Great Demon King – กำเนิดราชันย์ปีศาจ - ตอนที่ 397
หานซั่วรู้ดีว่าผู้ที่ฝึกฝนออร่าต่อสู้มาจนถึงระดับของคาเรล จะต้องมีพลังความแข็งแกร่งที่น่าพรั่นพรึงอย่างที่สุด ซึ่งหานซั่วก็ตั้งใจมาโดยตลอดว่าอยากทดสอบพลังของตนเองกับคาเรลให้ได้สักครั้ง เขาจึงไม่คิดจะยั้งมืออยู่แล้ว
พลังงานของแก่นมนตราพลุ่งพล่านไปยังคมมีดพิชิตมารเพื่อกระตุ้นเหล่าวิญญาณชั่วร้ายที่อัดแน่นอยู่ภายใน ทำให้จู่ ๆ มันก็ระเบิดไอสังหารออกมาและแพร่กระจายไปยังบริเวณโดยรอบ โดยมีคมมีดพิชิตมารเป็นศูนย์กลาง
คลื่นพลังของไอสังหารนั้นเริ่มก่อร่างขึ้นมาเป็นตัวตน มันสร้างความแปรปรวนในบรรยากาศจนเกิดเสียง ซ่า! ดังขึ้นให้ได้ยินขณะที่เริ่มแผ่กระเพื่อมออกไปกว้างขึ้นเรื่อย ๆ
จอมดาบศักดิ์สิทธิ์คาเรลเองก็เริ่มเคลื่อนไหวให้เห็นด้วยเช่นกัน คิ้วดกหนาสีขาวบริสุทธิ์ขมวดแน่นอยู่เหนือดวงตาที่เปล่งประกาย ในเมื่อเขาสามารถบรรลุมาจนถึงระดับจอมดาบศักดิ์สิทธิ์ ก็แปลว่าความสามารถของเขาต้องยอดเยี่ยมมากอย่างแน่นอน หลายต่อหลายปีที่เขาเฝ้าฝึกฝนออร่าต่อสู้จนแข็งแกร่ง อีกทั้งยังเคยประมือกับเหล่ายอดฝีมือมาแล้วมากมายนับไม่ถ้วนขณะดูแลจักรวรรดิแลนซล็อตด้วยประสบการณ์สู้รบอันโชกโชน
คาเรลสามารถสัมผัสได้ถึงไอสังหารจากคมมีดพิชิตมารในมือหานซั่วได้อย่างชัดเจน ไอสังหารที่แผ่ออกไปโดยรอบนั้นแฝงเร้นไว้ด้วยความโหดเหี้ยมอำมหิตและแรงกดดันมหาศาล ทำให้คาเรลรู้สึกผวาขึ้นมาทันที
ภายในอาณาจักรแห่งความลึกล้ำ บรรดายอดฝีมือส่วนใหญ่ตระหนักรู้ถึงความสำคัญในการกำหนดจิตของตนเองก่อนการต่อสู้ แต่อย่างไรก็ตาม ยังไม่เคยมีใครที่สามารถแปรเปลี่ยนพลังงานนั้นให้กลายเป็นความแข็งแกร่งระหว่างการต่อสู้มาก่อน วิธีนี้คล้ายคลึงกันกับการใช้จิตสังหารข่มขวัญศัตรูของโบลแลนด์ แต่จิตสังหารของหานซั่วนั้นเป็นรูปธรรมกว่ามาก ทำให้คาเรลรู้ได้ทันทีว่าออร่าประเภทนี้มีตัวตนที่สัมผัสจริง ๆ ไม่เหมือนกับจิตสังหารของโบลแลนด์ที่เพียงแค่ส่งผลต่อจิตใจของฝ่ายตรงข้ามเท่านั้น
ขณะที่จอมดาบศักดิ์สิทธิ์คาเรลกำลังจ้องมองมา หานซั่วก็กวัดแกว่งคมมีดพิชิตมารที่คุกรุ่นไปด้วยพลังของแก่นมนตรา และปลดปล่อย “แสงโลหิตตัดหมื่นเสี้ยว” ให้พุ่งเข้าใส่คาเรลทันที คมมีดพิชิตมารหมุนคว้างอย่างรวดเร็ว ทำให้รัศมีแสงสีเลือดแผ่กระจายออกมาราวกับกลีบของดอกไม้ที่กำลังเบ่งบาน
** Please note : โปรดอ่านนิยายเรื่องนี้ จากบล็อกของผู้แปล gdk-th.blogspot.com เท่านั้น หากท่านกำลังอ่านจากเว็บไซต์อื่น แสดงว่าท่านกำลังจ่ายเงินให้กับผู้ที่ขโมยผลงานของนักแปลมาแสวงหาผลกำไรให้ตนเอง **
ทุกรอบการหมุนก่อให้เกิดแสงสีเลือดเปล่งประกายเรืองรองออกมา เมื่อ “แสงโลหิตตัดหมื่นเสี้ยว” ก่อตัวไปได้ครึ่งทาง มันก็กลายเป็นคลื่นพลังแหลมคมที่มีรูปทรงคล้ายเม่น อบอวลไปด้วยไอสังหารและส่งเสียงหวีดแหลมขณะพุ่งตัวแทรกผ่านอากาศตรงไปยังจอมดาบศักดิ์สิทธิ์คาเรลด้วยความเร็วสูง
“ช่างเป็นพลังต่อสู้ที่น่าพิศวงจริง ๆ!”
คาเรลเอ่ยชมด้วยเสียงอันดังพร้อมยกดาบยาวในมือขึ้นมา รวบรวมออร่าต่อสู้สีทองและฟาดดาบไปทางคลื่นพลังสีเลือดที่กำลังพุ่งตรงมา
ออร่าต่อสู้สีทองเป็นสิ่งที่มีเพียงจอมดาบศักดิ์สิทธิ์และอัศวินศักดิ์สิทธิ์เท่านั้นที่สามารถใช้ได้ และนี่เองคือออร่าต่อสู้ที่แข็งแกร่งในระดับสูงสุด หานซั่วสามารถสัมผัสได้ถึงพลังทำลายล้างของมันได้อย่างชัดเจน แม้ว่าออร่าต่อสู้สีทองจะมีธรรมชาติที่แตกต่างกันกับพลังของแก่นมนตรา แต่ก็ถือว่ามีการระเบิดของพลังที่น่าเกรงขามเช่นเดียวกัน
เมื่อคาเรลชูดาบยาวขึ้นสูง มันก็เปล่งแสงสีทองเรืองรอง และทันทีที่เขาใช้แขนเหวี่ยงดาบเป็นแนวโค้งของวงกลม ที่ปลายของดาบยาวก็ปลดปล่อยแสงเป็นรูปทรงกากบาทออกมา แสงดาบนั้นเรียงตัวกันตั้งแต่ขนาดเล็กไปจนถึงขนาดใหญ่ และโจมตีคลื่นพลังสีเลือดของหานซั่วอย่างต่อเนื่อง
ภายใต้สมญานาม “จอมดาบกางเขนศักดิ์สิทธิ์” คาเรลก็ถือว่าแข็งแกร่งสมคำร่ำลือ แสงดาบมากมายล้วนเป็นรูปกากบาทด้วยนัยยะของไม้กางเขนที่พุ่งเข้าใส่คลื่นพลังของหานซั่ว และบดขยี้แก่นมนตราที่อยู่ภายในคมมีดพิชิตมารอย่างรวดเร็ว
ในที่สุด “แสงโลหิตตัดหมื่นเสี้ยว” ที่โหดเหี้ยมก็ถูกสยบโดยแสงดาบรูปกางเขนก่อนที่จะถึงตัวของคาเรลเสียอีก โดยที่ตั้งแต่ต้นจนจบ คาเรลยังคงมีท่าทีผ่อนคลายเหมือนเช่นเคย เห็นได้ชัดว่าเขายังไม่ได้ใช้พลังออกมาอย่างเต็มที่เลยด้วยซ้ำ
เมื่อรัศมีของ “แสงโลหิตตัดหมื่นเสี้ยว” ถูกทำลายจนเผยให้เห็นเพียงรูปลักษณ์ของคมมีดพิชิตมาร หานซั่วก็มีปฏิกิริยาทันที ทำให้คมมีดพิชิตมารที่พุ่งเข้าใส่คาเรลเป็นเส้นตรงในทีแรก หยุดชะงักและแน่นิ่งไปกลางอากาศ ก่อนจะโคจรเป็นวิถีโค้งที่ลึกลับซับซ้อนและฟาดฟันเข้าใส่คาเรลอีกครั้ง
“โอ้? น่าสนใจดีนี่!”
คาเรลอุทานออกมาอย่างแผ่วเบา พลางเงยหน้าขึ้นมองคมมีดพิชิตมารที่ฟาดลงมาจากทางด้านบน ขณะที่เขาเองก็เหวี่ยงดาบยาวขึ้นมาปัดป้องการโจมตี
จากตอนแรกที่หานซั่วเคยจ้องมองคาเรลด้วยดวงตาทั้งคู่ จู่ ๆ เขาก็หลับตาลงสนิทเพื่อเพ่งสมาธิควบคุมคมมีดพิชิตมารให้ดีขึ้น โดยผสาน “กฎปลุกอาคม” เพื่อให้คมมีดพุ่งเข้าฟาดฟันคาเรลจากทุกทิศทาง
ในช่วงเริ่มต้น คมมีดพิชิตมารยังไม่รวดเร็วมากนัก แต่อย่างไรก็ตาม หานซั่วก็ค่อย ๆ เพิ่มความเร็วของมันให้มากขึ้นเรื่อย ๆ ราวกับปีศาจสายฟ้า รวมทั้งกระตุ้นวิญญาณชั่วร้ายที่อยู่ภายในคมมีดพิชิตมาร ให้แผ่กระจายออร่าแห่งความเคียดแค้นชิงชังไร้ที่สิ้นสุดออกมาอย่างต่อเนื่อง
ช่วงแรกนั้น จอมดาบศักดิ์สิทธิ์คาเรลยังสามารถรับการโจมตีของหานซั่วได้โดยไม่ต้องใช้ความพยายามมากนัก แต่อย่างไรก็ตาม ท่าทีของเขาก็เริ่มเอาจริงเอาจังมากขึ้น เมื่อแสงสีทองสุกสว่างห่อหุ้มร่างกายของเขา และแสงดาบรูปกางเขนก็ยังคงถูกปลดปล่อยออกมาอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่เขาใช้ดาบยาวต้านทานการฟาดฟันด้วยความเร็วสูงของคมมีดพิชิตมาร เขาก็ต้องรวบรวมพลังจิตเพื่อทานทนต่อออร่าชั่วร้ายที่แผ่ออกมาจากคมมีดนั้นด้วยเช่นกัน
เรียกได้ว่าจอมดาบศักดิ์สิทธิ์คาเรลนั้นมีพลังที่ยอดเยี่ยม เมื่อผู้ที่สามารถยืนหยัดอยู่บนจุดสูงสุดของจักรวรรดิแลนซล็อตอย่างเขากำลังเผชิญหน้ากับหานซั่วที่ทุ่มเทต่อสู้อย่างสุดฝีมือ อีกทั้งยังไม่เคยเผยสัญญาณของการยอมแพ้ให้เห็น หากแต่ยังคงมีท่าทีสงบเหมือนเช่นเคย
เมื่อหานซั่วใช้พลังงานจากแก่นมนตราไปกว่าครึ่ง แต่คาเรลกลับไม่แสดงความอ่อนล้าให้เห็นเลยแม้แต่น้อย หานซั่วจึงถ่ายเทพลังเวทย์อัคคีเหมันต์ไปยังคมมีดพิชิตมาร ก่อให้เกิดเปลวเพลิงมนตราสีแดงและสีม่วงพุ่งออกมาในทุกการฟาดฟันของคมมีด และเมื่อถูกพลังงานที่ทั้งเย็นยะเยือกและร้อนระอุพุ่งเข้าใส่ ก็สร้างความยุ่งยากให้กับคาเรลมากมายเลยทีเดียว
ทันใดนั้นเอง ปีศาจอาคมทั้ง 12 ตนปรากฏตัวตนขึ้นมา กลายเป็นภูตผีชั่วร้ายที่หมายจะสิงสู่เข้าไปในร่างของคาเรล ซึ่งคาเรลถึงกับผงะไปทันทีก่อนจะร้องอุทานออกมา
“ช่างแปลกประหลาดจริง ๆ ศาสตร์ต่อสู้นี้แตกต่างจากรูปแบบการต่อสู้อื่น ๆ ที่มีในอาณาจักรแห่งความลึกล้ำจริง ๆ ด้วย”
แม้ต้องเผชิญหน้าการโจมตีมากมายนับไม่ถ้วน แต่คาเรลก็ยังมีจังหวะที่สามารถตะโกนออกมาได้ หลังจากนั้นไม่นานนัก ดาบยาวในมือของเขาก็พลันระเบิดแสงสีทองอร่าม พร้อมกับแสงดาบรูปไม้กางเขนขนาดยักษ์ที่ก่อร่างขึ้นมาอย่างรวดเร็ว พลังทำลายล้างของมันแผ่ออกไปทุกทิศทาง ก่อให้เกิดแรงระเบิดที่ไม่คาดฝัน
ก้อนหินขนาดใหญ่ที่เขาเคยนั่งอยู่ในตอนแรกไม่สามารถทานทนต่อแรงระเบิดนั้นและแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ เมื่อแรงสั่นสะเทือนแผ่ออกไป แม้กระทั่งพื้นที่ปูโดยรอบก็เริ่มกระเทาะจนไม่เหลือชิ้นดี สุดท้ายแล้ว พลังมหาศาลนั้นก็ทำลายซึ่งทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่บริเวณโดยรอบ
หานซั่วรู้สึกตกตะลึงเป็นที่สุด เขารีบเรียกปีศาจอาคมทั้ง 12 ตนกลับมาและพุ่งขึ้นไปในอากาศ ก่อนจะร่อนลงข้าง ๆ คาเรลในชั่วพริบตาเดียว แล้วคมมีดพิชิตมารที่เคยจู่โจมอย่างต่อเนื่องก็บินกลับมาที่มือของหานซั่วอีกครั้ง ในครานี้ แก่นมนตราที่เหลืออยู่ก็ถูกถ่ายเทไปยังคมมีด ผสานรวมกับพลังความเคียดแค้นของวิญญาณชั่วร้ายที่อัดแน่นอยู่ภายใน ก่อร่างเป็นใบมีดสีเลือดที่เรียงยาวต่อกันถึง 7 เมตร และหวดฟาดเข้าใส่แสงดาบรูปไม้กางเขนขนาดยักษ์ของคาเรลอย่างรุนแรง
พลังอันรุนแรงระเบิดขึ้นทันที ณ จุดที่เกิดการปะทะ ทำให้ม่านพลังที่เคยปกคลุมพื้นที่นั้นไว้เริ่มแตกร้าวและพังทลาย พื้นที่ห้องที่เคยกว้างขวางกลับคืนสู่สภาพเดิมที่เคยเป็น เผยให้เห็นห้องกว้างขนาดธรรมดา ๆ ที่ทำด้วยหิน เมื่อม่านพลังพังทลายไปแล้ว คลื่นพลังมหาศาลนั้นก็แผ่กว้างออกไป ทำให้พื้นดินเบื้องบนสั่นสะเทือนเลื่อนลั่น
แรงระเบิดอันน่าตกตะลึงปะทะเข้ากับคมมีดพิชิตมารรากฐานของพลังนั้นพลุ่งพล่านมาจากด้ามดาบจนกระเทือนไปถึงร่างกายของหานซั่ว ซึ่งต้านทานพลังนั้นไม่ไหวจนร่างของเขากระเด็นลอยออกไปด้วยความเร็วสูง ก่อนจะกระแทกเข้ากับผนังหินจนเป็นหลุมลึกลงไปถึง 3 เมตร
“อะไรกันเนี่ย? เกิดอะไรขึ้น?”
“แผ่นดินไหวเหรอ?”
“อ๋า… เตียงสั่นไม่หยุดเลย!”
ภายในสวนกุหลาบที่อยู่เหนือพวกเขาทั้งคู่ขึ้นไป เหล่าขุนนางชั้นสูงที่กำลังอยู่ระหว่างการปรนเปรอความสุขโดยเหล่าสาวงามต่างก็รู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนของพื้นดินด้านล่าง พวกเขารู้สึกตระหนกตกใจไปตาม ๆ กัน และเริ่มพูดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ในขณะที่ทหารจำนวนหนึ่งซึ่งมีหน้าที่คุ้มกันสวนกุหลาบก็รู้สึกประหลาดใจเช่นกัน เพราะไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น และพยายามตามหาสาเหตุของแผ่นดินไหวกันจ้าละหวั่น
ทันใดนั้นเอง โบลแลนด์ผู้มีสีหน้าโหดเหี้ยมอำมหิตก็ปรากฏตัวขึ้นท่ามกลางบรรดาทหารคุ้มกันของสวนกุหลาบ พร้อมกับดุด่าอย่างเย็นชา
** Please note : โปรดอ่านนิยายเรื่องนี้ จากบล็อกของผู้แปล gdk-th.blogspot.com เท่านั้น หากท่านกำลังอ่านจากเว็บไซต์อื่น แสดงว่าท่านกำลังจ่ายเงินให้กับผู้ที่ขโมยผลงานของนักแปลมาแสวงหาผลกำไรให้ตนเอง **
“จะกลัวอะไรกันนักกันหนา ก็แค่แผ่นดินไหวเล็กน้อยเท่านั้น พวกเราอยู่ตรงใจกลางนครออซเซ็น นอกจากจะเป็นแค่เหตุการณ์ตามธรรมชาติแล้วยังจะเกิดบ้าอะไรได้อีก?”
โบลแลนด์ถือเป็นยักษ์มารที่แท้จริงในสายตาของทหารคุ้มกันเหล่านี้ เมื่อได้ยินที่โบลแลนด์พูด ทหารทุกคนก็เงียบเสียงลง และทำตามคำสั่งของโบลแลนด์เพื่อไปปลอบประโลมเหล่าชนชั้นสูงที่ตกใจกลัวจนกระทั่งพวกเขาส่วนใหญ่เริ่มสงบลงในที่สุดเมื่อได้ยินคำอธิบายของเหล่าทหารคุ้มกัน
แต่อย่างไรก็ตาม ก็ยังมีพวกขี้ขลาดบางคนที่ทิ้งสาวงามไว้บนเตียงอย่างไม่ลังเล และรีบหนีออกจากสวนกุหลาบอย่างรวดเร็ว ด้วยเกรงว่าจะเกิดการสั่นไหวที่น่าสะพรึงกลัวเบื้องล่างสวนกุหลาบอีกครั้ง จึงรีบพาชีวิตอันมีค่าของตนออกจากสถานที่แห่งนั้นทันที
แม้ว่าโบลแลนด์จะปลอบขวัญเหล่าทหารได้แล้ว แต่ตัวเขาเองกลับยังไม่นิ่งนอนใจ เพราะยังไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาเพียงพาหานซั่วลงไปที่ชั้นใต้ดิน ซึ่งก็ไม่อยากให้เกิดอะไรขึ้นกับทั้งคาเรลนายเก่าของตนเอง และผู้ที่เพิ่งถือเป็นศิษย์พี่คนใหม่ของเขา
แม้กระนั้น ก็เห็นได้ชัดว่าการสั่นไหวอันรุนแรงนั้นต้องเกิดจากการปะทะกันระหว่างคนทั้งคู่อย่างแน่นอน โบลแลนด์รู้ถึงความแข็งแกร่งอันน่าสะพรึงกลัวของคาเรลเป็นอย่างดี และยังรู้ด้วยว่าหานซั่วก็เป็นคนบ้าระห่ำที่ไม่เคยเกรงกลัวสิ่งใด เขาจึงกลัวว่าทั้งคู่จะหาข้อยุติในการต่อสู้ไม่ได้ หลังจากที่รอคอยจนกว่าผู้คนที่อยู่ด้านบนจะสงบใจกันได้ทั้งหมด โบลแลนด์ก็รีบตรงไปยังห้องลับทันที
ขณะที่โบลแลนด์ซึ่งดูกระวนกระวายกำลังเร่งรุดลงไปยังชั้นใต้ดิน เขาก็ได้ยินเสียงหัวเราะร่าของคาเรลก่อนจะลงไปถึงห้องของคาเรลเสียอีก ซึ่งเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะ เขาก็รู้สึกโล่งอก แต่ก็ยังรู้สึกหวั่นเกรงอยู่ในที
จอมเวทย์ห้วงมิติเป็นผู้สร้างม่านพลังป้องกันที่ซับซ้อนขึ้นโดยรอบห้องฝึกฝนอันกว้างขวางของคาเรล ไม่เพียงแต่จะป้องกันทั้งเสียงและการพบเห็น แต่เมื่อใครก็ตามที่ผ่านม่านพลังเข้าไป จะทำให้รู้สึกเหมือนเข้าไปอยู่ในอีกโลกหนึ่ง แต่ในเมื่อตอนนี้โบลแลนด์กลับได้ยินเสียงหัวเราะของคาเรลได้อย่างชัดเจน จึงทำให้เขารู้สึกประหลาดใจไม่น้อย
ม่านพลังป้องกันถูกทำลายไปแล้ว!
เมื่อโบลแลนด์รู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เขาก็รีบวิ่งเข้าไปในห้องที่ทำด้วยหินนั้นทันที แล้วภาพที่ปรากฏแก่สายตาของเขาก็ช่างเหนือความคาดหมายอย่างสิ้นเชิง เมื่อก้อนหินขนาดใหญ่ที่จอมดาบศักดิ์สิทธิ์คาเรลเคยนั่งอยู่ประจำกลับแตกละเอียดกลายเป็นเพียงเศษหิน ส่วนคาเรลก็กำลังยืนอยู่ในพื้นที่ ๆ ดูเหมือนจะเป็นจุดศูนย์กลางของแผ่นดินไหว พลางยิ้มและมองไปยังหลุมลึกที่เกิดขึ้นบนผนัง
หานซั่วสะบัดไหล่และบิดร่างกายไปมาอยู่ภายในหลุม เศษหินที่แตกกระจายร่วงกราวลงมาพร้อมกับเขาที่เดินออกมายืนบนพื้น
“โบลแลนด์ ดูเหมือนการตัดสินใจของเจ้านี่ช่างเหมาะเหม็งเสียจริง ๆ ศาสตร์ต่อสู้ของพ่อหนุ่มคนนี้ร้ายกาจไม่ใช่เล่นเลย จากที่ข้าเคยตระเวนไปทั่วอาณาจักรแห่งความลึกล้ำมาตลอดหลายปี ข้ายังไม่เคยได้เห็นหรือได้ยินเรื่องของศาสตร์นี้มาก่อน ในอนาคตก็ไม่รู้เลยจริง ๆ ว่าเขาจะแข็งแกร่งมากขึ้นอีกสักแค่ไหน ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมแม่เฒ่าเกรซผู้พยากรณ์ถึงได้ทำนายออกมาแบบนั้น”
จอมดาบศักดิ์สิทธิ์คาเรลยิ้มพลางมองไปทางโบลแลนด์ที่เพิ่งเข้ามา และแสดงการยอมรับ
โบลแลนด์มีท่าทีเคารพนบนอบอย่างที่สุดเมื่ออยู่ต่อหน้าคาเรล และพูด
“ข้าเคยเห็นการต่อสู้ของศิษย์พี่มาก่อน มันช่างมหัศจรรย์และลึกลับมากจริง ๆ และเขาก็ครอบครองพลังในรูปแบบที่ข้าพยายามสู้ฝึกฝนอย่างขมขื่นมานาน แต่ข้าก็ไม่เคยเข้าใจถึงระดับที่ลึกล้ำเกินจินตนาการของข้าได้เลย”
เสียงกรอบแกรบดังออกมาจากหานซั่วที่เพิ่งลงมายืนบนพื้น เมื่อเขาเคลื่อนไหวกล้ามเนื้อและกระดูกจนมันดังลั่นให้ได้ยิน รอยเลือดที่ปรากฏบนร่างกายมีรัศมีแสงสีดำที่โคจรไปทั่วผิวหนังของเขาราวกับกระแสไฟฟ้า หานซั่วยิ้มพลางบิดคอ และพูดขึ้น
“ท่านคาเรลช่างแข็งแกร่งสมคำร่ำลือจริง ๆ ดูเหมือนท่านจะยังไม่ได้ใช้พลังออกมาอย่างเต็มที่เลยนะครับ ฮะ ๆ ๆ ข้าได้ประโยชน์จากการต่อสู้ครั้งนี้มาก ๆ เลยล่ะ”
เพียงแค่ดาบเล่มเดียวกับออร่าต่อสู้สีทอง คาเรลก็สามารถยืนหยัดรับการโจมตีอันบ้าคลั่งของหานซั่วได้อย่างมั่นคง และพลังระเบิดในตอนท้ายก็เปี่ยมไปด้วยพลังทำลายที่มหาศาลหาใดเปรียบ ซึ่งนับว่าตรงกันข้ามกับรูปลักษณ์ของชายชราที่น่าจะผ่านช่วงเวลาแห่งความรุ่งโรจน์ของตนมาแล้วอย่างสิ้นเชิง จึงทำให้หานซั่วรู้สึกทึ่งจนบรรยายไม่ถูก
อาจจะเปรียบเสมือนไวน์ที่ยิ่งหมักบ่มไว้นานเท่าใด ก็จะยิ่งมีรสเลิศมากขึ้นเท่านั้น หานซั่วเข้าใจในทันทีว่าลำพังเวทย์ปีศาจในอาณาจักรพลังแยกร่างปีศาจของเขาเพียงอย่างเดียวยังไม่สามารถเอาชนะคาเรลได้ แต่อย่างไรก็ตาม หากเขาใช้ควบคู่กับกับเวทมนตร์ศาสตร์แห่งความตาย โดยอัญเชิญทั้งเจ้าโครงกระดูกตัวเล็กและบรรดาผีดิบชั้นยอดออกมา เขาก็มั่นใจว่าจะสามารถเอาชนะคาเรลได้ เพราะจากการที่เขาได้เดินทางไปยังมิติมืดในครั้งที่แล้ว หานซั่วก็รู้ความแข็งแกร่งของเจ้าโครงกระดูกตัวเล็กได้พัฒนาขึ้นมากกว่าแต่ก่อนด้วยเช่นกัน
“ข้าไม่ได้ใช้พลังทั้งหมดที่มี แต่เจ้าเองก็ไม่ได้ใช้เวทมนตร์ศาสตร์แห่งความตายด้วยเหมือนกันไม่ใช่รึ? ฮ่า ๆ ๆ ถ้ามีกองทัพอสูรที่อัญเชิญโดยจอมขมังเวทย์ผู้ใช้ความตายอย่างเจ้าโผล่มาด้วยล่ะก็ คงรับมือยากกว่านี้อีกหลายขุม พ่อหนุ่ม เจ้าเก่งมากจริง ๆ รสนิยมของฟีบี้นี่ไม่เลวเลยนะ”
คาเรลพูดพร้อมกับยิ้ม ก่อนจะนิ่งไปครู่หนึ่งและพูดต่อ
“การดวลของพวกเราทำให้ข้ารู้ว่าศาสตร์ต่อสู้ของเจ้านั้นช่างแปลกประหลาดยิ่งนัก มันเหมือนกันการผสานพลังของออร่าต่อสู้กับเวทมนตร์เข้าด้วยกัน และท่าทางจะเหมาะสำหรับการฝึกฝนของโบลแลนด์อย่างที่ว่าจริง ๆ”
เพราะตามปกติแล้ว ออร่าต่อสู้จะสามารถใช้พลังในการทำลายเพียงเท่านั้น แต่อย่างไรก็ตาม แก่นมนตราของหานซั่วนั้นทั้งสามารถหล่อหลอมร่างกาย ฟื้นฟูและเยียวยาความเจ็บป่วย หรือแม้แต่มีผลต่อจิตวิญญาณของคู่ต่อสู้ เรียกได้ว่าครอบครองความสามารถอันยอดเยี่ยมไว้แทบทุกประเภท
และออร่าต่อสู้จะค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นมาผ่านการฝึกฝนร่างกายเพียงอย่างเดียว ในขณะที่แก่นมนตราสามารถสร้างขึ้นจากการฝึกฝนจิตและจากแหล่งพลังงานโดยตัวอ่อนปีศาจ และแม้แต่สมุนไพรหรือวัตถุดิบแปลกประหลาดบางอย่างก็สามารถนำมาเพิ่มพูนพลังของแก่นมนตราได้ ซึ่งไม่ว่ามองจากมุมไหน พลังของแก่นมนตราก็เป็นอะไรที่ลึกลับกว่ามาก
“โบลแลนด์ ไปรอข้างนอกกับไบรอันนะ ข้าจำเป็นต้องนั่งสมาธิสักหน่อย ข้าก็ได้ประโยชน์จากการต่อสู้ครั้งนี้มากมายเลยทีเดียว!”
คาเรลยิ้ม และบอกกับโบลแลนด์ ขณะที่หานซั่วเองก็กำลังคิดใคร่ครวญถึงอะไรบางอย่าง
*******************************