ว ส่วนหานซั่วก็เฝ้าสังเกตการต่อสู้ผ่านพลังของปีศาจอาคม เขาเดินทางไปรอบอุโมงค์เหล่านั้น และเตรียมพร้อมอยู่ตลอดเวลา รอว่าเมื่อใดที่อัศวินศักดิ์สิทธิ์เสียสมาธิไปแม้เพียงเสี้ยววินาที เขาก็จะปรากฏตัวขึ้นจากใต้ดิน และสั่งสอนบทเรียนอันเจ็บปวดให้แก่เขา
“คาเรล ข้าว่าเจ้ารีบถอนตัวไปอย่างมีเกียรติจะดีกว่านะ เจ้าไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ทั้งหมดได้ด้วยลำพังตัวเองคนเดียวหรอก ในฐานะที่ข้าเป็นสหายของเจ้ามาหลายปี ข้าไม่อยากเห็นเจ้าต้องมาลงเอยแบบนี้เลย จริง ๆ
ตราบใดที่เจ้าทิ้งลอว์เรนซ์ไปซะ ข้า เด็มพัส ขอให้สัญญาว่าจะปล่อยให้เจ้าได้ใช้ชีวิตบั้นปลายอย่างสงบสุข นอกจากลอว์เรนซ์แค่เพียงคนเดียวแล้ว ลูกศิษย์คนอื่น ๆ ของเจ้าก็จะปลอดภัยด้วยเช่นกัน”
นักเวทย์ชราผมสีเทาคนหนึ่งถอนใจมาแค่ไกล เสียงของเขาไม่ได้ดังมากนัก แต่กลับก้องกังวานไปทั่วทุกมุมในคฤหาสน์ของลอว์เรนซ์
หานซั่วซึ่งกำลังจ้องมองอัศวินศักดิ์สิทธิ์อยู่ ก็ได้ยินเสียงของนักเวทย์นามว่าเด็มพัสดังขึ้นอย่างกะทันหัน จึงส่งปีศาจอาคมตนหนึ่งออกไปสังเกตการนักเวทย์ชราคนนั้นทันที
เปรี้ยง…!!!
แสงสีทองสว่างไสววาบขึ้นมาจากบริเวณต้นตอของเสียง ราวกับแสงอาทิตย์ที่สุกสว่างท่ามกลางท้องฟ้าที่มืดสนิท อย่างไรก็ตาม เพียงชั่วพริบตาเดียว แสงนั้นก็จางหายไป
“เด็มพัส เจ้าคนชั่วช้า เจ้าเองก็รู้เรื่องคำทำนายของท่านเกรซดี ยังจะกล้าเพิกเฉยต่ออนาคตของจักรวรรดิแลนซล็อตอีกรึ? เจ้าจะต้องกลายเป็นคนบาปของจักรวรรดิไปตลอดกาล เจ้ารู้ตัวรึเปล่า?”
คาเรลที่ลงมายืนบนพื้นหลังจากที่ปะทะกับอัศวินศักดิ์สิทธิ์เมื่อครู่ หันมาตวาดใส่เด็มพัสอย่างเดือดดาล
“สำหรับเทพแห่งแสงสว่างแล้ว คำทำนายไร้สาระนั่นถือว่าเป็นเรื่องนอกรีต คาเรล เจ้าเป็นคู่ต่อสู้ที่น่าทึ่งมากทีเดียว น่าเสียดายที่เจ้าหลงทางและไม่คิดจะยอมเปลี่ยนใจ และผู้ใดที่ต่อต้านเทพแห่งแสงสว่าง ก็จะต้องพบจุดจบที่ไม่ดีนักหรอก!”
อัศวินศักดิ์สิทธิ์กระโจนลงบนหลังคาและพูดพลางถอนใจ
หานซั่วกำลังอยู่ด้านล่างของอัศวินศักดิ์สิทธิ์พอดิบพอดี อย่างไรก็ตาม อัศวินศักดิ์สิทธิ์ยังไม่ได้พุ่งเข้าจู่โจมคาเรล และถ้าหานซั่วลงมือในตอนนี้ เขาคงจะไม่ประสบความสำเร็จในสิ่งที่ตั้งใจ และอาจจะเป็นฝ่ายถูกอัศวินศักดิ์สิทธิ์โจมตีกลับจนบาดเจ็บหนักเสียมากกว่า ดังนั้น หานซั่วจึงยังไม่ลงมืออย่างสุ่มสี่สุ่มห้า
“คาเรล ข้ารู้ว่าลอว์เรนซ์เป็นลูกศิษย์ของเจ้า แต่ยังไงซะ เขาก็เป็นแค่ลูกนอกสมรส คนแบบนั้นจะมาเป็นกษัตริย์องค์ใหม่ของจักรวรรดิแลนซล็อตได้ยังไงกัน เจ้าทิ้งเขาซะเถอะ ข้าชักจะหมดความอดทน ถ้าถึงขนาดนี้แล้วเจ้ายังคิดไม่ได้อีก เห็นทีข้าคงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องลงมือด้วยตัวเองเสียแล้ว”
นักเวทย์ชราพูดอย่างเสียมิได้
ห่างออกไป ลอว์เรนซ์มีสีหน้าไม่สู้ดีนัก สายตาของเขาจ้องมองอย่างมุ่งร้ายไปยังนักเวทย์ชราที่กำลังกล่าวหาเขาจนอยากจะพุ่งเข้าไปโจมตีและฉีกทึ้งนักเวทย์ชราให้เป็นชิ้น ๆ
“กล้าดียังไง?”
คาเรลร้องตะโกนด้วยบันดาลโทสะ พลางยกดาบยาวขึ้นสูงและพุ่งเข้าโจมตีนักเวทย์ชราผู้นั้น
“อย่าหวังซะให้ยากเลย!”
อัศวินศักดิ์สิทธิ์ซึ่งยืนอยู่บนหลังคาอีกฝั่งยิ้มเยาะและพูดขึ้น พลางกวัดแกว่งหอกเพื่อขัดขวางคาเรล จนแสงสีทองสว่างไสวแผ่กระจายออกมาอีกครั้ง
“ในเมื่อเจ้ายืนยันที่จะปกป้องเจ้าลูกนอกสมรสนั่น ข้าก็เสียใจที่จะต้องบอกเจ้า เพื่อนยาก ข้าจะไม่รอช้าอะไรอีกแล้ว”
นักเวทย์ชราพูดอย่างไม่เต็มใจ พลางเรียกคทาเวทมนตร์ธาตุดินสีเหลืองซึ่งประดับประดาไปด้วยอัญมณีมากมายออกมาจากแหวนมิติ
พลังงานธาตุดินหนาแน่นพวยพุ่งออกมาจากผืนดิน และพุ่งไปยังนักเวทย์ชราจากทั่วทุกทิศทาง แม้เขาจะยังไม่ได้ร่ายเวทมนตร์ใด ๆ แต่กลับเกิดการดูดกลืนพลังงานของธาตุเวทมนตร์อย่างรุนแรง ทำให้ท่าทีของหานซั่วที่เปลี่ยนไปในทันที
เด็มพัส? หมายความว่า เขาคือจอมขมังเวทย์ธาตุดินศักดิ์สิทธิ์ เด็มพัส ไกเยอร์ งั้นเหรอ? หานซั่วนึกขึ้นได้ทันทีหลังจากที่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเขาก็สั่งให้เจ้าผีดิบธาตุดิน มุ่งหน้าไปทางจอมขมังเวทย์ธาตุดินศักดิ์สิทธิ์เด็มพัสด้วยความรวดเร็ว
ทั้ง ๆ ที่อัศวินศักดิ์สิทธิ์เพียงคนเดียวก็น่ากลัวมากพออยู่แล้ว แต่ถ้ามีจอมขมังเวทย์ธาตุดินศักดิ์สิทธิ์อย่างเด็มพัสร่ายเวทมนตร์ธาตุดินมาเสริมอีกคนล่ะก็ บางทีเวทย์สังหารขนานใหญ่อาจจะเพียงพอที่จะทำให้กลุ่มของลอว์เรนซ์ถูกฆ่าตายจนราบคาบก็เป็นได้
เวทมนตร์ธาตุดินที่อยู่ในการควบคุมของจอมขมังเวทย์ธาตุดินศักดิ์สิทธิ์นั้นอาจทำให้เกิดผลอันลึกลับมากมายต่อผืนดิน หานซั่วจึงกังวลว่าการปรากฏตัวของคน ๆ นี้อาจจะส่งผลกระทบต่อพลังของเจ้าผีดิบธาตุดินที่อยู่ใต้ดินด้วยเช่นกัน ดังนั้น เขาจึงผละจากการเฝ้าสังเกตอัศวินศักดิ์สิทธิ์และมุ่งหน้าไปทาง เด็มพัส ไกเยอร์ อย่างรีบเร่ง
“พลังอันไร้ที่สิ้นสุดของผืนปฐพี…..”
เด็มพัส ไกเยอร์ ร่ายเวทย์ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ขณะที่ถือคทาเวทมนตร์ไว้ในมือ
ขณะที่พลังงานธาตุดินหนาแน่นกำลังแทรกซึมไปทั่วบริเวณใต้พื้นดิน ก็ก่อให้เกิดการสั่นสะเทือนเล็กน้อย หานซั่วที่อยู่ใต้ดินสามารถสัมผัสได้ถึงพลังธาตุดินที่เพิ่มมากขึ้นอย่างชัดเจน จึงปกปิดออร่าของตนเองอย่างระมัดระวัง ก่อนจะมุ่งหน้าไปหาเด็มพัสโดยไม่แตะต้องมวลดินเหล่านั้นแต่อย่างใด
ขณะที่พลังงานธาตุดินอบอวลไปทั่วใต้ผิวดิน หานซั่วก็เกรงว่าการที่เขาสัมผัสกับดินจะทำให้เด็มพัสซึ่งกำลังจดจ่ออยู่กับการร่ายเวทมนตร์ธาตุดินจะรู้ตัวขึ้นมา ในฐานะบุตรผู้เป็นที่รักแห่งผืนปฐพี เจ้าผีดิบธาตุดินก็มีพลังของผืนดินด้วยเช่นกัน มันสามารถพรางตัวเข้ากับผืนดินได้ หานซั่วจึงไม่วิตกกังวลมากนักว่าเจ้าผีดิบธาตุดินจะถูกพบเข้า
“ท่านพ่อ มีความเปลี่ยนแปลงบางอย่างเกิดขึ้นกับผืนดิน พลังของข้าไม่สามารถป้องกันไม่ให้มันเกิดขึ้น แต่ข้าสามารถเปลี่ยนทิศทางมันได้ ให้ข้าเปลี่ยนทิศทางของมันดีมั้ย?”
ขณะที่หานซั่วกำลังมุ่งหน้าไปยังเด็มพัส เจ้าผีดิบธาตุดินก็ส่งกระแสจิตสื่อสารออกมา
หานซั่วนิ่งอึ้งไปชั่วขณะก่อนจะรีบถามกลับไป
“เจ้าหมายความว่ายังไง?”
“พลังที่อยู่ในผืนดินนี้จะก่อให้เกิดแผ่นดินไหว จะมีรอยแยกมากมายเกิดขึ้นกับผิวดิน ข้าไม่สามารถป้องกันไม่ให้มันเกิดขึ้นได้ แต่ข้าสามารถเปลี่ยนทิศทางที่แผ่นดินไหวจะเกิดขึ้น และเลือกได้ว่าจะให้มันเกิดขึ้นตรงไหนน่ะ”
เจ้าผีดิบธาตุดินตอบซื่อ ๆ
หานซั่วนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง แต่แล้วก็รีบตอบอย่างกระตือรือร้น
“ดีมาก เปลี่ยนพื้นที่เกิดแผ่นดินไหวไปเป็นบริเวณที่ตาแก่นั่นอยู่ก็แล้วกัน ที่ ๆ มีคนรวมตัวกันอยู่เยอะ ๆ น่ะ!”
หานซั่วรู้สึกดีใจที่จู่ ๆ ก็มีข่าวดีอย่างไม่คาดคิด ขณะที่เขาสั่งเจ้าผีดิบธาตุดินให้ทำตาม เขาก็ถือคมมีดพิชิตมารไว้แน่นในมือ และไปถึงยังบริเวณที่จอมขมังเวทย์ธาตุดินศักดิ์สิทธิ์เด็มพัสอยู่เรียบร้อยแล้ว ตอนนั้นเอง ที่เขารวบรวมแก่นมนตราและทุ่มพลังพุ่งขึ้นไปด้านบนอย่างสุดตัว
**************************