Carefree Path of Dreams - ตอนที่ 265
Chapter 265: สันนิษฐาน
ด้วยความช่วยเหลือของบัณฑิตอย่างซูเหริน ฟางหยวนก็เริ่มเข้าใจผู้คนในอาณาจักรนี้
ตามที่ซูเหรินอธิบาย พวกเขาอยู่ในประเทศที่เรียกว่า “ต้าฉี” ทางเหนือของต้าฉ่มีประเทศ ต้าฉี ต้าเหลียง และอื่น ๆ และทั้งสามประเทศนี้ก็ทั้งร่วมมือกันขณะเดียวกันก็ขัดแย้งกันเป็นบางเวลา
ตามประวัติศาสตร์ ต้าจู่นั้นตั้งอยู่มากว่าพันปีแล้ว และค่อย ๆ อ่อนแอลงตลอดหลายปีมานี้ ด้วยความเสียเปรียบทางภูมิศาสตร์ มันจึงยากขึ้นเรื่อย ๆ ที่ทางราชสํานักจะเข้ามาปกครองเหนือประเทศ
แน่นอนว่า สําหรับผู้ที่รู้สถานการณ์ พวกเขาย่อมรู้ว่าต้าจู่นั้นเหลือเวลาอีกแค่สิบกว่าปีเท่านั้น อย่างไรก็ยังมีความขัดแย้งเล็ก ๆ ภายในประเทศอย่างไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้
“มณฑลทะเลสาบจินนี้อยู่บนฝั่งของทะเลสาบจิงถึง มีคนอาศัยอยู่ที่นี่ แต่ก็ยังมีอันตรายใหญ่หลวงสองอย่าง อย่างแรกก็คือพวกโจรสลัด อย่างที่สองก็คือปิศาจมักจะก่อนความวุ่นวายที่นี่ เทียบกันแล้ว ปิศาจนั้นนับเป็นปัญหาใหญ่กว่า!”
ซูเงินมองฟางหยวนและถอนหายใจยาว
เขารู้สึกอัดอั้นมานานแล้วและไม่มีใครให้พูดคุยเรื่องนี้ด้วยได้ หลังจากใช้เวลาด้วยกันมาหลายวัน เขาก็พูดทั้งหมดออกมา
“โอ้? ทําไมเป็นอย่างนั้นล่ะ?”
ฟางหยวนรู้สึกสนใจขึ้นมาและถามต่อ
มันดูเหมือนว่าที่นี่นั้นเต็มไปด้วยพลังวิญญาณ เพราะอย่างนั้น ปิศาจและจิตวิญญาณต่าง ๆ จึงถูกดึงดูดมาที่นี่ โดยเฉพาะเมื่อเส้นทางน้ํานั้นเชื่อมต่อกันเกือบทั้งหมด หากผู้ที่มาเป็นเทพวารีหรือว่าเทพมังกร ก็เป็นธรรมดาที่มักจะได้รับการสวดอ้อนวอนถึงจากในวัด ปิศาจที่มีอํานาจมักจะมีวัดเป็นของตนเองและได้รับเครื่องเซ่นเพื่อ แลกเปลี่ยนกับการให้ความคุ้มครองปกป้อง ดังนั้น ปิศาจและจิตวิญญาณเช่นนั้นย่อมไม่โจมตีมนุษย์โดยง่าย
แต่ว่า พวกที่เหลือนั้น มีธรรมชาติอันเหี้ยมโหดและต้องการกินมนุษย์ พวกมันไม่ได้รับของบูชาและมีชีวิตอยู่ เหมือนหนอนแมลง ซึ่งหมายความว่ามันย่อมสามารถทําได้ทุกอย่างตามต้องการ
การซักถามต่อของฟางหยวนทําให้ซูเหรินเข้าใจได้ว่าปิศาจที่ทรงพลังเช่นฟางหยวนนั้นคู่ควรกับการมีอารามและได้รับเครื่องเซ่น และทําให้เขาพูดไม่ออก
พลังและอํานาจของปิศาจในโลก
อย่างไม่น่าเป็นไปได้
หลังจากอธิบายต่อ เขาก็ดูหดหูไป
“หากข้าเป็นเจ้าหน้าที่ที่นี่ ข้าจะกําจัดปิศาจร้าย วิญญาณร้ายและเหล่าโจรสลัดออกไปเพื่อเรียกเอาความสงบสุขของพื้นที่นี้กลับมา!”
ขณะที่เขาพูด ซูเหรินก็หันไปมองฟางหยวนซ้ํา ๆ ใบหน้าของเขาขึ้นสีขณะพึมพํา “เอ่อ… มนุษย์เราทําอะไรลงไปหรือถึงได้สมควรถูกพวกปิศาจตามรังควาน? พวกเราจะได้รับความสงบสุขกลับคืนมาเมื่อใดกัน?”
“สามี!”
หว่านเอ๋อร์กระตุกแขนเสื้อซูเหรินก่อนที่เขาจะทันตื่นตัวขึ้นมาและพบว่าปิศาจทั้งสองนั้นมองเขาด้วยสายตาที่แสดงความหลักแหลม
“ฮ่าฮ่า… ข้าจะบอกให้!”
ฟางหยวนปล่อยร่างพลังหยินออกมา เผยให้เห็นชายหนุ่มหน้าตาธรรมดาในชุดสีดํา เขาโบกมือยิ้ม ๆ “เพื่อนของข้าและข้าไม่ได้กินเลือดเป็นอาหาร แต่ว่า ในโลกนี้คือการอยู่รอดของผู้ที่เหมาะสมที่สุด หากสหายเต๋าต้องการมีสถานะสูงขึ้น นั่นก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับพวกปิศาจแล้ว แต่ต้องเพิ่มความแข็งแกร่งของตนเอง! โลกยังคงเปลี่ยนไปและสหายเตย่อมต้องปรับตัวตาม! หากสามารถเข้าใจเรื่องนี้ได้ก็จะพัฒนาขึ้นได้!”
“การอยู่รอดของผู้ที่เหมาะสมที่สุด? โลกยังคงเปลี่ยนไปและผู้คนต้องปรับตัวตามงั้นรึ?”
ดวงตาของซูเหรินเป็นประกายคล้ายกับว่าเข้าใจอะไรบางอย่าง จู่ๆ เขาก็ลุกขึ้น จัดชุดคลุมตัวนอกให้เรียบร้อยแล้วคารวะมาทางฟางหยวนอย่างนอบน้อมที่สุด “ท่านผู้มีพระคุณ ท่านฉลาดมาก! แม้แต่หนังสือยังไม่เคยเขียนอะไรเช่นนี้เอาไว้มาก่อน ดูเหมือนว่ามันจะเป็นสิ่งที่ข้าสามารถนําไปปรับใช้ได้! พวกเราต้องปรับตัวเพื่อพัฒนา… แม้ว่าข้าจะยังไม่รู้ว่าข้าควรจะทําอย่างไรกับมณฑลทะเลสาบจิน แต่ข้าก็รู้แล้วว่าตอนนี้ข้าต้องทําอะไร”
“บล็อบ! บล็อบ!”
ในอ่างปลา ปลาหลีสีทองแกมแดงนั้นอ้าปากพูด ฟองอากาศผุดขึ้นผิวน้ํา “พี่ชาย สิ่งที่ท่านพูดนั้นถูกต้องที่สุด แต่ว่า เหตุใดท่านจึงช่วยมนุษย์? ท่านอยากจะเป็นหนึ่งในพวกเขางั้นรึ? ถึงแม้ซูเหรินจะเข้าใจเรื่องนั้น แต่ข้าไม่คิดว่าเขาจะสามารถทําได้จริงหรอก!”
“เจ้าพูดอะไรไร้สาระ?”
ฟางหยวนกลอกตา ร่างพลังหลินของเขาอยู่ในรูปร่างมนุษย์ และเขาก็เพียงพูดสิ่งที่เขาคิดว่ามันเป็นเหตุ เป็นผลดี แต่ว่า ปลาหลีสีทองแกมแดงกลับบอกว่าเขาพยายามจะเป็นหนึ่งในคนพวกนั้น ทําให้เขาพูดไม่ออก
“เจ้าควรจะรู้ว่าพลังมังกรในตัวมนุษย์นั้นต่างไปจากรัศมีมังกรในตัวพวกเราเหล่าปิศาจ นอกจากนี้ ข้ายังเป็นเพียงปิศาจอ่อนแอ เหตุใดข้าจะกล้าคิดถึงเรื่องไร้สาระเช่นนั้นได้? ข้าไม่ต้องกลัวภัยพิบัติสวรรค์หรืออย่างไร?”
เพราะการมีอยู่ของป้ายบัญชาสูงสุด ทั้งมนุษย์และปิศาจในอาณาจักรนี้จึงเชื่อในโชคชะตา
แต่ว่าสําหรับฟางหยวนแล้ว ทั้งหมดล้วนไร้สาระ
โชคชะตาอะไรกัน? มันก็แค่ประสบการณ์ทางกายเนื้อเท่านั้น!
กระทั่งปิศาจทั้งหลายก็สามารถฝึกตนและกลายเป็นมังกรน้ําได้ ในเมื่อพวกเขาสามารถแข็งแกร่งขึ้นได้ด้วยพลังวิญญาณ และดังนั้น จึงไม่จําเป็นต้องสนใจโชคชะตา
ส่วนพวกพิธีการของเหล่ามนุษย์ในการเตรียมเครื่องบูชาแก่วัดนั้น เขายิ่งไม่ต้องไปสนใจ
อย่างไร พิธีการเหล่านี้นั้นมนุษย์ก็เอาตัวเองเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยมากเกินไปและทําให้พวกเขาพึ่งพาปิศาจเกินไป และในทางกลับกัน พวกเขาย่อมถูกปิศาจควบคุมได้โดยง่าย ดังนั้นย่อมต้องคิดให้มาก แล้วการฝึกตนของปิศาจยังมีอิสระมากกว่าด้วย
“ทุกคนย่อมมีความสามารถที่จะตัดสินใจเกี่ยวกับอนาคตของตนเองได้!”
เขาถอนหายใจเงียบ ๆ แล้วหลับตาลงฝึกตนต่อไป
หลายวันที่ผ่านมานี้ เขาได้สั่งให้ซูเหรินนั้นเดินทางเลียบแม่น้ําและไปเก็บสมบัติที่หลี่หลวนบอกตําแหน่งออกมา สมบัติพวกนั้นล้วนเป็นทองและเงินแท่ง หยกและยังยาวิเศษอีกเล็กน้อย ซึ่งฟางหยวนกินทั้งหมดลงไปและฝึกวิชาต่อ
เมื่อเขาหลับตาลง ไข่มุกมังกรก็สั่นอยู่ในท้องของเขาและปลดปล่อยพลังอันอบอุ่นออกมา
ตั้งแต่เขาพยายามกระโดดข้ามประตูมังกรและได้รัศมีมังกรมาส่วนหนึ่ง เขาก็เชื่อมต่อกับไข่มุกมังกรได้มากขึ้น แม้ว่าจะยังไม่สามารถดูดซับได้ เขาก็ยังสามารถใช้ประกายพลังของมันค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงร่างงูของเขา
“เชือกเส้นหนึ่งสามารถตัดต้นไม้ได้และน้ําหนึ่งหยดเซาะหินกร่อนได้ตามเวลา หากข้าใช้รัศมีมังกรของข้าพยายามดูดซับพลังจากไข่มุกมังกรทุกวัน ข้าแน่ใจว่าข้าจะได้ประโยชน์จากการทําเช่นนี้ และแน่ใจว่าจะทําให้ข้าได้เปรียบในการแปลงร่างเป็นมังกรในอนาคต!”
ในเคล็ดวิชาเก้าขั้นมังกรกลายนั้น มีการทะลวงผ่านครั้งใหญ่ทุก ๆ การเปลี่ยนร่างสามขั้น
จากปลาหลีเป็นงูนั้นเรียกว่าปลาหลีกระโดดข้ามประตูมังกร หลังจากทําสําเร็จ เขาก็ได้รัศมีมังกรมาและไม่ถูกจํากัดเอาไว้แต่ในน้ําอีกต่อไป
ในการกลายร่างขั้นที่หก จากงูพิษยักษ์ก็จะเปลี่ยนเป็นมังกรเขาเดียว มันเป็นการบรรลุผ่านครั้งใหญ่อีกครั้งหนึ่ง เรียกว่าขั้นมังกรกลาย และที่ขั้นนี้จะต้องเผชิญกับทัณฑ์สวรรค์!
ฟางหยวนเดาว่าทัณฑ์สวรรค์นั้นเป็นรูปแบบหนึ่งของการชดใช้กรรม! อย่างไร หลังจากใช้พลังวิญญาณในการฝึกตน พวกเขาย่อมต้องชดใช้คืนในสักรูปแบบ
“การฝึกตนนั้นแบ่งออกเป็นการฝึกกําลังภายในและการฝึกกําลังภายนอก ด้วยไข่มุกมังกรนี้ ข้าจะสามารถฝึกกําลังภายในของขั้นมังกรกลายได้อย่างเต็มที่… ถึงอย่างไร ก็ยังมีทัณฑ์สวรรค์รออยู่!”
ฟางหยวนจมลงในห้วงความคิด “ตามกฎแห่งความจริงซึ่งควบคุมอาณาจักรนี้อยู่ ความรุนแรงของทัณฑ์สวร รค์นั้นสามารถลดลงได้ด้วยการทํากรรมดี แน่นอนว่า มันสามารถลดความรุนแรงได้แต่ไม่ได้ทําให้มันหายไป ทั้งหมด ยังคงขึ้นกับแต่ละคนที่จะรอดจากทัณฑ์สวรรค์ได้…”
ทันใดนั้นเขาก็ลืมตาขึ้นราวกับคิดบางอย่างได้ “กรรมสวรรค์สามารถลดความรุนแรงของทัณฑ์สวรรค์ได้ กรรมมนุษย์นั้นเป็นตรงกันข้าม สามารถลดความรุนแรงของภัยพิบัติมนุษย์ได้… ก่อนหน้านี้ เทพวารีแห่งทะเลสาบฉีนั้นมีพลังไม่พอ แม้ว่าจะมีกรรมสวรรค์เพียงพอและสามารถเลื่อนวันเวลาของทัณฑ์สวรรค์ไปได้ เขากลับมีกรรมมนุษย์ไม่พอ ด้วยพลังของภัยพิบัติมนุษย์และสภาพร่างกายของเขาที่อ่อนแอ เขาจึงทําได้เพียงพ่ายแพ้ไป… แต่ว่า หากเขามีกรรมสวรรค์เพียงพอ เขาย่อมมีโอกาลองอีกสักครั้ง… เดี๋ยวก่อนนะ ข้าดูเหมือนจะกลายไปเป็นภัยพิบัติมนุษย์ของเทพวารีเข้าเสียแล้วในเมื่อนําเอาไข่มุกมังกรที่เป็นแห่งพลังของเขามา… เทพวารีตนนี้ช่างโชคร้ายเสียจริง!”
“แต่ว่า.. มนุษย์! พวกเขาหมายถึงมนุษย์ที่เป็นมนุษย์หรือว่าปิศาจในรูปร่างมนุษย์กันนะ?”
ฟางหยวนอึ้งไป
นี่คือคําถามเหมือนถามว่าใครเป็นผู้ควบคุมโลกใบนี้และโลกใบนี้จะดําเนินวัฏจักรไปอย่างไร หากเข้าใจ เขาย่อมได้ประโยชน์จากเรื่องนี้
แรกเลยนั้น พลังและอํานาจของเหล่าปิศาจนั้นทําให้พวกมันกลายเป็นผู้ปกครองอาณาจักรนี้
แต่ว่า เทพวารีแห่งทะเลสาบนั้นให้การปกป้องเหล่าปลาและสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในทะเลสาบและยังกระจายทรัพย์สมบัติของตนออกไปก่อนที่จะเข้ารับภัยพิบัติ หากเหล่าปิศาจก็นับเป็นคนแล้ว เช่นนั้นเขาควรจะมีกรรมมนุษย์เพียงพอสิ
“ดังนั้น… ก็อธิบายได้เพียงอย่างเดียว เทพวารีนั้นแยกแยะคําว่ามนุษย์ผิด?”
ฟางหยวนอึ้งไป “แม้ว่าเหล่าปิศาจจะทรงพลัง แต่มนุษย์ต่างหากที่จะยืนอยู่เป็นคนสุดท้าย?”
เขายังหาจุดเริ่มต้นของเรื่องนี้ได้ไม่ชัดเจนนัก ขณะที่ค่อย ๆ ทําความเข้าใจทุกอย่างอย่างช้า ๆ เขาก็ตระหนักได้ถึงความจริงของโลกนี้
แม้แต่ปิศาจที่แข็งแกร่งอย่างเทพวารีแห่งทะเลสาบฉียังไม่สามารถบรรลุผ่านได้ นี่เป็นเพราะเขารู้เรื่องนี้ เกินไป
สิ่งมีชีวิตอื่น ๆ จะกล้าต่อกรกับเหล่าปิศาจที่มีทุกอย่างได้อย่างไร?
แต่ว่า ในเมื่อฟางหยวนนั้นมาจากอาณาจักรอื่น เขาจึงมีมุมมองที่ต่างออกไปและสามารถมองทะลุความวุ่นวายเหล่านี้ได้ในทันที
“เหล่าปิศาจจะเสื่อมโทรมลงและมนุษย์จะเจริญรุ่งเรืองขึ้นมา นี่คือแนวโน้มของโลกใบนี้!”
“การที่ร่างพลังหยินของปิศาจล้วนอยู่ในรูปของมนุษย์ คือคําอธิบายแนวโน้มของโลกใบนี้ไม่ใช่เหตุผลเพ
ราะความสะดวกหรือความเสมอภาค!”
ดวงตาของฟางหยวนเป็นประกาย
“ครืน!”
ถึงตอนนี้ ก็มีเสียงระเบิดเกิดขึ้น คนทั่วไปอาจจะตกใจ แต่ฟางหยวนนั้นหวาดกลัว
“เอ๋? มีบางอย่างไม่ดูต้อง?”
ซุเหรินดึงม่านเปิด แสงอาทิตย์ส่องเข้ามาในรถม้าและสายลมอ่อน ๆ ลูบไล้ใบหน้าของเขา “เหตุใดจึงมีสายฟ้าผ่ามาจากที่ใดไม่รู้ได้?”
เขาเป็นมนุษย์คนหนึ่ง ภรรยาของเขาก็เช่นกัน ทั้งคู่ตัวสั่นด้วยความกลัว
ส่วนหลี่หลวน นางตัวแข็งอยู่ในอ่างปลาราวกับสามารถสัมผัสได้ถึงพลังจากสวรรค์
“รู้ได้ตั้งแต่ก่อนที่มันจะเกิดขึ้นเสียอีกงั้นหรือ…”
ฟางหยวนทําเหมือนตัวเองก็ตกใจ แต่ข้างในกลับยิ้ม “ดูเหมือนการคาดเดาของข้าจะถูกต้อง… มีคนพิเศษเพียงไม่มากในอาณาจักรนี้ที่สามารถมองเห็นความจริงนี้ได้ บางคนสร้างปัญหาขณะที่บางคนซ่อนตัว รอโอกาสอันเหมาะสมที่จะรวมภัยพิบัติทั้งหมดแล้วใช้ประโยชน์จากมันสร้างภัยพิบัติสังหาร!”
นี่คือโอกาสของฟางหยวน
แม้ว่าเขาจะมีการรับรองของอาณาจักรและมาจากโลกอื่น เขาก็ยังเป็นปิศาจตนหนึ่ง หากเขาทําสิ่งใดที่ผิดไปจากธรรมดา เขาแน่ใจว่ามันจะร้ายแรงกว่าปกติเป็นสิบเท่า! ร้อยเท่า!
เมื่อเกิดภัยพิบัติสังหารแล้ว ชะตาของทุกคนก็จะร้อยเรียงเข้าด้วยกันและเป็นเวลาที่เขาจะลงมือ
“ดูเหมือนว่า… ข้าจะยังคงต้องสนับสนุนมนุษย์!”
ฟางหยวนยิ้มมุมปาก แต่ครั้งนี้ เขามองซูเหรินด้วยสีหน้าต่างไป
ฟางหยวนเดิมทีนั้นต้องการใช้ประโยชน์จากเขาและเมื่อถึงทะเลสาบจนถึงก็แยกย้ายกันไป แต่ว่าดูเหมือนว่าเขาจะยังคงต้องใช้งานซูเหรินต่อหลังจากถึงทะเลสาบจนถึงแล้ว
“เมื่อครู่… เกิดอะไรขึ้น?”
หลี่หลวนหลบอยู่ในอ่างปลาม้วนตัวจนเป็นก้อนกลม
ตอนที่ฟ้าร้อง นางรู้สึกถึงพลังของภัยพิบัติสวรรค์
ต่อหน้าสายฟ้าอันทรงพลังเช่นนั้น กระทั่งนางในตอนที่แข็งแกร่งสมบูรณ์ที่สุดก็ยังต้องในเป็นผง!
“มีใครทําให้สวรรค์พิโรธ? หากเป็นอย่างนั้น ภัยพิบัติสวรรค์ไยยังไม่เกิด?”
หลังจากนั้นเป็นนาน รอบด้านก็ไม่เกิดอะไรขึ้น หลี่หลวนรวบรวมพลังแล้วชะโงกขึ้นไปมองฟางหยวนด้วยสีหน้าประหลาด
ปีศาจตนนี้มีพลังอย่างยิ่งและยังสามารถเปลี่ยนร่างจากปลาหลีไปเป็นงูได้ นี่ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย
นอกจากนี้ หลังกจากใช้เวลากับเขาหลายวัน หลี่หลวนก็สามารถสัมผัสถึงพลังและอํานาจจากภายในร่างของเขาได้ว่าไม่ใช่สิ่งที่งูพิษธรรมดา ๆ ตัวหนึ่งจะมีได้ และรัศมีมังกรที่มีทีท่าจะเพิ่มขึ้นด้วย
ความเร็วในการเพิ่มรัศมีมังกรของเขานั้นน่าตระหนก
มันเป็นไปได้ที่จะเชื่อว่าเป็นฟางหยวนนั่นแหละที่ทําให้สวรรค์พิโรธ
แต่ว่าเจ้างก็ยึดตัวขึ้นและมองขึ้นไปบนฟ้าด้วยสีหน้าตกตะลึงเช่นกันและยังไม่ได้รับบาดเจ็บ เพราะอย่างนั้นหลี่หลวนจึงงุนงงแล้ว