เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 153 สู้ๆ นะ!
ตอนที่ 153 สู้ๆ นะ!
เมื่อเห็นปฏิกิริยาของซ่งจื่อเซวียน หานหรงก็ไม่สบายใจเล็กน้อย เพราะซ่งจื่อเซวียนเชื่อฟังมาตั้งแต่เล็ก และไม่ค่อยได้ทำความรู้จักกับเพศตรงข้ามมากนัก นี่เป็นครั้งแรกที่ค่อนข้างสนิทด้วยซ้ำ ความจริงเธอในฐานะแม่ก็ไม่อยากขัดขวางเช่นกัน
“นี่ เจ้ารอง แม่เข้าใจความรู้สึกของแก แต่แกต้องเชื่อฟังนะ ผู้หญิงดีๆ มีอีกเยอะ แล้วทำไมต้องเป็นเธอเท่านั้นด้วย”
หานหรงพูดจบ ซ่งจื่อเซวียนก็ยิ่งงงว่าทั้งหมดนี้มันเกี่ยวอะไรกัน
อันที่จริงที่เขาชอบถังหย่าฉีอยู่ในใจนั้นไม่ใช่เรื่องผิด แต่ก็ไม่ได้แสดงท่าทีปักใจว่าจะต้องเป็นเธอเท่านั้น ทำไมแม่ถึงตอบโต้แรงขนาดนี้ล่ะ
“แม่ ลูกไม่ได้บอกว่าจะต้องเป็นเธอเท่านั้นสักหน่อย แม่…เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ลูกแค่อยากรู้ว่าเหตุผลคืออะไร ถังหย่าฉีล้ำเส้นแม่หรือเปล่า”
ได้ยินดังนั้น หานหรงก็เงียบไปครู่หนึ่ง วางชามข้าวในมือลงแล้วพูดว่า “เจ้ารอง จริงๆ แล้วแม่ไม่ได้จะคัดค้านแก แกก็รู้ว่าพอฉันเจอแม่หนูคนนั้นฉันก็ชอบ แต่ว่า…”
ขณะที่หานหรงพูดก็มองซ่งอีหนานด้วยความลำบากใจ ราวกับยากที่จะเอ่ยออกมา
ซ่งอีหนานก็รีบเข้ามาเสริมต่อ “โธ่เอ๊ย เจ้ารอง แม่ไม่อยากให้นายทำลายครอบครัวคนอื่นไง”
ซ่งจื่อเซวียนได้ยินก็สับสน “ครอบครัวเหรอ”
ประโยคนี้ทำให้เขางงงวยเต็มที่ ถังหย่าฉียังไม่จบมหาวิทยาลัยเลยนะ แล้วจะไปมีครอบครัวที่ไหน
แต่เมื่อใคร่ครวญแล้ว เหตุผลที่ถังหย่าฉีเมาก็เพราะพ่อของเธอยืนกรานจะให้เธอไปต่างประเทศ หรือว่าอาจจะหมายถึงเรื่องนี้หรือเปล่า แต่นั่นไม่ได้หมายถึงการทำลายครอบครัวเสียหน่อย…
“แม่ พี่ เมื่อคืนคุยเรื่องอะไรกันแน่เนี่ย”
“ยังต้องคุยอะไรกันอีก คนในครอบครัวเธอมารับเธอไป” ซ่งอีหนานกลอกตามองเขา
“คนในครอบครัว? พ่อของเธอมาเหรอ” ซ่งจื่อเซวียนอึ้งงันไปก่อนเอ่ยถาม
ได้ยินประโยคนี้ หานหรงและซ่งอีหนานก็มองหน้ากัน ซ่งอีหนานขมวดคิ้วเล็กน้อย “พ่อของเธอเหรอ พ่อของเธอชื่อ…ไต้ทงหรือเปล่า”
เหตุผลที่ซ่งอีหนานพูดเช่นนี้ก็เพราะเธอเห็นว่าชื่อคนที่โทรมาในโทรศัพท์ของถังหย่าฉีคือไต้ทง และตอนนั้นเธอกับหานหรงต่างคิดว่าไต้ทงเป็นผู้ชายของถังหย่าฉี
“หา? แต่…แม่หนูคนนี้แซ่ถังไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมพ่อของเธอถึงแซ่ไต้ล่ะ” หานหรงก็เอ่ยถามเช่นกัน
ซ่งจื่อเซวียนถอนหายใจอย่างจนใจ “ไต้ทงเหรอ นั่นคนขับรถของเธอ ฐานะครอบครัวของหย่าฉีค่อนข้างดี พ่อของเธอเลยจัดคนขับรถให้ เธอจะได้ไปกลับมหา’ลัยสะดวก”
ได้ยินคำตอบของซ่งจื่อเซวียน ทั้งคู่ก็อึ้งตาค้างไปสองสามวินาที จากนั้นหานหรงก็หัวเราะออกมา
“ฉันก็สงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกัน แม่หนูคนนี้จะมีผู้ชายตั้งแต่อายุยังน้อยขนาดนี้ได้ยังไง” หานหรงปิดปากแล้วหัวเราะ “ยัยเด็กคนนี้ ทำให้เดามั่วซั่วทั้งวันจนฉันคิดไปไกลโขแล้ว”
ซ่งอีหนานสีหน้ากระอักกระอ่วน “เอ่อ…จะรู้ได้ยังไงเล่าว่าเธอมีคนขับรถส่วนตัว เจ้ารอง ผู้หญิงคนนี้รวยมากเหรอ”
ซ่งจื่อเซวียนกลอกตามองบน หยิบชามข้าวมาตักกินคำหนึ่ง “ผมน่ะโดนพวกแม่กับพี่สองคนทำตกใจเกือบตายแน่ะ ผมก็คิดไปไหนต่อไหนแล้ว คิดดูดีๆ สิ หย่าฉียังเป็นนักศึกษาอยู่เลย เธอจะแต่งงานได้ยังไงล่ะ”
“ใช่ๆๆ เจ้ารองพูดถูก สมองแก่ๆ ของฉันไม่ทำงานแล้ว แม่ขอคืนคำนะ สิ่งที่เพิ่งพูดไปเมื่อกี้ไม่นับ แม่ยังเห็นด้วยนะ!” หานหรงกล่าว
ซ่งจื่อเซวียนไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร ปกติซ่งอีหนานเป็นตัวตลกในครอบครัว สรุปว่าคราวนี้ทำให้หานหรงกลายเป็นตัวตลกไปด้วยเสียแล้ว…
“เฮ้เจ้ารอง งั้น…เธอเป็นนักศึกษา คงไม่ได้ไม่ชอบแกหรอกมั้ง” หานหรงครุ่นคิด
“โธ่แม่ ตอนนี้เจ้ารองหาเงินได้แล้ว กลัวอะไรล่ะ ถ้าแม่เป็นนักศึกษาจะไม่ชอบผู้ชายที่หาเงินได้เหรอ” ซ่งอีหนานกล่าว
“แกจะรู้อะไร เงินคือเงิน ความรู้คือความรู้ การแต่งงานที่คำนึงถึงสถานะทางการเงินน่ะไม่ถูกต้อง…เฮ้อ สิ่งที่ฉันรู้สึกเสียใจที่สุดในชีวิตก็คือฉันไม่ได้ส่งเสียพวกแกสองคนเรียน ตอนนั้นครอบครัวเรายากจนเกินไป”
ขณะที่พูด หานหรงก็น้ำตาคลอเบ้า เธอผ่านความยากลำบากมาทุกรูปแบบเพื่อเลี้ยงดูลูกสองคนให้เติบโต และสิ่งที่ทำให้เธอเศร้าที่สุดคือเธอไม่ได้ส่งเสียลูกๆ ให้เรียนต่อเลย
เมื่อเห็นเช่นนี้ ซ่งจื่อเซวียนและซ่งอีหนานต่างก็วางตะเกียบลงและขยับใกล้เข้ามา
“แม่ มันไม่ง่ายเลยสำหรับแม่ ฉันกับเจ้ารองต่างก็รู้เรื่องนี้ดี”
“ใช่ครับแม่ ตอนนี้ดีขึ้นแล้วไม่ใช่เหรอ ทำไมแม่ถึงคิดแต่เรื่องพวกนี้อยู่เรื่อยล่ะ สำหรับลูกแม่สุดยอดจริงๆ”
หานหรงพยักหน้าทั้งน้ำตา “พวกแกสองคนเป็นลูกที่ดีของแม่ แม่ไม่ร้องแล้ว มากินข้าวกันเถอะ อ้อจริงสิเจ้ารอง ทางพ่อของแก…”
“นายอย่าพูดไปเรื่อย ฉันจะไปได้ยังไง ฉันเป็นผู้หญิงรับไม่ไหวหรอกนะ ฉันจะบอกให้นะเจ้ารอง นั่นเป็นธุรกิจของพ่อเรา ถ้านายไม่รับช่วงต่ออาจจะตกเป็นเป้าของคนอื่นได้” ซ่งอีหนานเอ่ย
หานหรงพยักหน้า “เจ้ารอง ฉันจะไม่ปิดบังแก เมื่อตอนกลางวันฉันก็ไปที่นั่นอีกรอบ ฉันกังวลเกี่ยวกับสุขภาพของเขา เราเลยคุยกันเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วย”
“เขาเริ่มพูดก่อนใช่ไหม” ซ่งจื่อเซวียนเอ่ยถาม
“ใช่ บริษัทที่เขาลงทุนมีเยอะมาก นอกจากตลาดอาหารทะเลหลายแห่งในเมืองตู้เหมินแล้ว ยังมีร้านอาหารทะเลอีกสองแห่ง บริษัทภาพยนตร์โทรทัศน์หนึ่งแห่ง และปล่อยเช่าหน้าร้านหลายห้อง แต่เขาไม่ใช่ผู้ถือหุ้นรายเดียวในธุรกิจเหล่านี้ เขาก็เลยกังวล…”
“กังวลว่าถ้าเกิดอะไรขึ้นกับเขา ผู้ถือหุ้นรายอื่นจะเริ่มแย่งชิงกันทันทีสินะ” ซ่งจื่อเซวียนถาม
หานหรงพยักหน้า “ถูกต้อง เห็นว่าในส่วนนี้อารองของแกพอมีหุ้นส่วนอยู่บ้าง นี่ถือว่าเป็นคนกันเอง แต่กับคนอื่นๆ เขาไม่แน่ใจ เจ้ารอง เรื่องนี้…แกคิดทบทวนหน่อยเถอะนะ”
ซ่งจื่อเซวียนเข้าใจว่าแม่ยังหวังว่าเขาจะรับช่วงต่อธุรกิจของซ่งอวิ๋นฮั่น อย่างไรถ้าทำแบบนั้นจะช่วยให้เขาต้องดิ้นรนน้อยลงหลายปี แต่ด้วยนิสัยของเขานั้นคงไม่ยอมรับช่วงต่อจริงๆ
สำหรับบางเรื่อง การก้าวไปทีละขั้นด้วยตัวเองจะเหมาะกับซ่งจื่อเซวียนมากกว่า
ทว่าเขาก็ไม่ได้ปฏิเสธหานหรงไปตรงๆ แต่พยักหน้า “ก็ได้แม่ ลูกจะคิดดู”
หลังจากกินข้าวเสร็จ ในบ้านก็พูดคุยกันสบายๆ จากนั้นซ่งจื่อเซวียนก็พักผ่อน
ช่วงนี้ซ่งจื่อเซวียนแทบไม่ได้เข้านอนเร็วเลย แต่วันนี้มีโอกาสเข้านอนเร็วซ่งจื่อเซวียนกลับนอนไม่หลับเสียได้
ขณะเอนกายอยู่บนเตียง ดูเหมือนจะมีหลายสิ่งวนเวียนอยู่ในหัวเขาเต็มไปหมดจึงไม่รู้สึกง่วงเลย
ธุรกิจของซ่งอวิ๋นฮั่น การพบเจอกับท่านเป้ยเล่อในวันนี้ เรื่องของถังหย่าฉี แน่นอนว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดคือเขาจะไปพบกับเสี่ยหวงในบ่ายวันพรุ่งนี้
อันที่จริงซ่งจื่อเซวียนคาดหวังที่จะได้พบกับเสี่ยหวงมานานแล้ว จะได้บอกเขาด้วยตัวเองว่าเขาไม่มีบันทึกหย่งซั่นอยู่ในมือ แต่เมื่อวันนั้นมาถึงจริงๆ ในใจเขาก็กังวลอยู่บ้าง
ไม่ใช่ความกลัวแต่เป็นความกังวลใจโดยสัญชาตญาณ อย่างไรสถานะของหวงฟาก็เป็นที่ประจักษ์อยู่แล้ว
วันรุ่งขึ้น ร้านอาหารร่ำรวยยังมีคนเข้าคิวอยู่หน้าร้าน แม้ว่าจะมีคนไม่เยอะมาก ดูรวมๆ ไม่ถึงสิบคนแต่ก็ยังเยอะกว่าเมื่อก่อนหลายเท่า
จนกระทั่งหลังมื้อเที่ยง ข้าวผัดจักรพรรดิก็ขายได้สิบสามที่ ถึงแม้จะไม่ดีเท่าเมื่อวานแต่ก็เพียงพอที่จะทำให้เสี่ยเฉิงปาตื่นเต้นดีใจ
เมื่อดูเวลาก็เกือบบ่ายสองแล้ว ซ่งจื่อเซวียนรีบเก็บข้าวของแล้วเรียกซางเทียนซั่วให้ขับรถไปส่งเขาที่หอหงเยวี่ย
เวลาจวนจะบ่ายสองครึ่ง และรถเมอร์เซเดส-เบนซ์ เอส-คลาสสีดำคันหนึ่งก็ค่อยๆ จอดในที่จอดรถซึ่งจองไว้ หวงฟาลงรถมาจากเบาะหลังแล้วมองดูนาฬิกา
“ใกล้จะถึงเวลาแล้ว เดาว่าเด็กนั่นคงจะมาถึงแล้ว”
“เสี่ยหวง เสี่ยซานกับเสี่ยเจียงมาแล้วครับ” เถียนเหวินคุ่ยมองที่จอดรถอีกสองคันแล้วกล่าว
หวงฟาได้ยินก็คลี่ยิ้ม “อืม เหตุผลที่ฉันเรียกพวกเขามา…ก็เพื่อสอนบทเรียนให้พวกเขา บทเรียนนี้น่ะไม่ได้สอนมานานแล้ว เหอะๆ ตอนนี้สองคนนี้ยิ่งไม่เข้าข้างเราเรื่อยๆ แล้ว”
“ใช่ครับเสี่ย ผมได้ยินมาว่าเสี่ยเจียงเข้าร่วมพิธีเปิดร้านอาหารร่ำรวย ส่วนทางเสี่ยซาน…ช่วงนี้ไม่ค่อยมีการเคลื่อนไหวมากนัก เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ค่อยกระตือรือร้น”
“เหอะๆ ฉันจะทำให้พวกเขากระตือรือร้นเอง”
พูดจบ หวงฟาก็สาวเท้าเดินเข้าไปในหอหงเยวี่ย
ณ ห้องส่วนตัวศาลาโบตั๋น
ในหอหงเยวี่ย ไฉ่อวิ๋นเฟยนั้นเป็นอันดับหนึ่งของห้องส่วนตัวอย่างไม่ต้องสงสัย แต่วันนี้มีการจองล่วงหน้าไว้แล้ว หวงฟาจึงใช้ห้องศาลาโบตั๋นชั่วคราว
แม้ว่าจะเทียบไม่ได้กับไฉ่อวิ๋นเฟย แต่ยังมีการออกแบบที่มีเอกลักษณ์ ภายในห้องส่วนตัวเป็นแบบโบราณ ทั้งฉากกั้นและของประดับตกแต่งแทบจะเป็นตามในวรรณกรรมเรื่องศาลาโบตั๋น สรุปก็คือยังคงสง่างาม
เมื่อเห็นหวงฟาเดินเข้ามา เคอหงเทาและเสี่ยเจียงก็ลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว
“เสี่ยหวง!”
“เสี่ย คุณมาแล้ว”
เสี่ยเจียงและเคอหงเทาต่างก็ประสานหมัดคารวะ ในขณะที่หวงฟายกยิ้มเล็กน้อยและนั่งบนโซฟา
หากเป็นในช่วงปกติ หวงฟาจะประสานหมัดตอบรับพวกเขาเป็นมารยาท แต่วันนี้เขาไม่ได้ทำ การแสดงออกของสองคนตรงหน้าในช่วงนี้ทำให้เขาผิดหวังอย่างชัดเจน ดังนั้นในวันนี้หวงฟาจึงมองข้ามการตอบกลับมารยาทเป็นธรรมดา
“ทั้งสองคน รอนานแล้วสินะ”
“เหอะๆ เรามาถึงเร็วต่างหากครับ แต่…ไม่รู้ว่าที่เสี่ยหวงเรียกพวกเรามาในวันนี้…”
เสี่ยเจียงทราบล่วงหน้าไม่เท่าไรก็มาที่หอหงเยวี่ยทันที กระทั่งไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคราวนี้มาทำอะไร แต่ในเมื่อเสี่ยหวงเรียกเขามา เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องมาก่อน
เสี่ยหวงคลี่ยิ้ม “ใจเย็น เสี่ยเจียงอดทนรอสักประเดี๋ยว เสี่ยซาน นาย…อย่าบอกนะว่าก็ไม่รู้จุดประสงค์ที่มาเหมือนกัน”
“ไม่ ไม่มีทาง ผมรู้ดี” เคอหงเทารีบโพล่งออกไป แม้ว่าเขาจะถูกตามทางโทรศัพท์ให้มากะทันหัน แต่กลับรู้ว่าบ่ายวันนี้เสี่ยหวงมาพบกับซ่งจื่อเซวียนที่หอหงเยวี่ย
“ถึงเวลาแล้ว งั้นเรารอกันก่อนเถอะ” หวงฟามองดูนาฬิกาอีกครั้ง
เสี่ยเจียงรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อยเมื่อได้ยินความหมายในคำพูดนี้ เขาอดไม่ได้ที่จะมองไปที่เคอหงเทา แต่เมื่อเห็นเสี่ยหวงชัดเจนว่าไม่อยากพูดอะไร เขาก็อายเกินกว่าจะเอ่ยปากถาม ในใจกระสับกระส่ายทันที
หวงฟาไม่รีบร้อน หยิบถ้วยชาขึ้นมาจิบแล้วหลับตางีบ
เขาสงบเสงี่ยม แต่เคอหงเทาและเสี่ยเจียงกลับยิ่งพูดพึมพำกันมากขึ้น เสี่ยเจียงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเลย ส่วนเคอหงเทาถึงแม้จะรู้ว่าเสี่ยหวงจะพบกับซ่งจื่อเซวียนวันนี้ แต่ก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมถึงเรียกเขามาด้วย
ทุกคนรออย่างเงียบๆ แต่เมื่อรอมาครึ่งชั่วโมงแล้ว หวงฟาก็นั่งไม่ติดอีกต่อไป
เขายกมือขึ้นแล้วดูนาฬิกาอีกครั้ง “บ่ายสามแล้ว…เสี่ยซาน นายได้แจ้งเรื่องนี้แล้วใช่ไหม”
“ใช่แล้วครับเสี่ย เขาบอกว่าจะมา”
ร่องรอยความไม่พอใจปรากฏบนใบหน้าของหวงฟา มาพบกับหวงฟาอย่างเขายังจะกล้ามาสาย ซ่งจื่อเซวียนเด็กรุ่นใหม่คนนี้ช่างไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำจริงๆ!
……
บนทางหลวง ซ่งจื่อเซวียนและฟางรุ่ยกำลังผลักบีเอ็มดับเบิลยูซีรี่ส์เจ็ดสีแชมเปญไปข้างหน้า ฟางรุ่ยปาดเหงื่อบนหน้าผากแล้วมองไปข้างหน้า
“นายท่านรอง ถึงปั๊มน้ำมันแล้ว”
ซ่งจื่อเซวียนก็มองไปทางนั้นและพยักหน้า “แม่งเอ๊ย เทียนซั่วเล่นเราแล้ว…”
ขณะที่กำลังพูด ซางเทียนซั่วก็โผล่หัวมานอกหน้าต่าง “เฮ้ย อาจารย์ เหลืออีกไม่กี่ก้าวสุดท้ายแล้ว สู้ๆ นะ ใกล้จะถึงปั๊มน้ำมันแล้ว!”
……………………………………………