Am I a God – ฉันเป็นพระเจ้า - ตอนที่ 185
Chapter 185 รักที่ไม่สมหวัง
ชายวัยกลางคนส่ายหน้าตอบซุนเหมิง “เราไม่มีคนมากพอที่จะโค่นเขา”
“ไม่พอ?” ซุนเหมิงเลิกคิ้ว “ก็บอกว่าการป้องกันอ่อนกว่าทุกที่ไม่ใช่เหรอ?”
“แค่เปรียบเทียบเฉยๆ” เขาค่อยๆอธิบาย “ดูที่มุมร้าน แล้วดูฝั่งตรงข้าม เห็นผู้ชายที่กําลังเล่นโทรศัพท์กับคนที่นั่งมองรอบๆ คาเฟอย่างเหม่อลอยนั่นไหม ที่นี้ก็ดูคนนั้น ยืนรอไฟเขียวมา 10 นาทีแล้ว…”
ซุนเหมิงนิ่งอึ้งไปที่เธอไม่สังเกตเห็นคนพวกนี้ ทีนี้เธอก็เข้าใจแล้วว่าพวกนั้นมีการป้องกันครอบคลุมขนาดไหน เธอประเมินพลังของเขาต่ําไป
“ฉันถึงบอกว่าถ้าแค่เทียบแล้วการป้องกันมันก็น้อยลงกว่าทุกที แต่ต่อให้เราสองคนบุกเข้าไปในร้านได้ เราก็ต้องรับมือกับคนที่คุ้มกันอยู่รอบๆด้วย ภายใน 5 นาที่ตํารวจจะมาที่นี่ และภายใน 10 นาทีเราสองคนจะเป็นคนที่ตํารวจต้องการตัวที่สุดในเมือง ไม่แน่กองกําลังทหารอาจเคลื่อนไหวด้วย
ยิ่งไปกว่านั้น ฉันจะเข้าครอบครองร่างใดร่างหนึ่งได้ก็ต่อเมื่อมีเงื่อนไขครบถ้วน ต่อให้สร้างความโกลาหลบุกเข้าไปแค่ไหนก็ไม่มีความหมาย
กว่าครึ่งของผู้ติดตามนั้นยังเป็นอะพอสเซิลด้วย ต่อให้ใช้พลังของเราก็คงใช้เวลาสองสามนาที่ในการต่อกรกับพวกเขา”
ซุนเหมิงลูบคางอย่างใช้ความคิด เธอต้องระงับใจตัวเองไม่ให้บุกเข้าไปชิงตัวอลิซาเบธมาจากเงื้อมมือของจาวเหยาในตอนนี้ “แล้วเราต้องทํายังไงต่อ” เธอถาม
“เราต้องให้เนสซีกับบาร์บี้ช่วยฉันขอเวลารวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับระบบรักษาความปลอดภัยและพลังของอะพอสเซิลอีกนิด” ชายวัยกลางคนพูดทั้งหน้านิ่ง “เรามีโอกาสเดียวเท่านั้น ต้องจัดการผู้ติดตามทั้งหมดในรวดเดียวเพื่อให้ฉันได้ครอบครองร่างกายของเขา เราทําฟังไม่ได้เด็ดขาด”
“ในรวดเดียว?” ซุนเหมิ่งหัวเราะ “ค่อนข้างยากนะ”
“ฮี่ม” ชายวัยกลางคนพยักหน้าตอบ “ที่จริงฉันเพิ่งเจอแมวที่มีศักยภาพเต็มเปี่ยม ดูจากท่าทางแล้วฉันคงยังทําอะไรไม่ได้เร็วๆ นี้ แต่ฉันต้องทําให้สําเร็จ”
ในโรงพยาบาลสัตว์สตาร์รี่สตาร์รี่ เด็กหนุ่มวัยรุ่นคนหนึ่งคลานเข้าไปในห้องทํางานของดร.หลิวก่อนตรงไปยังมุมห้อง เขาเอื้อมมือไปยังกรงที่วางติดอยู่กับกําแพง
บนกรงมีเสื้อสีขาวคลุมอยู่ มีเสียงดังกุกกักมาจากข้างใน
เสียงนั้นเงียบไปเมื่อเด็กหนุ่มเริ่มเอื้อมมือออกไป
“นายเป็นใคร!?”
เด็กหนุ่มยิ้มกว้าง แต่เขาก็ต้องหยุดเมื่อกําลังจะหยิบเสื้อที่คลุมไว้ออก เขามองที่กรงอย่างตะลึงงันเหมือนกําลังประมวลผลข้อมูลต่างๆ ที่วิ่งเข้ามาในหัว
ทันใดเขารีบผละออกมาก่อนวิ่งหนีออกจากห้อง ทั้งเจ้าแมวพัลลัสที่กําลังทําท่าขู่ออกไป
“อย่าไปนะ! กลับมา! เปิดกรงให้ฉันก่อน!”
“ฉันมีมรดกตกทอดจากตระกูลจะให้นายดูด้วยนะ!”
กลับมาที่ร้าน ที่กําลังจะมีวิกฤติบางอย่างคืบคลานหาพวกเขาในไม่ช้า
หลังจากผู้อาวุโสออกจากร้านไป เสียวฉอยู่ก็แอบมายืนใกล้ๆ จาวเหยาก่อนเอ่ยถาม
“นายรู้มั้ยว่าคนๆ นั้นเป็นใคร?”
จาวเหยาเล็กคิ้ว ก่อนตอบอย่างไม่สนใจ “คงเป็นราชการระดับสูงอะไรพวกนั้นละมั้ง ไม่ค่อยรู้นะ”
“เขาไม่ใช่แค่เจ้าหน้าที่ระดับสูงแน่ เขาเป็นคนที่มีตําแหน่งแบบสุดยอดเลยต่างหาก” เสี่ยวฉีอยู่หยิบโทรศัพท์ออกมาโชว์บางอย่างให้จาวเหยาด มันเป็นภาพถ่ายเก่าหยาบๆ แต่เขาเดาว่าคงถ่ายมาจากช่องข่าวสักช่อง
“โอ้ เขาเคยไปออกทีวีด้วยงั้นเหรอ? ถึงว่าดูคุ้นหน้าคุ้นตา”
ยิ่งเห็นท่าทางแบบนั้นของจาวเหยา เสี่ยวฉือยู่ยิ่งไม่สบอารมณ์
“นายไม่อยากไต่ระดับขึ้นในวงการนี้หรือไง คนๆ นั้นมีอํานาจแล้วก็มีอิทธิพลมากเลยนะ นายเข้าไปตีสนิทกับเขาโดยใช้พลังการเยียวยาของนายส์ ในอนาคตเขาอาจชวนนายเข้าร่วมเป็นเพื่อนในแวดวงของเขา ถ้าผลลัพธ์ออกมาดีนายอาจได้เป็นผู้ช่วยของเขาโดยเสนอการรักษาให้สัปดาห์ละครั้งสองครั้งไง!”
แต่จาวเหยาไม่มีท่าที่เปลี่ยนไปเลยสักนิด ถ้าเขากระหายในเงินหรืออํานาจจริงๆ ก็คงหาทางใช้พลังที่มีทําอะไรสักอย่างเพื่อให้ได้มันมาแล้ว
เหตุผลที่เขามาเปิดร้านนี้ก็เพื่อเพิ่มค่าประสบการณ์จากภารกิจรายเดือนของเขา
จาวเหยาจึงตอบเสี่ยวอยู่นิ่งๆ “อ่อ อย่างนั้นเหรอ สารวัตรโฮบอกเธอมาอย่างนั้นเหรอ”
“ฉันหาข้อมูลเองหรอกย่ะ” เสียวฉอยู่ตอบก่อนมองจาวเหยาเขม็ง “นายตั้งใจจะอยู่กับคาเฟร้านนี้ไปตลอดชีวิตเลยหรือไง ทําไมไม่ใช้พลังของนายเสี่ยงโชคเอาบ้างเล่า นี่เป็นโอกาสดีเลยไม่ใช่เหรอ”
“ฉันเองก็ตั้งใจ ตั้งใจ ท่าเต็มที่อยู่นะ” เขาตอบ
“ทําตัวดีๆ กับอาเว่ย บอดี้การ์ดของเขาหน่อยสิ อย่าทําเหมือนว่าเขาติดหนี้นายได้แล้ว ไม่รู้หรือไงว่าพวกผู้นําที่มีอานาจมักใกล้ชิดกับบอดี้การ์ดของพวกเขาน่ะ”
“ครับๆ เข้าใจแล้วครับ”
จาวเหยาถอนหายใจขณะตอบเสียวฉีอยู่เป็นเชิงเอาใจ ในใจลึกๆ เขากลับคิดว่า “วุ่นวายจริงๆ ใครจะอยากไต่เต้าไปไหนกัน ฉันแค่อยากกิน เที่ยว แล้วก็ตายไปเท่านั้น แล้วทําไมคนระดับนั้นต้องมาที่นี่ด้วยเนี่ย?”
ทันใดเห็นเงาดําที่หางตาก่อนมันจะพุ่งมาที่ดักของเขา
มัจฉะนั่นเอง มันถูตัวกับอกของจาวเหยาก่อนนอนโชว์พุงขาว “จาวเหยา วันนี้นายดูหล่อเป็นพิเศษนะ”
“มีอะไรก็ว่ามา” จาวเหยาตอบเสียงเย็น
มัจฉะรีบลุกนั่งก่อนแปะอุ้งเท้าไปบนอกของเจ้านาย “จาวเหยา ความทรงจําอันล้ําลึกมันกลับมาอีกแล้ว ตอนนอนฉันก็ได้แต่ฝัน ฝันถึงเจ้าหญิงเฉียน จนตื่นมาพบกับหมอนเปียกๆ ทุกเช้า”
“เปื้อนขี้ตานายมากกว่ามั้ง” จาวเหยาเบ้ปาก
“แล้วฉันต้องทํายังไงล่ะ” มัจฉะเริ่มครวญครางก่อนกุมหัวอย่างเศร้าใจ “มันเป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้ ฉันเอาแต่คิดถึงภาพเจ้าหญิงเฉียน ไม่อาจลืมเธอได้เลย ฉันไม่อาจกิน ไม่อาจนอน ฉันอยากจะแค่สาดฉีของฉันไปทั่วห้อง”
“ฉันว่านายแค่ติดสัดมากกว่า” จาวเหยากรอกตาก่อนแปะมือบนหัวมัจฉะเบาๆ “ฉันว่านายจัดการตัวเองได้ แค่ไปหาทางระบายอารมณ์ให้ได้ก็พอ”
มัจฉะสะบัดหางไปมาอย่างไม่พอใจ “จาวเหยา นายพูดเรื่องอะไร นายคิดว่าฉันคิดกับเจ้าหญิงเฉียนแค่เรื่องผสมพันธ์อย่างเดียวหรือไง? ฉันรักเธอเพราะเธอเป็นเธอ ฉันไม่คิดเรื่องสกปรกอย่างที่อยู่ในหัวของนายหรอก”
“โอเค การรักร่างกายของเธอเป็นความรักที่บริสุทธิ์สินะ นายแค่อยากมีพันธะทางกายกับเธอเท่านั้นแหละ” จาวเหยาว่าต่ออย่างรําคาญ “ช่างมันเถอะ ฉันแนะนํานายไปแล้ว นายทนไม่ได้หรอก”
“ไม่ คิดให้ลึกกว่านั้นสิ มันเป็นเพราะระยะทางระหว่างฉันกับเธอยังไงล่ะ รักระยะไกลนี่แหละที่เป็นสิ่งต้องห้ามในความสัมพันธ์ที่ดีต่อใจ มันไม่เคยจบสวย ฉันอยากเจอเจ้าหญิงเฉียนและแสดงความรักต่อเธอ ถ้าฉันทําอย่างนั้นความสัมพันธ์ของเราจะได้ไปกันรอด”
จาวเหยาแทบไม่สนใจความกังวลของมัจฉะ เขาหัวเราะน้อยๆ “ปกติความคิดสกปรกๆ ก็อยู่แต่ในหัวเล็กๆ ของนายอยู่แล้ว นายต้องแสดงออกมันออกมาด้วยหรือไง”
มัจฉะกระโดดลงไปก่อนถูหัวของมันกับขาของจาวเหยา “ขอร้องล่ะจาวเหยา! ฉันต้องตายแน่ถ้าไม่ได้เจอเธอ”
“ฉันว่านายหมายถึงนายจะตายถ้าไม่ได้ผสมพันธุ์กับเธอต่างหาก” จาวเหยาพูดอย่างไม่สนใจ “เอาล่ะ ฉันคิดอะไรออกแล้ว” เขาคิด “ฉันไม่สามารถใช้ภาพลวงตาเพื่อปกปิดเจ้านอกได้ ฉันต้องหาอะไรมาหันเหความสนใจให้เจ้านี่ทํางานต่อไปได้อีกสักสองสามอาทิตย์ ฮึ่ม หรืออาจจะปลุกวิญญาณนักสู้บางอย่างเพื่อให้เจ้านี้ ทํางานหนักขึ้นในการดูแลลูกค้าดี”
ในสายตาของมัจฉะ ดวงตาของจาวเหยาเป็นประกายแห่งความหวังในอนาคตที่สดใส
จาวเหยาพูด “จากประสบการณ์ยี่สิบกว่าปีของฉัน คนเริ่มความสัมพันธ์นั่นแหละที่จะเป็นฝ่ายสูญเสีย…สิ่งที่นายต้องทําคือทําตัวเองให้น่าดึงดูดแล้วทําให้เธอเป็นฝ่ายเข้าหานายแทน”