Gate of God - ตอนที 407
ก่อนหน้านี้ หยุน ชิงวู ดูเป็นคนที่ชอบความเป็นส่วนตัว ไม่มีใครสามารถแตะต้องนางได้ นางดูเหมือนไม่ได้อยู่ระดับเดียวกันกับคนทั่วไป
นางแข็งแกร่ง
อย่างไรก็ตาม หยุน ชิงวู ไม่สนใจคนอื่นๆที่ล้มลงไปแม้แต่น้อย นางไม่แม้แต่จะหันไปมองพวกเขาเป็นครั้งที่สอง
นางหันไปมอง ฟาง เจิ้งจือ ที่ล้มลง จากนั้นก็ชี้ไปที่ดาบของ ฟาง เจิ้งจือ ที่ตกอยู่ที่พื้น นางไม่พูดอะไรออกมาแม้แต่นิดเดียว
แต่ ไป่ ซิง ก็สามารถรู้ได้ทันที
“เอาตัว ฟาง เจิ้งจือ และดาบของเขาไปไว้ทางนั้น!” ไป่ ซิง เหลือบมอง ฟาง เจิ้งจือ
“ได้” ชายวัยกลางคนพยักหน้า
ดาบของเขายังคงอยู่ในฝัก ขณะที่เดินตรงไปหา ฟาง เจิ้งจือ เขาไม่แม้แต่จะมองไปที่ หนานกง เฮา หรือ เหยียน ซิว
ทันใดนั้น แสงสีแดงก็ปรากฎอยู่ด้านหน้าของชายวัยกลางคน มาพร้อมกับความเยือกเย็นที่ราวกับมาจากขุมนรก
เป็น เหยียน ซิว
อย่างไรก็ตาม เหยียน ซิว ไม่ใช่ เหยียน ซิว อีกต่อไป
ดวงตาของเขากลายเป็นสีแดง พัดในมือของเขาก็ถูกปลกคลุมไปด้วยผลึกสีแดงเช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้น มีวงแหวนสีแดงหมุนวนอยู่รอบเอวเขา
มันหมุนวนไปเรื่อยๆ
เขากำลังบ้าคลั่ง ชายวัยกลางคนไม่แม้แต่จะมองไปที่ เหยียน ซิว เขาเดินเข้าไปหา ฟาง เจิ้งจือ เงียบๆ จากนั้น…
เขาก็ยกดาบขึ้น
“ตูม!“
แสงสีแดงยังคงหมุนวนอยู่รอบกายของ เหยียน ซิว มันดูเหมือนกำลังขบเคี้ยวอะไรบางอย่างอยู่
จู่ๆเสียงกรีดร้องก็ดังลั่นขึ้นมาในทันที
จากนั้น ร่างนั้นก็ค่อยๆล่าถอยไปสองสามก้าว ทุกคนต่างตกตะลึงในสิ่งที่ได้เห็น
ผู้เข้าสอบทั้งหมดตกใจมากที่ได้เห็นสิ่งนี้ เพราะพวกเขาไม่คิดเลยว่าชายวัยกลางคนจะเป็นที่ถอยออกไป
“เป็นไปได้ยังไง?“
“ผู้ที่อยู่ในระดับสะท้อนสวรรค์ขั้นสูงสุดจะต่อกรกับผู้ที่อยู่ในระดับจุติได้ยังไง?“
“ไม่ว่ายังไง เหยียน ซิว จะลุกต่อสู้กับศัตรูที่อยู่ในระดับจุติ เป็นไปได้ยังไงกัน!?“
ผู้เข้าสอบคนอื่นๆต่างมองด้วยความไม่เชื่อ พวกเขาไม่สามารถเชื่อได้ว่า เหยียน ซิว สามารถต่อสู้กับปีศาจที่อยู่ในระดับจุติได้
ดวงตาของ เหยียน ซิว ยังคงส่องแสงสีแดงขณะที่เขายืนอยู่ด้านหน้า ฟาง เจิ้งจือ พัดภูเขาและแม่น้ำ สวรรค์และโลกถูกปกคลุมไปด้วยผลึกสีแดงพร้อมส่องแสงออกมาจางๆ
ชายวัยกลางคนหันไปมอง เหยียน ซิว ในทันที แล้วมองลงไปที่ดาบของเขา
มีวงแหวนสีแดงล้อมหมุนวนอยู่ที่ปลายดาบของเขา
“จงเปิดออก!“มือของชายวัยกลางคนสั่นเล็กน้อยก่อนที่วงแหวนสีแดงจะหายไป อย่างไรก็ตามมีรอยบางอย่างปรากฎอยู่บนดาบของเขา
“ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเต๋าแห่งอาชูร่านั้นร้ายกาจที่สุดในเต๋าทั้ง 6 อย่างไรก็ตามเจ้าที่อยู่ในระดับนี้จะสามารถทนมันได้นานแค่ไหนกัน?“ท่าทีของชายวัยกลางคนเริ่มโหดเหี้ยมขึ้นอีกครั้ง ขณะที่เขามองไปที่เครื่องหมายนั้น
สำหรับปีศาจในระดับจุติที่ต้องรับมือกับใครอย่างจริงจังเช่นนี้ …
เป็นสิ่งที่หาได้ยากมาก นอกจากนี้ ฝ่ายตรงข้ามยังมีอายุเพียง 16 ปีเท่านั้น และยังอยู่ในระดับสะท้อนสวรรค์ขั้นสูงสุด
เหยียน ซิว มองข้ามชายวัยกลางคนไป
เขาไม่ได้สนใจคำตอบของชายวัยกลางคน ชายวัยกลางคนคิดว่าผู้เข้าสอบคนอื่นๆไม่ควรค่าจะเสียเวลาหรือเสียน้ำลายคุยด้วย
แต่ใครจะสามารถเย็นชาได้มากกว่า เหยียน ซิว อีก?
เขาเย็นชาเป็นปกติอยู่แล้ว แม้ว่าจะกำลังเผชิญหน้าปีศาจในระดับจุติก็ตาม
ชายวัยกลางคนไม่คิดเลยว่าศัตรูจะเมิณเฉยตัวเขาอย่างสิ้นเชิงขนาดนี้ นี่มันอะไรกัน?
มนุษย์ไม่ควรจะให้ความเคารพปีศาจในระดับจุติที่อยู่ตรงหน้าพวกเขางั้นหรือ?
“หลบไปเและเจ้าสามารถมีชีวิตอยู่ได้อีก 1 ชั่วโมง!“ชายวัยกลาคนกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา
เหยียน ซิว ยังคงเมินต่อคำพูดของชายวัยกลางคน เหมือนกับ เหยียน ซิว เป็นแม่ทัพที่กำลังดูมองทหารเล่นตลกอยู่
“ไปลงนรกซะเถอะ!“หาได้ยากที่ชายวัยกลางคนจะโกรธแค้นมนุษย์ที่อยู่ในระดับสะท้อนสวรรค์ แต่ครั้งนี้เขาโกรธมาก
เขาเคลื่อนไหว ดาบในมือของเขาปกคลุมไปด้วยแสงสีม่วงจางๆ
ในเวลาเดียวกัน เขาหายไปจากตำแหน่งเดิมของเขา ร่างของเขาประสานเข้ากับแสงสีม่วงและพุ่งตรงไปยัง เหยียน ซิว อย่างรวดเร็ว
หนานกง เฮา จับดาบแน่นแต่มีแสงสีเงินปรากฎขึ้นด้านหน้าของดาบ
“เจ้าไม่คิดจะป้องกันตัวเองงั้นหรือ?“ไป่ ซิง มองไปที่ หนานกง เฮา แล้วชี้นิ้วไปทางแสงสีเงิน
“เจ้าฆ่าข้าไม่ได้หรอก” หนานกง เฮา มองไปที่แสงสีเงิน ในขณะที่ดวงตาของเขาเปล่งแสงสีทองออกมา เขาลดดาบลงด้วยความหนักแน่นและมั่นคง
โดยปกติแล้ว มันน่าจะเป็นเรื่องขำขันที่ผู้ที่อยู่ในระดับอภินิหารขั้นสูงพูดอะไรแบบนี้กับผู้ที่อยู่ในระดับจุติขั้นกลาง
อย่างไรก็ตาม ไป่ ซิง ไม่ได้หัวเราะเยาะ
ไม่เพียงแต่ ไป่ ซิง เท่านั้น เหล่าชายวัยกลางคนและปีศาจตนอื่นๆที่อยู่ด้านหลัง หยุน ชิงวู เองก็ไม่ได้หัวเราะเช่นกัน
พวกเขาทั้งหมดรู้ว่านี่เป็นความจริง
หาก ไป่ ซิง สามารถฆ่า หนานกง เฮา ได้จริงล่ะก็ทำไมป่านนี้ หนานกง เฮา ถึงยังมีชีวิตอยู่ นอกจากนี้ ทำไม ไป่ ซิง ต้องลอบโจมตีด้วย?
มันดูไม่น่าเป็นไปได้ที่ปีศาจระดับจุติจะไม่สามารถสังหารคนที่อยู่ในระดับอภินิหารขั้นสูงได้
อย่างไรก็ตาม ไป่ ซิง ไม่ได้พูดอะไรออกมา
เพราะคนคนนั้นเป็น หนานกง เฮา
“เจ้าพูดถูก แต่ถ้าหากข้ามีบางอย่างคอยช่วยเหลือ ข้าก็มันใจ!” ไป่ ซิง พยักหน้าอย่างเคร่งขรึมก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปมองเหล่าปีศาจนับสิบตน
หนานกง เฮา ไม่ได้ตอบ ไป่ ซิง เพราะว่าชายวัยกลางคนกำลังต่อสู้กับ เหยียน ซิว อยู่ พลังจากการปะทะกันของทั้งคู่ระเบิดออกเป็นวงกว้าง
ทันใดนั้นเสียงขลุ่ยก็ดังขึ้น เสียงนั้นเข้าปะทะกับแสงสีม่วง
จากนั้น เสียงสบถก็ดังขึ้นมา “เชี่ย!“
ก่อนที่เขาจะได้เอาขลุ่ยออกจากริมฝีปาก เขาก็กระอักเลือดของมาครั้งใหญ่
“เหิมเกริม!” ลำแสงสีม่วงหมุนวนไปรอบๆขณะที่ชายวัยกลางคนปรากฎตัวขึ้นมา เขาหันไปมอง วู่ เฟิง ที่คุกเข่าอยู่กับพื้น จากนั้นก็หันไปมอง เหยียน ซิว
“อั้ก!” ใบหน้าของ เหยียน ซิว กลายเป็นสีแดง พร้อมกระอักเลือดออกมาเช่นกัน เขาถูกโจมตีช้ากว่า วู่ เฟิง เล็กน้อย
เลือดของเขาสาดกระเซ็นไปที่พัดจนมันเปล่งประกายออกมามากกว่าเดิม
“เจ้าจะทนไปได้นานแค่ไหน!“ชายวัยกลางคนถามอีกครั้ง อย่างไรก็ตามในครั้งนี้เขามีความมั่นใจมากขึ้น
“จนกว่าเขาจะตื่นขึ้นมา” ดวงตาสีแดงของ เหยียน ซิว จ้องมองไปที่ชายวัยกลางคน ตาของเขาดูเหมือนจะอาบไปด้วยเลือด
“ฟื้นขึ้นมา?” ชายวัยกลางคนนิ่งไป จากนั้นเขาก็มองไปที่ ฟาง เจิ้งจือ ที่นอนอยู่กับพื้น ท่าทีของเขาเปลี่ยนไป
เขาไม่รู้ว่า เหยียน ซิว รู้ได้ยังไงว่า ฟาง เจิ้งจือ ยังมีชีวิตอยู่
อย่างไรก็ตามเขารู้เรื่องหนึ่ง ดาบของ ฟาง เจิ้งจือ ยังคงส่องแสงสีม่วงออกมา
มันต่างจากสีม่วงของเขา
มันสว่างกว่ามาก
ตอนนี้สีม่วงจากเลือดขยายไปทั่วใบดาบ จนเกือบจะกลืนกินไปถึงด้ามดาบโดยไม่มีทีท่าจะหยุดลง
ด้วยเหตุผลบางอย่าง…
เมื่อชายวัยกลางคนหันไปมองดาบเล่มนั้น หัวใจของเขากลับสั่นสะท้าน
แม้มันจะเป็นสัมผัสที่จางๆ…
มันก็ทำให้เขาตกใจ เขารู้ว่า ฟาง เจิ้งจือ อยู่แค่ระดับสะท้อนสวรรค์ขั้นสูงสุด
แม้ว่าเขาจะมี 388 เต๋าอยู่ในมิติพิเศษ ต่อให้เขาจะเป็นอัจฉริยะ
ก็อยู่แค่ระดับสะท้อนสวรรค์อยู่ดี
นี่เป็นความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้!
ดังนั้น ทำไมปีศาจที่อยู่ในระดับจุติเช่นเขาถึงต้องหวาดกลัวคนที่อยู่ในระดับสะท้อนสวรรค์ด้วย? เป็นเพราะดาบสีม่วงแปลกๆนั่น?
เขาไม่รู้ เขารู้แค่ว่าไม่สามารถให้ ฟาง เจิ้งจือ ถือดาบเล่มนั้นได้อีกต่อไป ดาบเล่มนั้นทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจ
จากนั้นเขาก็หันไปมอง เหยียน ซิว อีกครั้ง
เขาไม่ได้พูดอะไรออกมาในครั้งนี้ ชายวัยกลางคนเตรียมเข้าโจมตี เหยียน ซิว อีกครั้ง มันเป็นวิธีเดียวที่เขาจะสามารถเอาดาบมาจาก ฟาง เจิ้งจือ ได้
หลังจากนั้น…
มันจะทำให้เขารู้สึกปลอดภัยขึ้นมาใช่หรือไม่?
“ตาย!“ชายวัยกลางคนตะโกนออกมาด้วยความเยือกเย็น ก่อนจะประสานร่างเข้ากับแสงสีม่วงอีกครั้ง อย่างไรก็ตามลำแสงสีม่วงในครั้งนี้ มันค่อยๆแบ่งออกแบบทวีคูณ จนท้องฟ้าเต็มไปด้วยแสงสีม่วง
“เหยียน ซิว!” เสียงของ วู่ เฟิง ดังขึ้นขณะเอาขลุ่ยหยกมาจ่อไว้ที่ปาก ถึงรู้การทำแบบจะเป็นการรนหาที่ตายก็ตาม…
ต่อให้เขารู้ว่ามันจะไร้ประโยชน์ก็ตาม…
เขาไม่ลังเลที่จะนำขลุ่ยแตะริมฝีปากที่เปื้อนเลือดของเขา มือเปื้อนเลือดของเขาค่อยๆเคลื่อนไหวไปตามขลุ่ย
ซิง ฉิงซุย มองไปยังแสงสีม่วงที่พุ่งไปทาง เหยียน ซิว เขารู้ว่ามันแข็งแกร่งแค่ไหน แต่เขาก็ไม่มีวิธีหยุดมัน
เขามีความรับผิดชอบอื่นอยู่ในมือ
ถ้าเขาไม่ได้เป็นผู้บัญชาการทหารห้าหมื่นนาย…ถ้าเขาไม่ได้รับหน้าที่สำคัญในแผนการของอาณาจักรเซี่ย…เขาคงจะทำแบบเดียวกับที่ วู่ เฟิง ทำ
แต่ตอนนี้…
เขาไม่สามารถทำเช่นนั้นได้
เขาต้องรับมือกับภัยคุกคามที่จะส่งผลต่อกองทัพ ทหารของดินแดนภูเขาทาใต้ได้ใกล้เข้ามาแล้ว
แบ่งกองทัพออกเป็นสี่และส่งไปประจำแต่ละด้าน แม่ทัพเฉา ดูแลด้านซ้าย! แม่ทัพหวัง ท่านดูแลด้านขวา! แม่ทัพหลี่พาทหารห้าพันนายคอยป้องกันอันตราย! ที่เหลือตามข้ามา!” ซิง ฉิซุย โบกมือที่มีเหรียญตราขององค์จักรพรรดิอยู่ในมือ
“รับทราบ!”
“รับทราบ!”“
“รับทราบ!“
แม่ทัพทุกคนตอบสนองต่อคำสั่งทันที
พวกเขาไม่สามารถสู้กับปีศาจหรือแม้แต่ผู้เข้าสอบพวกเขาก็เทียบไม่ได้ อย่างไรก็ตาม ถ้าพวกเขาได้มีโอกาสตั้งค่ายกลแล้วละก็…
พวกเขาจะกลายเป็นกำแพงที่ไม่มีวันพังทลายได้!
…
เหยียน ซิว มองไปยังลำแสงสีม่วงนับไม่ถ้วนที่กำลังพุ่งมาทางเขา ริมฝีปากของเขาสั่นเล็กน้อยจากความพยายามในการข่มความเจ็บปวด
แต่เท้าของเขายังยืนอย่างมั่นคง
ราวกับเป็นหอกเหล็กที่ปักอยู๋ที่พื้น
เมื่อลำแสงสีม่วงใกล้เขามา วงแหวนสีแดงรอบๆตัว เหยียน ซิว ก็เลื่อนขึ้นมา เกือบจะถึงหน้าอกของเขา
ผู้ฝึกตนทุกคนย่อมรู้ดีว่า หน้าอกถือเป็นจุดที่สำคัญที่สุดในร่างกาย
ตรงนั้นมีหัวใจอยู่
มันเป็นรากฐานของมนุษย์และที่ตั้งของมิติพิเศษ ถ้ามันถูกเจาะ ผลที่ตามมาก็มีเพียงไม่ตายก็พิการ รวมถึงพลังที่ฝึกฝนมาทั้งหมดก็จะหายไป
อย่างไรก็ตาม เหยียน ซิว ไม่ได้สนใจที่วงแหวนสีแดงเคลื่อนมาใกล้หน้าอกของเขา
แสงสีม่วงก็เกือบจะมาถึงหน้าเขาแล้วเช่นกัน
มือของ เหยียน ซิว เคลื่อนไหวทันที พัดของเขาปล่อยลำแสงสีแดงพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าทันที มันดูราวกับเลือดที่พุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าเป็นอย่างมาก
“กลับพื้นโลกและสวรรค์ สับเปลี่ยนภูเขาและแม่น้ำ!” เหยียน ซิว พูดด้วยความเยือกเย็น เขาจดจำคำเหล่านี้ตั้งแต่ยังเด็ก
อย่างไรก็ตามเขาเคยใช้แค่วลีแรกเท่านั้น
สำหรับอีกอัน…
เขาไม่เคยพูดเลยแม้แต่ครั้งเดียว
มันไม่ใช่ความทรงจำของเขา แต่มันเป็นความทรงจำจากพัดในมือของเขา
ทั่วทั้งบริเวณสั่นสะท้าน
ลำแสงสีแดงฟันลงมาจากท้องฟ้า มันมาพร้อมกับภาพของดินแดนที่เต็มไปด้วยหุบเขา อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นแม่น้ำ หิน หรือ ทราย ล้วนเป็นสีเดียว
สีนั้นคือ…
สีแดง!
สีแดงที่ทั้งดูร้อนแรงและเยือกเย็น
“อั้ก!” เลือดของ เหยียน ซิว สาดกระเซ็นไปทั่วภาพภูเขา ทำให้ทั่วทั้งท้องฟ้ากลายเป็นสีแดง