เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 65 พ่อแท้ๆ ก็เชื่อไม่ลง
ตอนที่ 65 พ่อแท้ๆ ก็เชื่อไม่ลง
“เหลยจื่อ คนในรถเยอะไปมั้ง”
ซ่งจื่อเซวียนเกลี่ยตามองรถตู้คันเล็กคันนี้ ถ้าด้านหลังไม่ได้เขียนว่า ‘อู่หลิงจือกวง[1]’ ก็คงจำยี่ห้อไม่ได้จริงๆ
“นายท่านซ่ง นี่เป็นคำสั่งของเสี่ยปา ถ้าคนไม่เยอะจะไม่ปลอดภัย รีบขึ้นรถเถอะ”
ซ่งจื่อเซวียนสีหน้ากระอักกระอ่วน แต่ก็ยังก้าวขึ้นรถไปนั่งแถวสุดท้าย จากนั้นอีกหกคนก็ขึ้นรถทีละคน
ต้องบอกว่าลูกน้องเสี่ยปากำยำจริงๆ แต่ละคนดูมีน้ำหนักไม่น้อยกว่าเก้าสิบกิโลกรัม เมื่อแต่ละคนขึ้นมา ซ่งจื่อเซวียนก็รู้สึกได้ว่ารถสั่นไหว ขณะเดียวกันหัวใจของเขาก็สั่นตาม
ด้านหลังอู่หลิงจือกวงมีสองแถวหกที่นั่ง แต่คนที่กำยำเหล่านี้ไม่สามารถนั่งได้เลย แถวหนึ่งพอจะนั่งได้สองคนครึ่งเท่านั้น และซ่งจื่อเซวียนจากที่นั่งสบายๆ เมื่อครู่ก็โดนคนสองคนเบียดอยู่ตรงกลาง
เนื่องจากคนที่อยู่ด้านข้างทั้งสองตัวใหญ่ล่ำบึ้ก ขาของเขาจึงแทบจะหนีบชิดกัน ไหล่โค้งงอ และวางสองมือบนตักอย่างเป็นระเบียบ
ซ่งจื่อเซวียนครุ่นคิด ‘นี่มันเหมือนไปทำงานที่ไหนกัน เหมือนเดินทางช่วงตรุษจีนต่างหาก น่าเวทนาเกินไปแล้ว!’
เมื่อทุกคนขึ้นมาเรียบร้อยแล้ว ถ้ามองจากข้างนอกเหมือนตัวรถอู่หลิงจะจมเล็กน้อย ยางรถก็แบนลงหนึ่งเส้น แต่เหลยจื่อดูเหมือนจะชินแล้วจึงเหยียบคันเร่งขึ้น รถก็เคลื่อนตัวและขับออกไปช้าๆ
ได้ยินเสียงรถครืดคราดตอนที่สตาร์ท บวกกับตัวรถสั่นตามอย่างเห็นได้ชัด จากนั้นรถก็ขับส่ายไปมาซ้ายขวาบนท้องถนน ซ่งจื่อเซวียนก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจอย่างกระอักกระอ่วน นึกไม่ถึงว่าเมื่อครู่ตนเองจะเป็นสมาชิกคนหนึ่งของรถคันนั้น
เวลายังเช้าอยู่ ซ่งจื่อเซวียนจึงไปทานข้าวเช้าริมถนน และสูบบุหรี่ก่อนหนึ่งมวน จากนั้นก็เดินไปภัตตาคารอย่างสบายอกสบายใจ
แต่เขาพบว่าขณะที่มัวแต่ทานข้าวอยู่นั้น มีคนเจ็ดแปดคนยืนอยู่หน้าภัตตาคารอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ดูเหมือนกำลังเข้าคิวกันอยู่
เขาเดินไปหางแถวด้วยความอยากรู้อยากเห็น สะกิดไหล่คนสุดท้ายของแถวแล้วถามว่า “พี่ชาย กำลังต่อคิวอยู่หรือเปล่า”
“ใช่ๆ ต่อคิวกินข้าวอยู่”
“ต่อคิวกินข้าวเหรอ” ซ่งจื่อเซวียนประหลาดใจ เขาหยิบโทรศัพท์ออกมาดูเวลา เพิ่งจะเก้าโมงเท่านั้น…
ต้าสือไต้จะเตรียมตัวทำงานตอนเก้าโมงเช้า เปิดประตูสิบโมงครึ่ง และเปิดให้บริการตอนสิบเอ็ดโมง นี่เพิ่งจะเก้าโมงเช้าก็มีคนมาต่อคิวแล้วเหรอ หรือพวกโจวเผิงตัดสินใจทำอาหารเช้าแล้ว ก็ดูจะไม่ใช่ ถ้าเป็นอาหารเช้าเวลานี้ก็สายเกินไปแล้ว
“ต่อคิวกินข้าวเหรอ ต้าสือไต้จัดอีเวนท์ลดราคาเหรอ” ซ่งจื่อเซวียนถามอีกครั้ง
คราวนี้ชายคนนั้นกำลังยุ่งอยู่กับการถ่ายรูป ซ่งจื่อเซวียนเห็นเขาถ่ายรูปป้ายประตูทางเข้าต้าสือไต้ และยังถ่ายรูปคนที่ต่อคิวด้วย เขากำลังจะโพสต์ลงในโมเมนต์ ดังนั้นเมื่อได้ยินซ่งจื่อเซวียนถาม เขาก็หันหน้ามาตอบอย่างจนใจเล็กน้อย “เปล่า แค่ต่อคิวกินข้าวเท่านั้นแหละ”
ซ่งจื่อเซวียนก็เกรงใจไม่กล้าถามอะไรอีก แต่เขาแอบมองโทรศัพท์ของชายคนนั้นและเห็นเนื้อหาในโมเมนต์ของเขา
‘ฉันมาต่อคิวที่ต้าสือไต้แต่เช้า ตอนนี้จะกินข้าวผัดจักรพรรดิสักที่หนึ่งยากเหลือเกิน ฉันมาก่อนเวลาตั้งสองชั่วโมงถึงจะได้คิวที่แปด’
เมื่อเห็นโมเมนต์อันนี้ ซ่งจื่อเซวียนก็เผยสีหน้าไม่เข้าใจ บ้าไปแล้วมั้ง ยืนต่อคิวแต่เช้าเพื่อกินข้าวผัดหนึ่งจานเนี่ยนะ ต้องรู้ว่าตอนนี้ใกล้จะเข้าฤดูหนาวแล้ว เช้านี้ก็หนาวแปลกๆ…
แต่ไตร่ตรองอีกทีก็ไม่น่าแปลก ปีที่แล้วร้านขายเจียนปิ่ง[2] ในเมืองตู้เหมินได้รับความนิยมมาก คิวยาวตั้งแต่เช้าจรดค่ำ ต่อมาร้านจึงตัดสินใจเปิดตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง ใครจะไปรู้ว่าช่วงตีสี่จะยังมีคนต่อแถวยาวอยู่
นี่อาจเป็นผลจากการรวมตัวกันของวงการอาหารและเครื่องดื่ม ยิ่งคนไปร้านนี้มากเท่าไร ก็จะมีคนไปอุดหนุนมากขึ้นเท่านั้น
เมื่อเทียบกันแล้ว แม้ว่าข้าวผัดจักรพรรดิจะมีจำนวนจำกัด แต่ก็มีความหมายเหมือนกัน ทั้งยังชัดแจ้งยิ่งกว่า ลูกค้าบางคนก็มาอวดเพราะมองเป็นสินค้าหรูหรา แต่ก็ช่วยประชาสัมพันธ์ในขณะเดียวกัน กระตุ้นให้อยากรู้อยากเห็นกระทั่งยอมตะเกียกตะกายทุกทางให้ได้กิน แม้ว่าจะมีราคาสูง แต่มีเงินก็ยังไม่ได้กิน ดังนั้นก็ต้องยอมมาต่อคิวล่วงหน้าเท่านั้น
“เหอะๆ พี่ชาย พวกพี่เจ๋งมากเลย เพื่อข้าวผัดจักรพรรดิร้านนี้เนี่ยนะ” ซ่งจื่อเซวียนเอ่ยยิ้มๆ
“แล้วไงล่ะ เมื่อวานในโมเมนต์มีเต็มไปหมดเลย บางคนบอกว่าจะสร้างกลุ่มซื้อข้าวผัด เดิมทีข้าวผัดนี้ขายแค่ยี่สิบที่ต่อวันเท่านั้น ถ้ามีกลุ่มนี้คนอื่นก็คงไม่ได้กินน่ะสิ นายคงไม่รู้ว่าข้าวผัดจักรพรรดิน่ะดังเกินไปแล้ว”
ซ่งจื่อเซวียนได้ยินก็แอบปลื้มใจ สุดท้ายพี่ชายคนนี้ก็ไม่รู้ว่าคนที่อยู่ตรงหน้าเขาคือเชฟที่ทำข้าวผัดจักรพรรดิ
แต่ในขณะที่เขากำลังปลาบปลื้มใจอยู่นั้น ซ่งจื่อเซวียนก็ตระหนักถึงปัญหา นั่นคือพลังในมือของเขาแกร่งกล้าขึ้น วันข้างหน้าไม่ว่าจะเป็นหลินเทียนหนานหรือเสี่ยเฉิงปา เขาต้องถือไพ่เหนือกว่าแน่นอน!
นายทำให้ฉันลำบากใจเหรอ งั้นก็ได้ ฉันจะไม่ทำข้าวผัดจักรพรรดิอีก คนที่ต้องเสียหายคือนาย!
เพราะตอนนี้ข้าวผัดจักรพรรดิไม่เพียงแต่รสเลิศเท่านั้น แต่ที่สำคัญคือ…ดังแล้ว!
ทำอาหารจานหนึ่งให้อร่อยนั้นง่ายมาก แต่ทำให้ดังได้นั้นยากเย็นจริงๆ โดยเฉพาะอาหารที่ราคาแพงแต่ดังจนต้องต่อคิวล่วงหน้า…
แต่ชัดเจนว่าตอนนี้ซ่งจื่อเซวียนทำสำเร็จแล้ว!
เมื่อพูดคุยเสร็จแล้ว ซ่งจื่อเซวียนก็เดินลัดคิวเข้าไปในภัตตาคาร เนื่องจากภัตตาคารมีคนเข้ากะกลางคืนทุกวันจึงเปิดประตูร้านก่อนเก้าโมงเช้า แน่นอนว่าตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาเปิดทำการ ลูกค้าไม่สามารถเข้าไปได้
เมื่อเห็นซ่งจื่อเซวียนเดินเข้าไป ชายที่ต่อคิวคนนั้นก็สบถออกมา “เชี้ย ที่แท้ก็เป็นพนักงานร้านนี้ จะมาถามฉันทำไมวะ”
“ฮ่าๆ คนผ่านทางคนนี้ก็น่าเบื่อจริงๆ คงทำให้นายพูดว่าข้าวผัดดังนั่นแหละ เขาจะได้ดีใจสักหน่อยไง” คนที่ต่อคิวด้านหน้ายิ้มให้
“มีอะไรให้ดีใจกัน เขาไม่ได้เป็นคนผัดข้าวและก็ไม่ใช่เถ้าแก่ ถึงร้านนี้จะโด่งดังแล้ว แต่ก็คงได้เงินเดือนสามสี่พันเท่านั้น คงจะเป็นแค่พนักงานเสิร์ฟนั่นแหละ!” ชายคนนั้นหัวเราะเยาะเย้ย
“ไม่แน่ อาจจะเป็นเชฟข้าวผัดจักรพรรดิก็ได้นะ”
“เขาน่ะเหรอ พอเถอะ ดูสิว่าเขาเพิ่งจะอายุเท่าไร คงไม่มีคุณสมบัติพอให้ขัดรองเท้าเชฟด้วยซ้ำ!”
หลังจากนั้นหลายคนในแถวก็หัวเราะชอบใจ
เวลานี้ ห้องโถงด้านหน้าและห้องครัวด้านหลังต้าสือไต้กำลังยุ่งกันใหญ่ พนักงานเสิร์ฟกำลังเช็ดโต๊ะเก้าอี้ จัดเมนูอาหารและพวกเครื่องดื่ม ในขณะที่ห้องครัวด้านหลังยุ่งกับการหุงข้าวสวยและจัดเตรียมส่วนผสมต่างๆ
ส่วนคนที่ว่างยังคงเป็นซ่งจื่อเซวียนและซางเทียนซั่วที่นั่งสูบบุหรี่และดื่มน้ำอยู่บนเก้าอี้…
แม้ว่าพวกหลี่เทาจะยังคงไม่พอใจพวกเขา แต่สถานการณ์ล่าสุดก็คือแม้แต่เจิ้งฮุยก็ไม่ยุ่งกับพวกเขาแล้ว หลี่เทาก็ไม่กล้าพูดอะไร
ไม่นานก็ถึงเวลาเปิดให้บริการ หลี่เทาก็พูดว่า “เอาล่ะ ทุกคนเตรียมตัวได้แล้ว จะได้ไม่พะวงตอนออร์เดอร์มา”
ทันทีที่หลี่เทาพูดจบเขาก็ได้ยินเสียงกระดาษออกมาจากเครื่องส่งออร์เดอร์ เขายิ้ม “นายคิดว่ายังไง มีงานยุ่งมาแล้ว”
“มีงานยุ่งก็คือมีข้าวกิน ฮ่าๆ ผมจะไปเตรียมออเดิร์ฟเย็น[3]ครับ”
บางคนกำลังเตรียมตัวจนยุ่ง เหล่าอู๋จึงรับออร์เดอร์มาและพูดว่า “เอ่อ…เชฟซ่ง ข้าวผัดจักรพรรดิ ข้าวผัดจักรพรรดิ ข้าวผัดจักรพรรดิ…”
“เหล่าอู๋ สมองแม่งมีปัญหาหรือไง จะติดอ่างทำไม พูดเมนูข้างหลังต่อสิ ฉันรออยู่นะเว้ย!” หลี่เทาตะเบ็งเสียง
“ผมไม่ได้พูดติดอ่างนะ ข้าวผัดจักรพรรดิ ข้าวผัดจักรพรรดิ และข้าวผัดจักรพรรดิสองที่ ทั้งหมดเป็นข้าวผัดจักรพรรดิ” เหล่าอู๋พูดพร้อมไล่ลำดับใบรายการออร์เดอร์
ได้ยินอย่างนั้นหลายคนก็ชะงัก นี่เพิ่งจะเปิดร้านเองนะ ไม่ถึงหนึ่งนาทีก็มีคนสั่งอาหารแล้ว ทั้งยัง…สั่งข้าวผัดจักรพรรดิทั้งหมด!
ซ่งจื่อเซวียนยืนขึ้นอย่างไม่เร่งรีบ “เทียนซั่ว เอาข้าวสวยกับไข่ไก่มา”
“ได้เลยครับอาจารย์ สงสัยว่าเราจะได้เลิกงานเร็วซะแล้วสินะ”
หลังจากพูดจบ ทั้งสองก็แอบหัวเราะกัน
ส่วนหลี่เทาก็หัวเสีย ราวกับว่าตัวเขาเป็นตัวตลกอย่างไรอย่างนั้น…
เหมือนที่ซางเทียนซั่วกล่าวไว้ ทันทีที่ร้านเปิดก็มีออร์เดอร์สั่งข้าวผัดจักรพรรดิจำนวนสิบแปดที่ อีกสิบนาทีต่อมา ก็มีลูกค้าสั่งข้าวผัดจักรพรรดิสองที่สุดท้าย ยังไม่ถึงเที่ยงก็ขายหมดแล้ว
เมื่อเห็นเชฟคนอื่นๆ เริ่มจะยุ่งกัน ซางเทียนซั่วก็ยกมุมปากและพูดว่า “อาจารย์ พวกเราดูเหมือนจะคนละระดับกับเชฟพวกนี้เลยนะ”
“พอเลย อย่าทำตัวยกตนข่มท่าน ถ้าไม่มีอะไรทำก็เลิกงานได้” ซ่งจื่อเซวียนพูดแล้วเริ่มทำความสะอาดเตา
ซางเทียนซั่วก็รีบเข้าไปช่วย “เดิมทีก็ใช่ ร้านพวกเขาเพิ่งเปิด เราก็ขายหมดเกลี้ยงแถมเลิกงานแล้ว”
ซ่งจื่อเซวียนไม่ได้เอ่ยอะไร แต่เขาแอบตื่นเต้นอยู่ในใจ นี่อาจเป็นการขายข้าวผัดจักรพรรดิครั้งที่เร็วที่สุด เขาเชื่อว่านี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้น และวันข้างหน้าอาจยังเป็นเช่นนี้ต่อไปอีกนาน
ขณะทำความสะอาดเตาโทรศัพท์ก็ดังขึ้น เมื่อเห็นว่าเสี่ยเฉิงปาโทรเข้ามาซ่งจื่อเซวียนก็อดยิ้มไม่ได้ เสี่ยเฉิงปานี่เอาใจใส่จริงๆ
“เสี่ยปา!”
“ฮ่าๆ น้องจื่อเซวียนรับเร็วจังเลยนะ ตอนนี้แกไม่ควรจะยุ่งอยู่เหรอ” เสียงหัวเราะของเสี่ยเฉิงปาดังออกมาจากโทรศัพท์
“เสี่ยปาแกล้งผมนะเนี่ย เหอะๆ วันนี้มีคำสั่งอะไรครับ” ซ่งจื่อเซวียนพูดอย่างสุภาพ
“เราพี่น้องจะคุยคำส่งคำสั่งอะไรกันล่ะ วันนี้ฉันไปดูร้านมาสองร้าน อยากถามความเห็นน้องชายสักหน่อย”
ซ่งจื่อเซวียนแอบแสยะยิ้ม กลายเป็นพี่เป็นน้องกันแล้วเหรอ พูดตามตรงเขารับไม่ได้นิดหน่อย อันที่จริงเสี่ยปาอายุมากกว่าเขายี่สิบกว่าปี เรียกอาก็ยังได้
“เสี่ยปาคิดเห็นยังไงบ้างครับ” ซ่งจื่อเซวียนถาม
“ทั้งสองร้านอยู่ในเขตเฉิงตง แกก็รู้ดีว่าฉันคุ้นเคยกับที่นี่ ร้านหนึ่งอยู่ที่ถังโข่ว เป็นร้านของฉันเอง ตอนนี้ขายพวกปิ้งย่าง กิจการก็ธรรมดาๆ ส่วนอีกที่เป็นร้านหม้อไฟอยู่ที่ถนนเฉิงหลิน”
“ผมไม่คุ้นเคยกับที่แถวนั้น ถ้าอย่างนั้นเสี่ยปาก็ตัดสินใจเองได้เลยครับ” ซ่งจื่อเซวียนกล่าว
“จะได้ยังไงเล่า ร้านของเราสองพี่น้องจะให้ฉันตัดสินใจคนเดียวแล้วจบได้ยังไง เอาอย่างนี้ รอแกเลิกงานแล้วฉันจะไปรับแกมาดูที่ด้วยกัน”
ซ่งจื่อเซวียนยิ้มน้อยๆ “เสี่ยปา งั้นคุณมาที่นี่ตอนนี้เลยเถอะ ข้าวผัดจักรพรรดิที่นี่ขายหมดเกลี้ยงแล้วครับ”
“หา อะไรนะ นี่เพิ่งจะกี่โมงเอง ให้ตายเถอะน้องชาย ข้าวผัดจักรพรรดินี่ฮิตจริงๆ ทำเอาพี่ชายใจสั่นยุบยิบ รอเดี๋ยวฉันจะรีบไป!”
ในรถบิวอิคก์เสี่ยเฉิงปานั่งอยู่เบาะหลัง หรี่ตาเล็กน้อยพร้อมนวดลูกเหล็กสองลูกในมือ ทำให้เกิดเสียงชนกันเป็นครั้งคราว
เหลยจื่อกล่าว “เสี่ยปา กิจการนายท่านซ่งกำลังเฟื่องฟูจริงๆ เพิ่งจะเที่ยงก็ขายข้าวผัดยี่สิบที่หมดแล้วเหรอ แถมนี่ไม่ใช่ข้าวผัดธรรมดา ราคาหนึ่งจานแปดร้อยเก้าสิบเก้าหยวนเชียวนะ”
เสี่ยเฉิงปาได้ยินเช่นนี้ก็หัวเราะแต่ยังคงหลับตาแล้วพูดว่า “ถึงจะเฟื่องฟูแค่ไหน…ก็ไม่ใช่ร้านของเขา ในอนาคตพอเขาเปิดร้านอาหารร่วมกับฉัน ร้านนั้นถึงจะเป็นของตัวเขาเอง”
“ถูกต้อง เสี่ยปา เราจะพลิกฟื้นกลับมาใช่ไหมครับ” เหลยจื่อกล่าว
เสี่ยเฉิงปาไม่ได้ตอบรับอะไรแต่มองไปที่จางเปียวซึ่งนั่งอยู่ด้านหน้าแล้วสั่งว่า “เปียวจื่อ อีกเดี๋ยวแกลงจากรถไปก่อน หลังจากพวกเราออกไปแล้ว แกค่อยเข้าไปดูว่าข้าวผัดจักรพรรดิขายหมดแล้วจริงหรือเปล่า”
“รับทราบครับเสี่ยปา เสี่ยหมายถึง…นายท่านซ่งอาจจะโกหกเหรอครับ” จางเปียวถาม
เสี่ยเฉิงปาคลี่ยิ้มเล็กน้อย ประสานสองมือไว้ด้านหลังศีรษะพร้อมเอนหลังก่อนพูดว่า “โกหกเหรอ…บอกไม่ได้ แต่ต้องระวังเขาโม้ไว้หน่อย สมัยนี้…แม้แต่พ่อแท้ๆ ของฉันก็เชื่อไม่ลง”
……………………………………………….
[1] อู่หลิงจือกวง (五菱之光) เป็นชื่อยี่ห้อรถตู้มินิอู่หลง
[2] เจียนปิ่ง (煎饼) คือ เครปจีนมีต้นกำเนิดในมณฑลซานตง ปรุงจากแป้งธัญพืชอุดมไปด้วยโปรตีน
[3] ออเดิร์ฟเย็น (凉菜) ภาษาจีนเรียกว่าเหลียงไช่ คืออาหารเรียกน้ำย่อยที่ชาวจีนนิยมสั่งมาก่อนจะรับประทานอาหารจานหลัก