เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 154 สองเรื่อง
ตอนที่ 154 สองเรื่อง
เมื่อเห็นใบหน้าของซางเทียนซั่ว โดยเฉพาะรอยยิ้มบนใบหน้านั้น ซ่งจื่อเซวียนและฟางรุ่ยก็หงุดหงิดมาก ไอ้หมอนี่ไม่ได้เติมน้ำมันไว้ให้เต็ม ขับไปได้ครึ่งทางรถก็หยุดเสียอย่างนั้น ทำให้พวกเขาสองพี่น้องต้องเดินเข็นรถมาเกือบหนึ่งกิโลเมตร
“โอเค ไม่ต้องสู้แล้ว รีบขึ้นมาเลย”
ในที่สุดรถก็เข็นเข้ามาถึงที่เติมน้ำมันแล้ว ซ่งจื่อเซวียนและฟางรุ่ยก็ได้เข้าไปพักในรถเสียที
แม้ว่านี่จะเป็นฤดูหนาวแต่ทั้งสองก็มีเหงื่อออกไม่น้อย บวกกับลมหนาวที่พัดมาเช่นนี้ พวกเขาจึงหนาวสะท้านไปทั้งตัว
หลังจากเติมน้ำมันเต็มถังแล้ว ซางเทียนซั่วก็รีบเปิดฮีตเตอร์เพื่อให้ทั้งคู่อบอุ่นก่อนเอ่ย “เฮ้ๆ อาจารย์ ขอโทษนะทำให้อาจารย์ต้องเหนื่อย เดี๋ยวคืนนี้ผมจะเลี้ยงเหล้าเอง”
“แบบนี้ยังพอได้…” ฟางรุ่ยกลอกตามองเขา
ซ่งจื่อเซวียนมองดูโทรศัพท์ “ซวยแล้ว เกือบบ่ายสามแล้ว เทียนซั่วนายเร่งเลย วันนี้ฉันมีเรื่องสำคัญ”
“จัดไปอาจารย์!” เมื่อพูดจบ ซางเทียนซั่วก็เหยียบคันเร่ง รถแทบจะพุ่งออกจากปั๊มน้ำมัน แม้แต่คนที่เติมน้ำมันก็วิ่งไล่ตามกันหมด คิดว่าเขาเลี่ยงไม่จ่ายเงินเสียอีก แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าอีกฝ่ายเพิ่งให้เงินไป ก็หยุดฝีเท้าและด่าในใจว่าคนคนนี้ท่าจะบ้า…
ณ ห้องศาลาโบตั๋นที่หอหงเยวี่ย
มองดูเวลาที่ผ่านไปแต่ละนาทีและวินาที ฟังเสียงเข็มวินาทีของนาฬิกาตั้งพื้นที่อยู่ภายในห้อง ลมหายใจของหวงฟาก็หนักหน่วงขึ้น
ในวงการอาหารตู้เหมินไปจนถึงวงการใต้ดิน หวงฟาคือบุคคลสำคัญที่ไม่เคยสั่นคลอน มีใครบ้างที่นัดหมายกับเขาแล้วจะไม่มาถึงก่อนล่วงหน้า
ทว่าในวันนี้ นึกไม่ถึงว่าหวงฟาจะต้องรอเด็กเวรอายุสิบกว่าปีเป็นเวลาครึ่งชั่วโมงที่ห้องส่วนตัวในหอหงเยวี่ยจริงๆ นี่ไม่ใช่ว่าโกรธหรือไม่ แต่ที่สำคัญคือเขาเสียหน้าไปแล้ว
เดิมทีเขาวางแผนเรียกเสี่ยเจียงและเคอซานมาเพื่อให้ดูว่าเขาจะสั่งสอนซ่งจื่อเซวียนอย่างไร ขณะเดียวกันก็จะสอนบทเรียนให้คนแก่ๆ สองคนนี้ด้วย แต่ใครจะรู้…บทเรียนนี้ยังไม่ทันได้เริ่ม เขาก็ถูกสอนก่อนเสียแล้ว
เสี่ยเจียงและเคอหงเทากระดากอายที่จะถาม เพราะเสี่ยหวงยังไม่ได้พูดอะไรเลย พวกเขาจึงได้แต่นั่งดื่มชาอยู่ที่นี่ ช่วงนี้ไม่รู้ว่าพวกเขาไปเข้าห้องน้ำมากี่รอบแล้ว
ตอนนี้เอง เถียนเหวินคุ่ยที่เพิ่งไปเข้าห้องน้ำก็เดินเข้ามา “เสี่ย ผมเพิ่งเห็นคนที่มาห้องไฉ่อวิ๋นเฟย”
“โอ๊ะ ใครกันล่ะ”
หวงฟาค่อนข้างสนใจปัญหานี้ เพราะหลี่ม่านหงกล่าวว่าคนที่ใช้ห้องไฉ่อวิ๋นเฟยไม่ใช่เจ้าหน้าที่ภาครัฐในเมืองตู้เหมิน เขานึกไม่ออกว่าเป็นใครกันที่จะแย่งชิงห้องส่วนตัวกับหวงฟา อีกทั้งหลี่ม่านหงก็ไม่กล้าล้ำเส้นด้วย
เถียนเหวินคุ่ยขมวดคิ้วเล็กน้อย “ไม่ทราบครับ ผมไม่คุ้นหน้า”
หวงฟาหรี่ตาลงและเงียบไปครู่หนึ่ง “ไม่คุ้นหน้างั้นเหรอ ฉันแทบจะรู้จักผู้อาวุโสทั้งหมดที่มาใช้ห้องไฉ่อวิ๋นเฟย หรือว่า…ในตู้เหมินจะมีผู้โดดเด่นหน้าใหม่ที่ฉันยังไม่รู้จักอีก”
“เหอะๆ เสี่ยหวง คิดมากเกินไปแล้วครับ แม้ว่าจะมีผู้โดดเด่นหน้าใหม่อะไรนั่นในตู้เหมิน พวกเขาก็ไม่กล้าแย่งไฉ่อวิ๋นเฟยกับคุณหรอก ผมเดาว่าอาจจะเป็นคนใหญ่คนโตจากที่อื่น ยังไงพวกเขาก็ใช้แค่ช่วงบ่ายเท่านั้น เราไม่ต้องไปสืบหรอกครับ”
ได้ยินเถียนเหวินคุ่ยพูดเช่นนี้ หวงฟาก็รู้สึกว่าสมเหตุสมผลจึงพยักหน้ารับ
ช่วงเวลาประมาณบ่ายสามโมงสิบนาที รถบีเอ็มดับเบิลยูก็ขับมาถึงหน้าหอหงเยวี่ย แต่ที่จอดรถด้านหน้าเต็มหมดแล้ว มีเพียงที่จอดรถส่วนตัวข้างประตูใหญ่ที่ว่างแค่ช่องเดียวเท่านั้น
ซางเทียนซั่วไม่สนใจและขับไปจอดตรงนั้น
“เทียนซั่ว ตรงนี้…ดูเหมือนจะเป็นที่จอดรถส่วนตัวหรือเปล่า จอดได้จะไม่มีปัญหาเหรอ” ซ่งจื่อเซวียนเอ่ยถาม
ซางเทียนซั่วคลี่ยิ้ม “ช่างเถอะ ถ้าไม่พอใจโทรมาให้ย้ายรถก็ได้ ไม่มีใครใช้เราก็จอดไปก่อน”
เขาเพิ่งจะพูดจบ ซางเทียนซั่วก็เห็นรถคันหนึ่งที่จอดอยู่ข้างๆ รถตน เขาอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา “ฮ่าๆๆ อาจารย์ดูสิ มีอู่หลิงพังๆ จอดอยู่ที่นี่ด้วย”
ซ่งจื่อเซวียนมองดู แม้ว่าเขาจะไม่รู้เรื่องยี่ห้อแต่เขาก็ยังจำอู่หลิงจือกวงได้ เป็นรถที่เสี่ยเฉิงปาจัดเตรียมพิเศษให้เขาเมื่อก่อน
เพียงแต่อู่หลิงคันนี้แย่กว่าเสียอีก พื้นผิวสีเทาไม่รู้ว่าลอกออกมากเท่าไร กระทั่งเผยให้เห็นสีพื้นสีดำด้านใน อีกทั้งตัวรถยังมีคราบโคลนอยู่ไม่น้อย ราวกับเพิ่งขับออกมาจากภูเขา
ซ่งจื่อเซวียนก็ยิ้ม หอหงเยวี่ยแห่งนี้ถือเป็นโรงน้ำชาระดับสูงสุดในเมืองตู้เหมิน มีรถคันนี้จอดอยู่ด้านหน้า…และยังอยู่ในที่จอดรถส่วนบุคคล ช่างสะดุดตาจริงๆ
“หา ทำไมล่ะ ไม่ได้นะอาจารย์ ผมจะไปด้วย!”
“นายรู้จักเถ้าแก่หอหงเยวี่ย แถมวันนี้ฉันมาเจอกับคนที่ไม่ธรรมดา ถึงตอนนั้นอาจจะสร้างปัญหาให้นายก็ได้!” ซ่งจื่อเซวียนกล่าว
ซางเทียนซั่วขมวดคิ้วอย่างอดไม่ได้ “สร้างปัญหาเหรอ อาจารย์จะไปเจอใครกัน ไม่ใช่พ่อผมเหรอ”
ซ่งจื่อเซวียนกลอกตามองเขา “เสี่ยหวงน่ะ”
“หา ทำไมไม่บอกผมล่ะ มาเจอเสี่ยหวงงั้นเหรอ” ซางเทียนซั่วชะงัก อย่างไรการพบหน้ากันครั้งนี้สำคัญมาก ในมุมมองของเขา อย่างน้อยซ่งจื่อเซวียนก็ควรบอกเขาก่อนล่วงหน้าสักคำ
ฟางรุ่ยที่อยู่ด้านข้างก็ดูตกใจเช่นกัน เรื่องนี้ซ่งจื่อเซวียนไม่เพียงแต่ไม่บอกซางเทียนซั่ว เขาก็ยังไม่บอกฟางรุ่ยด้วยเช่นกัน
เมื่อเห็นปฏิกิริยาของคนทั้งสอง ซ่งจื่อเซวียนก็คลี่ยิ้ม “ฉันไม่ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญน่ะ รุ่ยจื่อ เข้าไปกับฉัน”
“ครับ นายท่านรอง!”
ซ่งจื่อเซวียนพูดจบก็เคาะประตู แต่ซางเทียนซั่วก็ก้าวเข้ามาทันที “ไม่ได้ งั้นผมยิ่งต้องไปเลย ไม่ว่าจะเป็นเสี่ยหวงเสี่ยลู่หรือใครก็ตาม ผมก็จะไป!”
ซ่งจื่อเซวียนยังไม่ทันได้เอ่ยอะไร ประตูก็เปิดออก พนักงานเสิร์ฟในชุดสูทคนหนึ่งเชิญพวกเขาเข้าไปทันที
“คุณผู้ชายครับ ไม่ทราบว่าได้จองไว้หรือเปล่าครับ”
“ผม…”
“คุณซ่ง!”
ทันทีที่ซ่งจื่อเซวียนเปิดปากก็ได้ยินเสียงผู้หญิงคนหนึ่งดังลงมาจากชั้นสอง ในไม่ช้าผู้หญิงที่มีภูมิฐานคนหนึ่งก็ปรากฏตัวต่อหน้าทุกคน
เถ้าแก่หอหงเยวี่ย หลี่ม่านหง
เมื่อเจ้าของเสียงนั้นมาถึง แม้ว่าหลี่ม่านหงจะสวมรองเท้าส้นสูง แต่ก้าวเดินของเธอก็รวดเร็วและมั่นคง ชั่วพริบตาเธอก็เดินลงมายังชั้นล่างและอยู่ตรงหน้าซ่งจื่อเซวียนแล้ว
“คุณซ่ง คุณมาสายนะคะ เสี่ยหวงรอคุณมาครึ่งชั่วโมงแล้วค่ะ” หลี่ม่านหงพูดด้วยรอยยิ้มสุภาพ
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้าและคลี่ยิ้ม “ระหว่างทางมีเหตุให้ล่าช้านิดหน่อยน่ะ อยู่ห้องส่วนตัวห้องไหนเหรอครับ”
“ศาลาโบตั๋นค่ะ ฉันจะพาคุณไปค่ะ”
หลี่ม่านหงพูดพลางเหลือบมองซางเทียนซั่วอีกครั้ง แม้ว่าจะเป็นสายตาที่ราบเรียบ แต่เห็นได้ชัดว่ามีบางอย่างจะพูด
อย่างไรครั้งก่อนหลี่ม่านหงก็เตือนซางเทียนซั่วแล้วว่าเขาเป็นท่านชายของตระกูลซาง ไม่เหมาะที่จะสุงสิงกับคนเหล่านี้ แต่คาดไม่ถึงว่าครั้งนี้เขาจะมาที่นี่อีกครั้ง
เมื่อเดินขึ้นไปบนชั้นสอง หลี่ม่านหงก็หยุดที่ประตูห้องส่วนตัว “คุณซ่ง ห้องนี้ค่ะ”
ขณะพูด หลี่ม่านหงก็ผลักประตูเดินเข้าไป เวลานี้พวกเสี่ยหวงรู้สึกอับอายขายขี้หน้าไม่ไหวแล้ว
หลังจากที่รอมานาน เคอหงเทาและเสี่ยเจียงก็ดื่มน้ำไปเยอะพอสมควรจนใบชาในปอดใกล้จะลอยขึ้นมา เสี่ยหวงก็อายเกินกว่าจะเอ่ยปาก ถูกคนอื่นปล่อยให้รอเก้อกว่าครึ่งชั่วโมง เขาขายหน้าไปจนถึงบ้านยายแล้ว
เมื่อเห็นหลี่ม่านหงเข้ามา เสี่ยหวงก็มีชีวิตชีวาขึ้นมา ขณะที่กำลังจะเอ่ยปากพูด หลี่ม่านหงก็เอ่ยด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า “เสี่ยคะ พวกคุณซ่งมาแล้วค่ะ”
ระหว่างที่พูด ซ่งจื่อเซวียนก็เข้าไปในห้องส่วนตัวแล้ว เขาใช้เวลาสั้นที่สุดในการมองไปรอบๆ ห้องส่วนตัว เคอหงเทา เสี่ยเจียงและเถียนเหวินคุ่ยล้วนอยู่ในสายตาเขา แต่แล้วสายตาของเขาก็ตกไปอยู่ที่หวงฟาทันที
“เสี่ยหวง ขอโทษนะที่ผมมาสาย”
ขณะที่ซ่งจื่อเซวียนพูด เขาก็เดินไปตรงหน้าหวงฟา รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาดูสุภาพแต่ดูมีนัยยะเล็กน้อย หลี่ม่านหงที่อยู่ด้านข้างก็มองออกทันทีว่าเขาจงใจแสดงออกมา
และเหตุผลก็มีเพียงข้อเดียวนั่นคือทุกคนในห้องนี้ล้วนนับถือเสี่ยหวง แต่สำหรับซ่งจื่อเซวียนนั้นไม่ใช่
สิ่งที่เขาต้องการอธิบายคือที่ผมซ่งจื่อเซวียนยิ้มให้คุณเป็นเพียงมารยาท ส่วนอย่างอื่น…ไม่ว่าจะเป็นความเคารพหรือความกลัวไม่มีเลยสักนิด
หวงฟาเงยหน้ามองซ่งจื่อเซวียนสิบกว่าวินาทีโดยไม่เอ่ยปากพูดอะไร ถ้าเป็นคนทั่วไปที่โดนคนอย่างเขามองแบบนี้อาจจะมีขนลุกขนพองกันบ้าง แต่ไม่ใช่กับซ่งจื่อเซวียน เขายังคงยิ้มอยู่ตลอดจนสุดท้ายเขาก็ค่อยๆ เก็บรอยยิ้มไป
หวงฟาคลี่ยิ้ม “เหอะๆ ฉันได้ยินมานานแล้วว่ามีนายท่านรองซ่งปรากฏตัวขึ้นที่เขตเฉิงตง นับว่าเป็นชื่อเสียงที่โด่งดังมานาน”
เมืองตู้เหมินไม่ใหญ่มากนัก ผู้ที่โดนคนในพื้นที่ขนานนามว่าเป็นเสี่ยหรือนายท่านนั้นมีไม่มาก หากมีนายท่านรองคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นมาจะต้องกระจายข่าวไปถึงหูของหวงฟาอยู่แล้ว
“เสี่ยหวงสุภาพเกินไปแล้ว ผมจะกล้าเรียกตัวเองว่านายท่านต่อหน้าคุณได้ยังไง” ซ่งจื่อเซวียนแค่นหัวเราะเบาๆ
“โอ้ ทำไมล่ะ” หวงฟายังคงนั่งอยู่บนโซฟา เห็นได้ว่ากำลังใช้ตำแหน่งในตอนนี้แบ่งแยกสถานะอย่างชัดเจน
ข้อแรก ฉันนั่งอยู่ส่วนนายยืน นี่คือความแตกต่างในสถานะของเราสองคน ข้อสอง ซ่งจื่อเซวียนบอกว่าไม่กล้าเรียกตัวเองว่านายท่านต่อหน้าหวงฟา ที่หวงฟาถามว่าเพราะอะไร ก็เพื่อให้อีกฝ่ายพูดออกมาเองว่าในแง่ของคุณสมบัติ ประสบการณ์และลำดับอาวุโส ตัวซ่งจื่อเซวียนไม่คู่ควรกับการเรียกว่านายท่านเลย!
แต่ซ่งจื่อเซวียนกลับยกยิ้มแล้วเอ่ย “เพราะคุณแก่กว่าผม ผมยังเด็กอยู่น่ะ”
เมื่อคำพูดนี้ได้เปล่งออกมา ทุกคนในที่นี้ก็ตกตะลึงกันหมด คำพูดนี้…เป็นการยั่วยุอย่างชัดเจน!
โดยเฉพาะหลี่ม่านหง แม้ว่าเธอจะทำตัวสำรวมอยู่ด้านข้าง แต่ภายในใจกลับสั่นสะเทือนอยู่ไม่น้อย
ในช่วงหลายปีที่เธออยู่ในหอหงเยวี่ย เธอเคยเห็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงและผู้มีอำนาจมากมาย ในตู้เหมินนอกจากเจ้าหน้าที่ของรัฐ หวงฟาก็ถือเป็นคนที่ใหญ่ที่สุด คนที่กล้าพูดกับเขาแบบนี้เป็นคนแรกแน่นอนว่าคือซ่งจื่อเซวียน!
ชายหนุ่มคนนี้…ไม่ธรรมดา
หวงฟาก็ตกตะลึงเช่นกัน เขาไม่เคยคิดเลยว่าซ่งจื่อเซวียนจะตอบแบบนี้ อีกฝ่ายไม่กล้าเรียกตัวเองว่านายท่าน ไม่ใช่เพราะคุณสมบัติ ประสบการณ์หรือลำดับอาวุโส แต่เพราะอายุ พูดง่ายๆ ก็คืออีกฝ่ายกำลังบอกหวงฟาว่าตยยังเด็กอยู่ และอนาคตของวงการนี้จะเป็นของคนหนุ่มสาวอย่างพวกเขา
“ฮ่าๆๆๆ โอเคๆๆ ยังเด็กอยู่จริงๆ นั่นแหละ มานั่งสิ!”
ในที่สุดหวงฟาก็ให้ซ่งจื่อเซวียนนั่งลง แต่รอยยิ้มของเขาดูกระอักกระอ่วนอย่างชัดเจน อันที่จริงเขาไม่รู้ว่าหากมีบทสนทนาเช่นนี้เกิดขึ้นอีก ไอ้เด็กโง่เขลาคนนี้จะพูดอะไรที่ไม่น่าฟังอีกบ้าง
เมื่อเห็นเช่นนี้หลี่ม่านหงก็เอ่ย “เสี่ยคะ งั้นฉันขอตัวก่อนนะคะ ยังต้องไปทักทายที่ห้องส่วนตัวอื่นต่อค่ะ”
หวงฟาพยักหน้าและโบกมือ “ไปเถอะ”
หลังจากหลี่ม่านหงจากไป หวงฟาก็มองซางเทียนซั่วและฟางรุ่ยก่อนยิ้มบางๆ “นายท่านซ่งน่าเกรงขามซะจริง ออกมาข้างนอกก็พาบอดี้การ์ดติดตัวมาด้วย ต่างจากพวกเราที่มาที่นี่คนเดียว”
“เหอะๆ เสี่ยหวงก็สุภาพไปแล้ว นี่ไม่ใช่บอดี้การ์ดอะไรหรอก เป็นเพื่อนกันทั้งนั้น พวกเขากลัวว่าผมที่ไม่เคยมาสถานที่สูงส่งแบบนี้จะทำตัวขายขี้หน้าเอา เลยมาช่วยผมอีกแรง” ซ่งจื่อเซวียนพูดด้วยรอยยิ้ม
หวงฟาได้ยินก็พยักหน้า พูดในใจว่าอีกฝ่ายไม่ใช่ชายหนุ่มธรรมดา แม้อาจจะไม่ใช่มังกรหรือหงส์ในหมู่ผู้คนแต่ก็ใจกล้าจริงๆ
แต่ไม่รู้ว่าความใจกล้านี้เป็นความกล้าหาญของวีรบุรุษ…หรือรนหาที่ตายเพราะไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำกันแน่!
“เหอะๆ ซ่งจื่อเซวียน ครั้งนี้…”
ไม่รอให้หวงฟาพูดจบ ซ่งจื่อเซวียนก็เอ่ยปากพูดก่อน “เสี่ยหวง ที่ผมนัดคุณมาในวันนี้…เพื่อสองเรื่องหลักๆ เท่านั้น!”
………………………………………………