หฤโหดโคตรนักเวทย์ (Mage are too Op) - ตอนที่ 150
ตอนที่ 150 : คําเชิญจากคนกลาง
เมื่อพระอาทิตย์ตกดิน แสงระเรื่อทําให้ดูเหมือนทั้งเมืองปกคลุมไปด้วยเลือด
กลุ่มขอทานต่างช่วยกันเก็บกวาดถนนและจัดการศพ พวกเขาไม่สนใจว่ามันจะเปื้อนหรือไม่พวกเขาย้ายร่างไปไว้ยังนอกเมือง
และพวกเขาก็กระจายข่าวสารไปทั่วทั้งเมืองและหวังว่าทางครอบครัวจะมารับศพ ไม่มีใครมารับศพเลยแม้แต่คนเดียวพวกเขาจะฝังศพทั้งหมดและทําอนุสาวรีย์ไร้นามขึ้นมา
ถึงแม้ว่าจะมีการกระจายข่าว ว่าจะมีการฝังทหารจํานวนมากในยามค่ําคืน และไม่มีใครออกมารับศพ
มันเป็นธรรมดาในตอนนี้เดลพอนเองก็กําลังจะเปลี่ยนตัวผู้นํา ผู้คนต่างรับรู้แล้วว่าตระกูลเจ้าเมืองนั้นสิ้นสุดแล้วและมันขึ้นอยู่กับบุตรทองคําว่าพวกเขาจะรอดหรือตาย
ในสถานการณ์ที่ไม่แน่นอนเช่นนี้ใครจะกล้าไปพบกับบุตรทองคํากัน บางทีมันอาจจะเป็นกับดักก็ได้
แสงจันทร์ส่องเข้ามายังปราสาท
จอห์นนําร่างกายที่แยกออกเป็นสองส่วนมาประกบกัน และมีคนเย็บติดกันอย่างระมัดระวัง
ภรรยาเจ้าเมืองนั่งอย่างไร้ชีวิตชีวาและมองไปยังจันทร์สีเงินในท้องฟ้าอย่างคะนึงถึงบางสิ่ง
ในขณะที่ลูกสาวของเธอนั้นกําลังร้องไห้อยู่ข้างๆ เธอส่งเสียงออกมาเบาๆราวกับไม่ต้องการสร้างเสียงขึ้นมา
อย่างไรก็ตามมีกลุ่มขอทานจํานวนมากกําลังจ้องมองพวกเธออยู่
โดยที่มีเจ็ทซึ่งเป็นนักบวชกําลังแกล้งหลับอยู่
จอห์นมองไปยังศพพ่อของเขาและมองไปยังจันทร์เต็มดวงที่อยู่บนท้องฟ้า มันเป็นฟ้ากระจ่างแสงจันทร์ทําให้เขารู้สึกหนาวสั่นอย่างอดไม่ได้เขาประสานมือไว้ที่หน้าอกเพื่อให้ร่างกายอบอุ่นขึ้น
ถึงตอนนี้เขาเองก็ยังสับสนอยู่นิดหน่อยและถึงขั้นคิดว่าบางทีเขาอาจจะอยู่ในฝัน
ในเวลาไม่ถึงวัน เขากลายเป็นนักโทษ และในดวงตาของเขาท่านพ่อที่แข็งแกร่งอย่างไม่มีใครเทียบเองก็ได้ตายลง
เขารู้สึกว่ามันไม่จริง
เขาหวังว่ามันจะเป็นเพียงฝันร้ายเท่านั้น
ตอนนี้เกือบจะเช้ามืดแล้ว ภรรยาของเจ้าเมืองยังคงนั่งอยู่บนเก้าอี้ของเธอและดูท่าที่เหมือนจะหลับลงศพของสามีของเธอที่เริ่มติดกันอยู่ไม่ไกลนัก ทว่าเธอก็ยังสามารถหลับลงได้นับว่าเป็นคนมีความสามารถคนหนึ่ง
ลูกสาวคนเล็กหยุดร้องไห้ เธอได้ร้องไห้มามากพอแล้ว เสียงของเธอกลายเป็นแหบแห้ง
จอห์นลุกขึ้นพร้อมเดินไปยังเจ็ทที่แกล้งหลับอยู่ และพูดว่า “มันถึงเวลาที่พวกเราจะให้คําตอบว่าจะทํายัง ไงต่อไป”
หลังจากเขาพูดจบ เขาก็พบว่าตัวเองก็มีน้ําเสียงที่แหบแห้งเช่นกัน
เจ็ทลืมตาขึ้น ร้อมพูดอย่างเฉยฉา “ไม่ต้องรีบหรอก ตราบใดที่พวกนายไม่ก่อความวุ่นวายพวกนายก็ไม่ตายหรอก รอจนกระทั่งโรแลนด์และคนอื่นมาละกัน”
ในตอนนี้นั้นโรแลนด์อยู่ที่หอคอยเวทย์เพื่อศึกษาแบบจําลองเวทย์
เขากําลังทําหุ่นเวทย์สําหรับการสอดแนมอยู่
อย่างแรกคือต้องมั่นใจว่ามันจะมีความคล่องตัวสูงและมีขนาดเล็ก ยิ่งเล็กมากขนาดไหนก็ยิ่งเหมาะกับการสอดแนมเท่านั้นเพราะจะทําให้ถูกพบได้ยากขึ้น จากนั้นก็การรับรู้ในระยะไกลหากปราศจากการมองได้อย่างดีมันก็คงไม่เหมาะสําหรับการสอดแนมหรอก
จากนั้นก็มีการปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อม
มันต้องสามารถปืนภูเขาหรือลงน้ําได้ และสําหรับการบินนั้น…โรแลนด์ไม่รู้เกี่ยวกับเวทย์ที่ใช้ในการบินเลยในตอนนี้ ดังนั้นเขาได้แต่ลืมมันไปก่อนในตอนนี้
จากนั้นด้วยเงื่อนไขทั้งหมดนี้ โรแลนด์ได้สร้างหุ่นเชิดขึ้นมา ทว่าเมื่อโรแลนด์มองไปยังเจ้าแมงมุมตาเดียวขนาดเท่ากําปั้นซึ่งวิ่งอยู่รอบห้องทดลองเวทย์ด้วยความเร็วสูงเขาก็รู้สึกว่ามีบางสิ่งผิดปกติ
เมื่อมองมันอยู่พักหนึ่ง โรแลนด์ก็เข้าใจว่ามันเองยังดูโดดเด่นมากเกินไปหน่อย
แมงมุมขนาดเท่ากําปั้นเรืองแสงเหลืองอ่อน นี่ถือว่าโดดเด่นอย่างมาก
เขาจะทําให้เจ้านี่ดูเด่นน้อยลงยังไงดี…ทําให้เล็กลงน่าจะดีที่สุด แต่ว่าปัญหาคือแบบจําลองเวทย์ในตอนนี้นั้นเจ้าแมงมุมนี่ตัวเล็กสุดได้เท่านี้ไม่สามารถเล็กลงได้อีกแล้ว
โรแลนด์สะดุ้งตัวออกมาเล็กน้อย
ถ้าหากมันไม่ใช่สีเหลืองบางทีมันอาจจะไม่สะดุดตามากก็ได้…ถ้าหากมันเปลี่ยนสีได้…เดี๋ยวนะ!
โรแลนด์นึกออกแล้วในตอนนี้
หุ่นเวทย์สามารถเปลี่ยนสีได้ ดังนั้นมันจะเป็นไปได้ไหมหากทําให้มันเหมือนกับกิ้งก่าเปลี่ยนสี? ตราบใดที่ มันมีสีเปลี่ยนไปตามสภาพแวดล้อมต่อให้เป็นแมงมุมตัวเท่ากําปั้นก็ยากที่จะหาตัวได้พบ
เขาอดไม่ได้ที่เขาดีดนิ้วเพื่อกดไลค์ให้กับไอเดียของตัวเอง เมื่อเขากําลังจะปรับปรุงเวทย์อีกรอบเสียงเคาะประตูเบาๆก็ดังขึ้นมา
โรแลนด์หันหลังและพบเข้ากับอัลโด้
“เจ้าปรับตัวได้ดีจริงๆขนาดเวลาแบบนี้เจ้ายังมีอารมณ์ในการทดลองเวทย์แบบนี้” อัลโด้ยิ้มพร้อมมองไปยังหุ่นเชิดแมงมุมที่ปืนไปทั่วห้องทั้งยังมีนงงเล็กน้อยจากนั้นก็กล่าวออกมาอย่างอิจฉา“เวทย์ที่พัฒนาอีกแบบแล้วงั้นเหรอเจ้านี่มีพรสวรรค์จริงๆ”
“เพราะฉันใช้เวลาทั้งหมดไปกับเวทย์ต่างหาก ไม่เหมือนประธานบางคนที่ใช้เวลาไปกับผู้หญิง”
อัลโด้หัวเราะออกมาเมื่อได้ยิน “ก็ข้าชอบ…เจ้ารู้ใช่ไหมว่าทําไมข้าถึงมาที่นี่”
“ใช่ นายมาในนามของเหล่าขุนนางและพ่อค้าในเมืองใช้ไหม เพื่อให้พวกเราได้ประชุมกันหรือไม่ก็ฟังความเห็นและมุมมองของพวกเรา”
“เจ้าเข้าใจถูกแล้ว” อัลโด้พูดพร้อมพยักหน้าออกมา “เจ้านี่ฉลาดเหมือนที่ข้าคาดไว้เลย”
“ฉันเองก็ทําการทดลองเวทย์อยนี่รอจนนายมาถึงนี่หละ ฉันไม่รู้จักขุนนางคนอื่นดีพอว่าที่จะตกลงกับพวกเขาพวกเขาต้องการใครบางคนที่รู้จักและสามารถส่งข้อความให้ได้และนายน่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด”
“ฮ่าฮ่าฮ่า!” หัวเราะออกมาเสียงดัง รอยยิ้มของเขาดูบิวเบี้ยว “ขุนนางพวกนั้นขอร้องให้ข้าช่วยเจ้าไม่รู้หรอกถึงแม้ว่าข้าจะเป็นที่รู้จักภายในเมืองทว่าไม่มีใครมองข้าดีนัก เพราะถึงอย่างไรคนมากมายต่างก็รู้ว่าข้าเคยเป็นสุนัขรับใช้มาก่อน”
โรแลนด์ถอนหายใจออกมาแผ่วเบา
“การที่พาเจ้ามายังหอคอยเวทย์เป็นตัวเลือกที่ถูกต้องจริงๆ” อัลโด้ถอนหายใจ พร้อมมองไปยังท้องฟ้าและมีท่าที่พึงพอใจเล็กๆ “ถึงแม้ว่าเจ้าจะไม่ได้มีเรื่องขัดแย้งกับพวกคนจากสํานักงานใหญ่ทว่าตอนนี้เจ้าก็จัดการเจ้าเมืองไปแล้วตอนนี้ข้าเชื่อมากขึ้นเรื่อยๆว่าเจ้าจะเป็นคลื่นลูกใหญ่ที่พัดพาไปยังพวกเขาในอนาคตและเมื่อถึงตอนนั้นมันต้องเป็นเรื่องราวที่ดีแน่ๆ”
โรแลนด์กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ถ้างั้นฉันคงต้องเลี่ยงเมืองหลวงของฮอลเลวิลในอนาคต”
อัลโด้มีท่าทีเสียใจพร้อมพูดอย่างสิ้นหวัง “เจ้าจะไม่ปล่อยให้ข้ามีความสุขสักหน่อยงั้นเหรอ?”
โรแลนด์ยักไหล่
อัลโด้ถอนหายใจ “เอาละ มาคุยธุระกันเถอะ ขุนนางพวกนั้นต้องการเจอเจ้า”
“เพื่อเก็บเกี่ยวลูกพีช (1) เมื่อพวกเขาอยู่ด้วยสินะ?”
เพราะความสามารถทางภาษาทําให้สํานวน “เก็บลูกพีช” ถูกแปลเป็นภาษาพูดที่คล้ายคลึงกับความหมายในภาษาฮอลเลวิล
อัลโด้หัวเราะอย่างดูถูกและพูดว่า “พวกเขาไม่กล้าจะรับมันหรอก! พวกเขาแค่ต้องการกระดูกบางส่วนที่ป้อนจากมือเจ้าเท่านั้น พวกเจ้ากล้าที่จะสังหารเจ้าเมืองและกองทัพชั้นยอดเกือบพันก็ถูกสังหาร ใครจะกล้าไม่เห็นด้วยกับเจ้ากัน?”
“พวกนั้นจะสามารถช่วยอะไรได้งั้นเหรอ?”
อัลโด้พูดด้วยสีหน้าจริงจัง “เยอะมาก”
โรแลนด์เงียบไปพักหนึ่ง
ขุนนางเป็นพวกน่ารําคาญ ทว่าเขาไม่สามารถทําอะไรกับพวกนั้นได้ในตอนนี้ เพราะถึงยังไงเมืองทั้งเมืองจะดํารงอยู่ได้ต้องอาศัยการร่วมมือกัน
แน่นอนว่ามันต้องใช้เวลานาน ฮอร์กและลิงค์น่าจะมีหนทางในการรับมือกับพวกขุนนางอยู่แล้ว
เขาแค่ต้องเข้าร่วมกับพวกเขาไปก่อนในตอนนี้
หลังจากผ่านไปพักใหญ่ โรแลนด์ก็พูดว่า “นายช่วยนัดเวลาและสถานที่ให้ด้วยละกัน”
“เอาง่ายๆก็เอาที่บ้านข้าละกัน ด้วยวิธีนี้จะทําให้สองฝ่ายรู้สึกสบายใจยิ่งขึ้น”
“ถ้างั้นก็ต้องรบกวนด้วย”
เก็บเกี่ยวผลผลิตที่ตัวเองไม่ได้หว่าน – รับผลประโยชน์โดยไม่ลงมือลงแรงอะไรเลย