อัศวินดำคุงไม่อยากเป็นเซ็นไต - ตอนที่ 53 โปรโต และ ความอิจฉา
ชีวิตของฉันมันไม่ได้สวยหรูนักถ้าเทียบกับคนอื่นๆ
ทั้งสภาพแวดล้อมและผู้คนรอบตัวก็ไม่เป็นมิตรเลยสักนิด
『ฉันมันก็แค่คนไร้ค่า』
คนที่ควรจะเรียกว่าพ่อแม่กลับอยากให้ฉันตาย คนที่รับฉันมาเรียนก็ทำเหมือนฉันเป็นตัวน่ารำคาญ ค่อยบ่นสาปแช่งตอนฉันไม่อยู่เสมอ ไม่คิดจะสนใจพูดจาด้วยดีๆ สักครั้ง ราวกับฉันเป็นเพียงส่วนเกิน ฉันจึงยอมแพ้ที่จะทำให้พวกเขายอมรับกับคนที่ไม่ได้มองว่าฉันเป็นครอบครัว
『สำหรับฉันควรจะมีชีวิตอยู่ต่อไปเหรอ? 』
ภาพตอนที่พ่อกับแม่ตายยังคงติดอยู่ในหัวของฉันไม่จากไปไหน แถมมันยังเข้ามาตอกย้ำภายในฝันอยู่บ่อยๆ จนทำให้นึกไม่ออกแล้วด้วยซ้ำว่าเมื่อก่อนเคยมีความสุขกับเขาไหม
การได้หนีออกมาอยู่คนเดียวก็นับว่าช่วยฉันได้พอสมควร
แม้จะเป็นเพียงอพาร์ตเมนต์โทรมๆ ที่มีไว้แค่ซุกหัวนอนได้ มันก็ยังดีกว่าต้องไปอยู่ร่วมกับคนอื่น
ชีวิตของฉันตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับคนที่ตายไปแล้ว
『โปรโตสูท? อะไรล่ะนั่น』
ฉันได้พบกับบางสิ่งเข้า เมื่อเดินตามเสียงของใครบางคนเข้าไปยังอาคารแห่งหนึ่งราวกับถูกเชื้อเชิญ
เสียงของบางสิ่งที่กำลังร้องขอความช่วยเหลือ
มันกำลังต้องการฉัน
『แกเป็นคนเรียกฉันมาเหรอ? 』
ปลายทางที่ฉันถูกเชื้อเชิญ มันคือชุดสูทที่ถูกวางเอาไว้ในส่วนลึกของความมืดมิด
ทันทีที่ฉันสัมผัสกับมัน ความรู้สึกอันร้อนผ่าวก็ค่อยๆ เข้ามาหลอมหัวใจที่ถูกแช่แข็งเอาไว้
「อึก!? 」
ฉันตื่นขึ้นมาแล้วค่อยๆ ลุกขึ้น
ตั้งสติก่อนจะเช็ดเหงื่อที่ท่วมหน้าผาก
「นัน่……มันฝัน……อะไรกัน……」
ในฝัน…มันเป็นความทรงจำของใคร?!
ความรู้สึกที่ไม่อยากจะนึกถึง แต่ฉันกลับต้องการจำมันให้ได้…!!
สิ่งที่ย้อนแย้งกันอยู่ภายในความคิด ทำให้ฉันลุกจากเตียงแล้วเดินไปตรงตู้เย็นเพื่อหยิบน้ำขึ้นมาดื่ม
หลังดับกระหายและสงบอารมณ์ ฉันก็รู้ตัวว่าฉันไม่ได้นอนอยู่ในห้องของตัวเอง
「……จริงด้วยสิ ตอนนี้ไม่ได้อยู่ที่บ้าน……」
เนื่องจากมีเอเลี่ยนบุกมากลางดึก ฉันจึงต้องพักอยู่ที่สำนักงานใหญ่ของจัสติสครูเซเดอร์
ด้วยเหตุผลบางอย่าง ฉันจึงถูกบอกให้มาพักที่ห้องพักห้องนี้ก่อน…
「แต่ไม่ว่าจะมองมุมไหนมันก็เหมือนห้องขังเดี่ยวชัดๆ ถึงของตกแต่งจะไม่ใช่ก็เถอะ」
ประตูห้องที่หนาและถูกล็อคได้จากภายนอก
ทว่าสิ่งที่ตกแต่งอยู่ภายในห้องช่างดูมีชีวิตชีวาราวกับถูกคนนั้นคนนี้จับของมายัดใส่
ไหนจะหนังสือ อุปกรณ์การเรียน หนัง หรือแม้แต่ต้นกระบองเพชรก็มีให้เห็น
『คัตสึกิ!』
「……หือ? อื้อ จริงสิแกก็อยู่ตรงนี้นี่เนอะ」
ฉันถึงกับสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงของเด็กผู้หญิงดังมาจากของที่คล้ายกับโทรศัพท์ซึ่งวางอยู่บนโต๊ะ
『อรุณสวัสดิ์! หลับสบายดีไหม? 』
「อรุณสวัสดิ์ โปรโต พอมาทักทายกันแบบนี้ก็แปลกดีนะ ฮ่าๆๆ 」
ในช่วงดึก หลังจากที่กลับมาสำนักงานใหญ่ เรมะก็แนะนำให้ฉันได้รู้จักกับอุปกรณ์สื่อสารพิเศษที่มีAIควบคุม ซึ่งเรียกว่า โปรโตจัง
ดูเหมือนว่าจะเป็นเสียงเดียวที่คุยกับฉันตอนสวมโปรโตเชนเจอร์ สงสัยเขาคงใช้AIตัวเดียวกัน การตอบสนองนี่เหมือนคนจริงๆ ชะมัด
『อยากนอนต่อไหม? 』
「ไม่ละ ฉันตื่นแล้วดีกว่า」
แถมการพูดคุยเองก็ดูจะคล่องกว่าเมื่อก่อนอีก พัฒนาไปเยอะเลยแฮะ
「การพูดดูเป็นธรรมชาติขึ้นนะ」
『พยายามเต็มที่ เพื่อคัตสึกิ!!』
「งั้นเหรอ…ขอบคุณ」
『อื้อ!』
ตอบสนองได้อย่างเป็นธรรมชาติจริงๆ ….
จากนั้นชิโระ หุ่นหมาป่าก็กระโดดขึ้นมาบนโต๊ะที่มีโปรโตตั้งอยู่
『โฮก!』
『มุ้ว! มาแล้วสินะ!』
บรรยากาศดูตึงเครียดขึ้น
เหมือนว่าเสียงของโปรโตจะไปดึดดูดชิโระเข้า จนชิโระใช้หางของมันฟาดไปหนึ่งดอก
『ยะ หยุดเลยนะ!』
「เดี๋ยวสิ ชิโระ! ทำแบบนั้นไม่ได้นะ!!」
『โฮกกก!! แง่งงง!』
ชิโระส่งเสียงร้องออกมาราวกับไม่พอใจ
『มาทำแบบนี้กับพี่สาวได้ยังไง?!』
『โฮก――!! ง้อวววว!!』
『เด็กน้อย!? ไม่รู้จักโต!? เดี๋ยวสิ หยุดใช้หางตีฉันได้แล้ว!? 』
ฉันถอนหายใจแล้วแยกชิโระออกมา
เห็นได้ชัดว่าชิโระกับโปรโตจะไม่ถูกกัน
และด้วยเหตุผลบางอย่าง ฉันรู้สึกว่าควรจะฝากโปรโตให้กับอัลฟ่ามากกว่าที่จะฝากไว้กับพี่ฮาคัว….
「แปดโมงแล้วเหรอเนี่ย」
โชคดีที่วันนี้ฉันหยุดทำพาร์ทไทม์เลยไม่ต้องรีบร้อนอะไร แต่เอาเป็นว่าเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนละกัน
ฉันเดินไปที่ชั้นวางก่อนเปิดลิ้นชักหยิบเสื้อผ้าออกมา….เอ๋?
「แล้วทำไมถึงรู้ได้กันล่ะว่าเสื้อผ้าเก็บไว้ตรงไหน…? 」
….ฉันเคยมาที่นี่เหรอ?
「หรือจะเป็นสัมผัสที่ 6 ตามหลักวิทยาศาสตร์ที่อาโออิเคยบอก…? 」
『นั่นมันก็……』
อ๊ะ จริงสิ เมื่อวานเรมะให้ยืมเสื้อมานี่เนอะ
มีชุดนอนกับชุดลำลองอย่างละชุด ฉันไม่รอช้าหยิบมันมาใส่ทันที
จากนั้นก็มีเสียงเคาะประตู
「คัตซึนหลับสบายดีไหม? 」
「อรุณสวัสดิ์ครับ」
คนที่มาหาฉันคืออัลฟ่ากับพี่
ดูเหมือนว่าตอนนี้ทั้งสองจะพักอยู่ห้องเดียวกัน
「แต่ว่ากันตามตรงจะบอกว่าหลับสบายหลังออกไปต่อสู้มันก็ยังไงอยู่」
「แล้วเป็นอะไรมากไหม? 」
「ฮ่าๆๆ ไม่หรอกครับ ตอนนี้ก็พักมาพอแล้ว ไม่น่ามีปัญหาอะไร」
อยู่ดีๆ ความทรงจำอันน่าขนลุกนั่นก็กลับเข้ามาเฉย
「อ้อ จริงสิ」
「「? 」」
ฉันเอาโปรโตที่อยู่บนโต๊ะให้พวกเธอดู
「เด็กคนนี้ชื่อโปรโต พวกพี่รู้จักกันอยู่ก่อนแล้วหรือเปล่า? 」
「ทางฉันเคยเจอและพูดคุยกันก่อนหน้านี้แล้ว」
『ฉันกับอัลฟ่า คือเพื่อนกัน』
「งั้นหรอกเหรอ……」
ท่าทางจะสนิทกันน่าดู
จากนั้นพี่ก็เดินเข้าไปหาโปรโต
「เอ่อ ฉัน ชิราคาวะ ฮาคัว คือว่า…โปรโตจังสินะ?? 」
『ฉันเกลียดฮาคัว』
「เอ๋!? ทำไมกันล่ะ!? 」
『หึ……』
อยู่ดีๆ ก็เกลียดพี่ซะงั้น
หรือจะมีประเด็นอะไรกันมาก่อนนะ
「พี่ไปทำอะไรกับโปรโตไว้หรือเปล่า? 」
「ไม่เคยทำอะไรเลยนะ ไม่เคยเจอกันมาก่อนด้วยซ้ำ…แล้วทำไมถึงได้เป็นแบบนี้กัน….」
ฉันมองไปยังพี่สาวที่ไม่รู้จะทำตัวยังไง
จากนี้ก็คงต้งเรียนรู้กันไป
หากเข้ากับโปรโตได้ก็คงดี….
「อัลฟ่า ฉันขอฝากโปรโตไว้กับเธอได้ไหม」
「หือ กะ-ก็ได้อยู่หรอก…」
『เอ๋? ทำไมล่ะ? คัตสึกิ……? 』
「ฉันต้องออกไปสู้กับชิโระนี่นา คงจะแย่หากแกถูกทำลายไปด้วย」
ชิโระอาจจะเผลอพังโปรโตเข้าก็ได้ คงจะไม่ดีสำหรับเรมะที่สำคัญสุดก็คือสำหรับตัวของโปรโตเอง
ดังนั้นฉันจึงตัดสินใจทิ้งโปรโตไว้กับอัลฟ่า
จากนั้นชิโระที่เฝ้ามองอยู่เงียบๆ ก็กระโดดขึ้นไปบนไหล่พี่
「เอ๋? ชิโระ ทำไมถึงมาลูบหัวฉันล่ะ?! อะไรนะ อยากจะชมที่ฉันกล้าเผชิญหน้ากับโปรโต?!」
『โฮก』
ทำไมชวนให้ดูเป็นภาพฝั่งแบ่งฝั่งพี่และฝั่งน้องอย่างอัลฟ่ากับโปรโต และพี่กับชิโระกันนะ
『อัลฟ่าาาาาาา……』
「อ-อึก ถึงเธอจะทำแบบนั้นฉันก็ช่วยอะไรไม่ได้หรอก……」
『ง่า』
「อะ โอ้ย เจ็บนะ อย่าเอาเล็บมาจิกที่ไหล่กันสิ」
คงต้องได้ดุชิโระบ้างละสิ
ถึงจะเป็นคู่หูกัน แต่มันก็มีเรื่องที่ควรและไม่ควรทำอยู่
「ชิโระ ถ้าทำมากกว่านี้ฉันจะโกรธแล้วนะ? 」
『โฮก……』
ฉันคงต้องคอยสั่งสอนเด็กคนนี้ให้มากขึ้นแล้วสิ ว่าอะไรควรหรือไม่ควรทำ
หลังรับชิโระมาจากพี่ ฉันก็รู้สึกหิวขึ้นมา
「……ชักหิวแล้วสิ……」
「งั้นไปห้องทานข้าวกันดีกว่า พวกเขาน่าจะเตรียมมื้อเช้าให้เสร็จแล้ว」
「มีด้วยเหรอครับ งั้นไปกัน」
ฉันยังไม่ได้กินอะไรเลยมาตั้งแต่เมื่อวาน
พอกลับมาถึงห้องก็หลับ ดังนั้นจึงไม่มีเวลาไปหาอะไรยัด
***
『แกเป็นลูกของวาสสินะ ยังเด็กอยู่เลยนี่』
ตอนที่ฉันอายุได้ 10 ปี ฉันได้พบกับนายเหนือหัวที่แท้จริง ผู้ที่ฉันควรจะรับใช้ไปชั่วชีวิต
แม้ฉันจะมองไม่เห็นร่างของท่านผู้นั้นที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ซึ่งปกคลุมไปด้วยความมืดมิด แต่แค่น้ำเสียงของท่านก็ทำให้ฉันได้รับรู้แล้ว
ว่าท่านคือตัวตนที่มิอาจมีผู้ใดเทียบเคียง
และเสน่ห์อันเหลือล้นแม้จะไม่เห็นใบหน้า
เพียงแค่รับรู้ถึงตัวตนของท่าน ฉันก็มั่นใจแล้วว่าท่านคือสิ่งที่อยู่บนจุดสูงสุด
แล้วฉันก็หลงใหลท่านนับตั้งแต่วินาทีนั้น
ฉันคุกเข่าและก้มหัวลงกับพื้นด้วยความรู้สึกยินดี หาได้มีใครมาบังคับ
『ฉ-ฉันเป็นลูกบุญธรรมของเขาค่ะ ถึงแม้ความสามารถจะยังขาดๆ เกินๆ ไปบ้างก็ตาม….……』
『จงอย่าได้ดูถูกตัวเอง นั่นสินะ……』
ความมืดมิดรอบบัลลังก์เริ่มจางหายไป ก่อนปรากฏร่างหญิงสาวผิวสีฟ้า
เมื่อเห็นว่านั่นคือร่างของท่านผู้นั้น ร่างกายของฉันก็สั่นไปด้วยความยินดีและความหวาดกลัว
『ทำใจให้สบายแล้วมาคุยกันสักหน่อยไหม』
『อึก……ค่ะ……!』
ได้ยินว่าแม้จะเป็นลำดับที่ 2 ก็ยังไม่เคยเห็นท่านผู้นั้นมาก่อน
ยิ่งทำให้ฉันสงสัยว่าจะมีสักกี่คนเชียวนะที่ได้รับโอกาสอันสูงส่งเช่นนี้
ฉันพยักหน้ารับคำเชิญชวนของท่านทันที
『ดูเหมือนแกเองก็มีศักยภาพบางอย่างซ่อนอยู่นี่ ก็ว่าทำไมตาแก่นั่นถึงรับแกมาเลี้ยง』
ท่านก้าวลงมาจากบัลลังก์ช้าๆ แล้วเดินเข้ามาหาฉัน ก่อนจะพูดกับฉันที่คุกเข่าอยู่
『หากมีตำแหน่งในลำดับแห่งดวงดาราแล้วแกคิดจะทำอะไรต่อ? 』
『ทำอะไรเหรอคะ? 』
『ไม่ต้องคิดมาก ตอบมาตามสบาย』
สิ่งที่ฉันจะทำเมื่อแข็งแกร่งขึ้น……。
จนถึงตอนนี้ฉันพยายามเล่าเรียนฝึกฝนอย่างหนักเพื่อตอบแทนพ่อบุญธรรมที่ช่วยชีวิตฉันมาจากดาวที่กำลังล่มสลายก็จริง
แต่นับจากวินาทีนี้ไป มันได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
『ฉันอยากจะใช้พลังที่ฉันมีเพื่อท่านค่ะ!』
『……โฮ่ พูดจาใหญ่โตเชียว』
หลังจากนั้นท่านก็เงียบไปครู่หนึ่ง
ชีวิตนี้ไม่ใช่ของตัวฉันเองอีกต่อไป
จากนี้ฉันจะอุทิศทุกสิ่งให้กับพระเจ้าตรงหน้าฉัน
『งั้นก็พยายามเข้าล่ะ』
ท่านวางมือไว้บนไหล่ของฉัน
น้ำเสียงอันสงบนิ่งของท่านผู้นั้นได้เอ่ยคำพูดที่ฉันไม่มีวันลืม
『แล้วฉันจะตั้งตารอ คอสโม่』
『อึก……ค่ะ!!』
ช่างเป็นความสุขที่ยากเกินจะอธิบาย
ท่านผู้นั้นจดจำฉันที่ไม่ได้อยู่ในลำดับดวงดารา
แม้อาจจะเป็นเพราะฝีมือพ่อของฉัน
แต่มันก็ทำให้ฉันมีความสุขมากพอแล้ว
「……เช้าแล้วเหรอ」
ดูเหมือนว่าฉันจะหลับไปครู่หนึ่ง
ฉันลุกขึ้นยืนหลังเผลอนั่งหลับไป แล้วมองทิวทัศน์ด้านล่างจากดาดฟ้าของตึกสูง ภูมิทัศน์เมืองอันเป็นเอกลักษณ์ของดาวโลกก็แสดงออกมาให้เห็น
「เป็นดาวที่แปลกจริงๆ ……」
แม้ลักษณะทางชีวภาพของชาวโลกจะใกล้เคียงกับฉัน แต่ระดับอารยธรรมนี่แตกต่าง
ทว่าก็แปลกเหลือเกินที่มีคนแข็งแกร่งกำเนิดขึ้นบนดาวเช่นนี้ได้….
『เคี้ยว』
「หือ? 」
จักรกลชีวภาพสีน้ำเงินเดินเข้ามาที่เท้าของฉัน
ฉันอุ้มเด็กคนนี้ขึ้นมาในมือแล้วมองตามัน
『เคี้ยว!』
「อรุณสวัสดิ์ เลโอ ขอบคุณที่ช่วยเฝ้าระวัง」
คู่หูและอุปกรณ์ช่วยต่อสู้เพียงหนึ่งเดียวของฉัน
หนึ่งในสูทผลงานชิ้นเอกที่สร้างโดยนักวิทยาศาสตร์ปีศาจ โกลดี้
“LEGULUS DRIVER”
「…ไหนๆ ก็ตื่นแล้ว มาออกแรงกันหน่อยละกัน」
เลโอในมือของฉันได้เปลี่ยนเป็นอุปกรณ์แปลงร่าง
วินาทีที่มันเปลี่ยนไป ก็เกิดสายเข็มขัดพันรอบเอวของฉัน ก่อนฉันจะเสียบเลโอเข้าไปตรงด้านบนหัวเข็มขัด
『L・E・O』
กลุ่มก้อนสนามพลังงานได้ก่อตัวขึ้นรอบตัวฉัน เกิดเป็นชุดเกราะ
『BELIEVE IN JUSTICE!!!』
พลังงานที่ส่งออกมาช่างเหลือล้น ฉันสวมเกราะส่วนบนเข้ากับร่างของตัวเองทันที
『WILD FORM COMPLETE……』
ก่อนที่พลังงานส่วนที่เหลือจะกระจายไปรอบๆ ราวกับการระเบิด
ฉันสูดหายใจเข้าออก หลังเกราะสีน้ำเงินได้ประกอบเข้ากับร่างของฉันจนหมด แล้วกดไปยังเทอร์มินัลที่อยู่ตรงข้อมือเพื่อเรียกยานพาหนะพิเศษ
『L・E・O CHASER』
ฉันขึ้นคร่อมLeo Chaserซึ่งเป็นยานพาหนะรูปทรงมอเตอร์ไซค์ที่ลอยอยู่ในอากาศ คล้ายร่างของเสือดาวสีน้ำเงินก่อนจะทะยานวิ่งแผนห้วงอากาศ
「……!」
ฉันทำการเปิดโหมดล่องหนขณะคิดถึงไรเดอร์ที่เจอเมื่อคืน
หนึ่งในผู้พิทักษ์ของโลก อัศวินขาว
พ่อยกย่องว่าเขาคือนักรบที่มีศักยภาพซ่อนเร้นสูง
『คอสโม่ ดูเหมือนว่านายหญิงของเราจะหมกมุ่นกับอัศวินขาวมากเลยทีเดียว』
นั่นคือคำพูดที่พ่อบอกกันฉันก่อนเดินทางมายังโลก
ไม่ใช่คำพูดในฐานะพ่อ แต่เป็นคำพูดในฐานะลำดับที่ 1 ซึ่งสร้างความกังวลใจให้ฉันพอสมควร
หน้าอกของฉันรู้สึกเจ็บปวด
『แล้วฉันจะตั้งตารอ คอสโม่』
คำพูดที่เป็นแสงสว่างให้กับฉันในอดีต
ทว่าตอนนี้ความสนใจของท่านผู้นั้นไม่ได้อยู่ที่ฉันอีกแล้ว
แต่เป็นมนุษย์คนหนึ่งจากดาวเคราะห์อันแสนห่างไกล
『อย่าทำให้ข้าหรือท่านผู้นั้นผิดหวังเสียล่ะ ลูกสาวเอ๋ย』
ฉันจับพวกมาลัยอาไว้แน่อนและเร่งความเร็วให้มากขึ้น
「อัศวินขาว……!!」
เพื่อจะให้ถูกยอมรับ!!
ฉันจะทำให้ท่านผิดหวังไม่ได้!!
ฉันมาถึงจุดหมายก่อนจะระงับอารมณ์ที่กำลังลุกโชนภายในใจลง
「……ตรงนี้เหรอ」
ฉันลงจากรถแล้วมองไปรอบๆ
มันเป็นโกดังร้างที่พวกมนุษย์ไม่เข้ามากัน
ดูจากปฏิกิริยารอบตัวฉัน ฉันรู้ได้ทันทีว่านี่คือจุดนัดพบ
「ว่าไงลำดับที่ 67! ท่าทางสบายดีนี่!」
「!」
เมื่อมองไปตามเสียง ก็สังเกตว่าอีกฝ่ายคือเด็กสาวในชุดนักเรียน
เข็มขัดที่มีหนามแหลมงอกออกมาตรงเอวและมีอัญมณีติดเอาไว้ตรงกลางของเธอชวนให้รู้สึกขนลุก
「ฮิลด้า ไอ้ร่างนั้นมันอะไรกัน….」
「อะไรงั้นเหรอ ก็นะ พอดีไปยืมร่างของมนุษย์โลกมาน่ะ」
ไม่มีแสงออกมาจากดวงตาของเด็กสาวในขณะที่เธอเดินไปมา
ลำดับที่ 46 ฮิลด้าแห่งการสังเวย
เมื่อฉันรู้ถึงนิสัยและลักษณะการต่อสู้ของเธอแล้ว ก็อดมองด้วยสายตาที่เย็นชาไม่ได้
「พวกมนุษย์โลกนี่มีร่างกายอ่อนแอ หากไม่ระวังได้เผลอฆ่าทิ้งเอาง่ายๆ แน่」
「……นิสัยห่วยแตกชะมัด」
「ฮ่าๆๆ! ก็ไม่เห็นแปลกตรงไหนอัลฟ่าของฉันมันมีพลังแบบนี้!! หากเป็นไปได้ก็อยากจะเอาร่างของเธอมาใช้เหมือนกันนะ」
「อยากจะอ้วก」
น่าขยะแขยง
พอคิดว่านั่นก็เป็นหนึ่งในชะตากรรมที่อัลฟ่าในดาวบางดวงจะต้องเจอมันก็….
ก่อนจะรู้ตัว ก็มีคนเข้ามาอยู่กับเต็มโกดังแล้ว
บางคนฉันก็คุ้นหน้า บางคนฉันก็ไม่เคยเจอมาก่อน แต่ทั้งหมดล้วนเป็นลำดับ 2 หลัก แต่อย่างที่คิดไม่มีใครอยู่ต่ำกว่าลำดับ 30 เลย
「แล้วที่เรียกมามีเหตุผลอะไร? 」
「หืมมมม บางทีอาจจะอยากคุยเกี่ยวกับลำดับการต่อสู้หรือเปล่า? 」
นี่คือพวกที่มีลำดับมากกว่า 30
กองกำลังที่จะรุกรานโลกรอบนี้
「ดูเหมือนจะพร้อมกันแล้วสินะ สหายเอ๋ย」
มีชายคนหนึ่งในโกดังพูดขึ้น
ชายร่างใหญ่ที่สวมชุดสูทพร้อมกับหน้ากากทรงกลม จ้องมองไปรอบๆ วงรวมถึงตัวฉัน
「ท่าทาง 072 กับเจ็มคุงจะไม่มาสินะ หายไปไหนกันน้อ? 」
เขาพูดขณะบิดคอตัวเองไปมา ก่อนจะพูดผ่านหน้ากากต่อ
「เอาเถอะ แค่นี้ก็มากพอแล้ว ฉันลำดับที่ 044 เกาส์ หรือจะเรียกว่านักวิทยาศาสตร์ปีศาจก็ได้」
เกาส์นักวิทยาศาสตร์ปีศาจ
เขาคือคนที่ลอกเลียนแบบชุดสูทของโกลดี้และทำให้มันสามารถใช้ได้กับคนทุกประเภทสินะ?
แม้ฉันจะไม่ได้ไปยุ่งเกี่ยวกับคนอื่นมากนัก แต่ชื่อเสียงของเขาก็ดังมาถึงหูฉัน
「คราวนี้ฉันอยากจะยื่นข้อเสนอให้กับพวกนายเกี่ยวกับการรุกรานที่จะเกิดขึ้น จึงตัดสินใจเรียกทุกคนมา」
เกาส์พยักหน้าขณะพูดด้วยความพึงพอใจ
ก่อนจะโยนบางอย่างลงพื้นและเกิดเป็นภาพฉายขึ้น
「พลังของจัสติสครูเซเดอร์และอัศวินขาวนั้นเป็นของจริง และเป็นไปไม่ได้เลยจะกำจัดพวกมันโดยใช้วิธีเดียวกับการรุกรานครั้งก่อนๆ 」
「แล้วอยากให้พวกเราทำอะไรล่ะ」
ฮิลด้าพูดขึ้นอย่างเริงร่าในบรรยากาศที่เงียบสงบ
เมื่อได้ยินเสียงของเธอ เกาส์ก็ส่งเสียงไม่พอใจนักออกมาจากใต้หน้ากาก
「ฉันต้องการจะสร้างกลุ่มพันธมิตรและร่วมมือกันบุกโจมตีพวกมันพร้อมกัน」
「……ไร้สาระ」
เห็นได้ชัดว่าหมอนี่มีเป้าหมายอื่นนอกเหนือจากการตั้งพันธมิตร ดังนั้นฉันจึงบอกปัดไปทันที
แม้จะรู้ตัวว่าสายตารอบๆ จับจ้องมา แต่ฉันก็ไม่ได้สนใจและหันหลังเดินจากไป
จะให้มารวมหัวกันสู้เนี่ยนะ
ก็จริงอยู่ว่าจัสติสครุเซเดอร์เป็นศัตรูที่น่าเกรงขามแต่ว่า….
「ฉันขอสู้ตัวคนเดียวดีกว่า…!!」
ยังไงเป้าหมายคราวนี้ของฉันก็มีแค่อัศวินขาว
อย่างอื่นไม่ใช่เรื่องที่ต้องสนใจ
『———คอสโม่』
「!!?? 」
ในระหว่างที่ฉันจะออกจากโกดังแล้วกลับฐานลับฉัน ก็มีเสียงดังขึ้นในหัว
ไม่มีทางที่ฉันจะลืมเสียงนี้ไปได้เลย!!
「ท-ทำไม ท่านถึงสนใจมาติดต่อคนแบบฉันกันคะ ทั้งที่มีตัวเลือกอีกมากมายแท้ๆ?!」
『คอสโม่เคยบอกไปแล้วไม่ใช่เหรอว่าอย่าดูถูกตัวเอง? 』
「อึก……ค่ะ……」
ฉันเอามือปิดหัวตัวเองก่อนพยักหน้าให้กับท่าน
แม้จะมีคำถามภายในหัวมากมายว่าทำไม แต่การที่ท่านมาพูดกับฉันโดยตรงเท่านี้ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ฉันลืมทุกสิ่งอย่าง
『แกกำลังวางแผนจะสู้กับอัศวินขาวสินะ』
「…ค่ะ แล้วคงต้องขอโทษไว้ก่อนหากทำอะไรที่เกินขอบเขตไป」
ท่านจะสั่งฉันให้หยุดไหมนะ?
ท่านคงรู้ดีอยู่แล้วว่าฉันเกลียดและอิจฉาเขาแค่ไหน
ทว่าท่านกลับพูดประโยคที่ทำให้ฉันถึงกับตัวสั่น
『ฉันชื่อรูอิน』
「คะ? 」
『คิดว่ามันคงไม่ยุติธรรมที่รู้ชื่อแกอยู่ฝ่ายเดียวน่ะ ก็เลยจะบอกชื่อให้รู้ไว้』
「อะ อึก……」
ฉันถึงกับพูดอะไรไม่ออก
ท่านผู้นั้น….ท่านรูอิน พูดต่อราวกับเพลิดเพลินในปฏิกิริยาของฉันที่แสดงออกมา
『ใครจะแข็งแกร่งกว่ากันระหว่างแกกับอัศวินขาว จงพิสูจน์เสีย』
「รับทราบแล้วค่ะ……」
『แล้วจะตั้งตารอนะ คอสโม่』
ท่านรูอินพูดทิ้งท้ายเอาไว้ก่อนเสียงของท่านจะหายไป
ฉันได้เพียงแค่ยืนนิ่ง
สิ่งที่เอ่อล้นออกมาจากส่วนลึกของหัวใจไม่ใช่ความโกรธที่มีต่ออัศวินขาว แต่เป็นความรู้สึกยินดีที่บรรยายออกมาเท่าไหร่ก็ไม่พอ
「ฉันจะพิสูจน์ให้เห็นเอง….」
เพื่อท่านรูอิน ฉันจะเอาชนะอัศวินขาวและพิสูจน์คุณค่าของฉันให้ท่านได้เห็น….
————-
Note 1 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ และสามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code