ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 376 พายุฝนผิดแผกตายไม่รู้ตัว-5
บทที่ 376 พายุฝนผิดแผกตายไม่รู้ตัว-5
ในหลายปีมานี้
หลี่จวิ้นชางได้ลิ้มรสความหนาวเหน็บและความอบอุ่นในโลกหล้ามาจนเต็มอิ่ม พบเห็นการหักหลังและหลอกลวงมาจนเคยชิน
ท้ายที่สุดก็เข้าใจแล้วว่าในโลกหล้านี้ สิ่งที่ตนสามารถพึ่งพาได้ก็มีเพียงดาบในมือตนเท่านั้น
เมื่อได้พบนายท่านจินเขาย่อมต้องปลงอนิจจังเช่นกัน
เกิดความคิดนับหมื่นนับพันอยู่ในหัว
ชั่วอึดใจนั้นกลับไม่อาจถอนตัวออกมาได้
จู่ๆ หลี่จวิ้นชางก็หัวเราะอย่างเป็นทุกข์เหมือนกำลังสะอื้นไห้
เขาพยายามสุดกำลังเพื่อโยนเรื่องราวหนักหนาในวันก่อนที่อยู่ในใจทั้งหมดทิ้งไป
จากนั้นก็หยิบห่อผ้าออกมาจากอกเสื้อ
เขาเปิดห่อผ้านั้นออก ของที่ห่อไว้ภายในกลับเป็นก้อนทองแตกและปิ่นปักผมของสตรี
“รู้หรือไม่ของเหล่านี้มาจากที่ใด”
หลี่จวิ้นชางถาม
นายท่านจินส่ายหน้า
“ของเหล่านี้ค้นมาจากตัวบ่าวจวนชิงของเจ้า”
หลี่จวิ้นชางยิ้มพลางเอ่ย
เขาไม่ได้รู้สึกว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่น่าอายแต่อย่างใด
นายท่านจินเห็นว่าในห่อผ้านั้นมีปิ่นปักผมทองอยู่หลายเล่ม
ปิ่นทองเหล่านี้บ่าวจวนชิงย่อมไม่อาจมีไว้ครอบครองเป็นแน่
ถ้าไม่ใช่เจ้านายกำนัลให้ ก็ต้องเป็นเพราะบ่าวเหล่านี้คิดว่าจวนชิงเป็นตระกูลใหญ่โต มือเท้าของพวกเขาจึงไม่ค่อยสะอาดนัก
“ช่างเป็นปิ่นทองที่งดงามนัก…ปิ่นทองเช่นนี้เล่มหนึ่งคงขายได้อย่างน้อยสองร้อยตำลึงเงิน คิดถึงตอนนั้น ข้าก็เคยให้เสี่ยวชุ่ยสาวใช้ของข้าไม่รู้กี่เล่มเช่นกัน ทว่าตอนนี้ แม้แต่เล่มเดียวข้าก็ยังซื้อไม่ไหว”
หลี่จวิ้นชางถือปิ่นทองเล่มนั้นเล่นอยู่ในมือพลางเอ่ย
“ไม่สิ ข้าซื้อไหว! แต่ข้าจะซื้อไม่ได้!”
จู่ๆ หลี่จวิ้นชางก็เอ่ยอย่างเกรี้ยวกราด
และปิ่นทองในมือก็ถูกเขาหักไปด้วย
เวลานี้นายท่านจินกลับเชื่อแล้วว่าคำที่หลี่จวิ้นชางเอ่ยไปก่อนนี้ไม่ใช่กลอุบาย แต่เป็นเรื่องจริง
เขาสังหารคนก็เพื่อเงิน
ไม่เช่นนั้นก็จะไม่หักปิ่นทองเล่มนี้
ปิ่นทองที่หักแล้วแม้ไม่ใช่ปิ่นทอง แต่ก็ยังนับเป็นทองและขายได้ราคา
ก็เหมือนกับเศษแร่เหล็กในเหมืองแร่
ตอนที่เพิ่งกรองก็ไม่ต่างกับหินทั่วไป แค่มีสีค่อนข้างแดงเท่านั้น แต่ใครว่ามันไม่ใช่เหล็ก?
“เจ้าต้องการเงินไปทำสิ่งใด”
นายท่านจินถาม
“ก็ต้องเพื่อฟื้นฟูตระกูลหลี่น่ะสิ หากจวนชิงต้องพบเจอเรื่องพลิกผันทำนองนี้บ้าง แล้วเจ้ายังมีชีวิตอยู่ เจ้าจะไม่ทำเช่นนี้หรือ”
หลี่จวิ้นชางกล่าว
“ข้าคงคิดแต่ว่าเหตุใดข้าจึงไม่ตายไปพร้อมกันเสีย เพราะมีชีวิตอยู่เช่นนี้มันเจ็บปวดเกินไป…”
นายท่านจินกล่าว
“เจ้าช่างเป็นสหายแท้ของข้าจริงๆ! ข้าก็เคยตกอยู่ในความคิดเช่นนั้นอยู่นาน!”
หลี่จวิ้นชางกล่าว
เพิ่งจะสิ้นเสียงเขาก็ถอดเสื้อตัวบนออก
เผยให้เห็นแผงอกที่เต็มไปด้วยรอยแผลเป็น
“เจ้ารู้หรือไม่ว่ารอยแผลเหล่านี้มาได้อย่างไร”
หลี่จวิ้นชางก้มหน้าลงมองหน้าอกของตนพลางเอ่ย
“ล้วนเป็นบาดแผลที่เจ้าได้รับมาตอนช่วยขจัดภัยให้ผู้อื่นกระมัง”
นายท่านจินกล่าว
หลี่จวิ้นชางส่ายหน้า
“แผลเหล่านี้ล้วนเป็นตัวข้าทำเอง”
“เหตุใดเจ้าต้องทำให้ตนเองเป็นเช่นนี้”
นายท่านจินกล่าว
“เพราะข้าอยากตาย!”
หลี่จวิ้นชางกล่าว
บาดแผลตรงหัวไหล่เกิดจากเขาไปกระโดดหน้าผาสามครั้ง
เมื่อชีวิตยังไม่ถึงคาด สวรรค์ก็เล่นตลกเช่นนี้
ทุกครั้งหากไม่ตาย ก็ถูกกระแทกจนหมดสติไป
หรือไม่ก็มีกิ่งไม้ริมหน้าผายื่นออกมารองรับและช่วยชีวิตเอาไว้
จากนั้นเขาก็คิดจะใช้ ‘คืบศอกขอบฟ้า’ ในมือตนฆ่าตัวตายเสีย
แต่ที่สุดแล้วกลับไม่มีความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวเพียงนั้น
รอยแผลจากดาบบนกายแม้จะน่าสยดสยอง
แต่เป็นเพียงบาดแผลที่เนื้อและหนังเท่านั้น
เห็นได้ว่าเขาไม่ได้ลงมืออย่างโหดร้ายกับตนเอง
“ตายไม่สำเร็จ เจ้าก็เปลี่ยนไปเสียแล้ว!”
นายท่านจินกล่าว
“ไม่ผิด! ว่ากันตามตรง ข้ามันคนขี้ขลาด…ที่กระโดดหน้าผาก็ไม่ตายอาจเป็นลิขิตสวรรค์ แต่ที่ทำตัวเองไม่ลงเป็นท่าทีที่อ่อนแอ แต่ภายหลังข้าก็คิดว่าที่ข้าลงมือกับตนเองไม่ลงเพราะมีเรื่องสำคัญที่ยังทำไม่สำเร็จหรือไม่ คิดไปคิดมา ก็เพราะเสียดายอยู่เรื่องเดียว นั่นคือการฟื้นฟูตระกูลหลี่”
หลี่จวิ้นชางกล่าว
“การฟื้นฟูตระกูลไม่ได้ต้องการแค่เงิน ยังต้องการโอกาสเหมาะด้วย”
นายท่านจินกล่าว
เพราะจวนชิงก็เคยตกอยู่ในมือของผู้อื่นมาแล้วเช่นกัน
หากไม่ใช่บรรพบุรุษผู้นั้นคิดค้น ‘ดาบตัดเงา’ ออกมา จะยังรุ่งเรืองอยู่ได้เช่นนี้หรือ
สิ่งนี้ก็คือโอกาส
ทว่าโอกาสนี้ล้วนเสมอภาคกับทุกคน
เมื่อปณิธานมั่นคง ทั้งมีกำลังคนที่ตระเตรียมไว้พร้อมย่อมสามารถคว้าเอาไว้ได้
หากท่านบรรพบุรุษผู้นั้นไม่เข้าไปบำเพ็ญเพียรอย่างยากลำบากกลางภูเขาลึกเป็นเวลายี่สิบปี ต่อให้มอบโอกาสแก่เขาก็ยังเปล่าประโยชน์
“โอกาสนั้นต้องใช้ความสามารถ ทว่าส่วนหนึ่งของความสามารถก็คือเงินทอง แต่ระหว่างที่รวบรวมเงินทอง ก็สามารถขัดเกลาความสามารถของตนเองไปด้วย เช่นนี้ก็สมบูรณ์แบบทีเดียวไม่ใช่หรือ”
หลี่จวิ้นชางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
แม้เขาจะเดินบนหนทางที่ผิด
แต่จำต้องกล่าวว่าเขาคิดได้ทะลุปรุโปร่งยิ่ง
“ชีวิตของข้าคิดเป็นเงินเท่าใด”
นายท่านจินถาม
“ชีวิตของเจ้าคิดเป็นเงินได้มากมายนัก มีค่ามากกว่าทุกคนที่ข้าเคยฆ่ามาตลอดหลายปีนี้รวมกันเสียอีก”
หลี่จวิ้นชางกล่าว
“เช่นนั้นเจ้าก็ไม่คิดบ้างหรือว่า ที่ข้ามีค่าเป็นเงินมากมายเพียงนี้จะต้องมีเหตุผลบางอย่าง เช่น ดวงข้าแข็ง ฆ่าตายยาก”
นายท่านจินกล่าว
“แม้ฆ่าเจ้าไม่ตายก็ยังขัดเกลาความสามารถของข้าได้ หากสามารถฆ่าเจ้าได้ ไม่เพียงเป็นการขัดเกลาตัวข้า ยังจะได้เงินก้อนโตอีกด้วย และนับวันรอให้ตระกูลหลี่กลับมาเฟื่องฟู”
หลี่จวิ้นชางกล่าว
นายท่านจินถอนหายใจ
เขาไม่รู้จริงๆ ว่าควรกล่าวสิ่งใด
หลี่จวิ้นชางในยามนี้ ไม่อาจใช้วาจาสื่อสารด้วยได้อีกต่อไปแล้ว
ตนในสายตาเขาเวลานี้ บางทีอาจเป็นเพียงตั๋วเงินที่เดินได้เท่านั้น
ลมราตรีพัดกระโชกมาวูบหนึ่ง
พัดไฟในตะเกียงที่เพิ่งจุดจนวูบไหว
นายท่านจินแหงนหน้ามองท้องฟ้า ฟ้าไม่ได้ดำสนิท แต่มีสีน้ำเงินม่วงเล็กน้อย
ก็เหมือนภายในจิตใจของเขาและหลี่จวิ้นชาง
“แต่ข้ายังอยากดื่มสุรากับเจ้าก่อนสักพัก”
นายท่านจิน
“ดื่มสุรา? ข้าในยามนี้ยังคู่ควรดื่มสุรากับเจ้าอีกหรือ”
หลี่จวิ้นชางกล่าวทั้งยิ้มเจื่อน
แม้ภายในใจเขาจะเจ็บปวด แต่เมื่อได้ยินถ้อยคำที่แฝงน้ำใจของนายท่านจินเช่นนี้ ก็อดขมขื่นขึ้นมาไม่ได้
แม้ว่าใจของคนทั้งสองจะถูกกั้นด้วยขอบฟ้าที่นับไม่ถ้วน
แต่อย่างน้อยในเวลานี้ก็ยังได้ยืนอยู่ต่อหน้ากัน ใกล้แค่คืบศอก
“เพราะข้ายังคงเห็นว่าเจ้าเป็นสหายของข้า แม้เจ้าต้องการสังหารข้าก็จะยังเป็นเช่นนี้ ฉะนั้นจึงไม่มีคำว่าคู่ควรหรือไม่ มีแค่อยากหรือไม่เท่านั้น”
นายท่านจินกล่าว
หลี่จวิ้นชางก้มหน้าลง
สองไหล่สั่นเล็กน้อย
จากนั้นก็หันข้างให้เขา
ท่ามกลางแสงตะเกียงไฟสลัว นายท่านจินเห็นหยาดน้ำระยิบระยับไหลลงมาข้างแก้มของหลี่จวิ้นชาง
เพียงแต่เขาไม่ยอมให้นายท่านจินเห็น และนายท่านจินเองก็ไม่เอ่ยถึงมัน
“เจ้ารอข้าที่นี่”
นายท่านจินกล่าว
“ตกลง!”
หลี่จวิ้นชางพยักหน้าเอ่ย
“เจ้าไม่กลัวว่าข้าจะไปเรียกคนมาหรือหนีไปหรอกหรือ”
นายท่านจินถามด้วยรอยยิ้ม
“เจ้าไม่ใช่คนเช่นนั้น”
หลี่จวิ้นชางหันหน้ามาพูด
ตายังคงบวมแดงอยู่
แต่น้ำเสียงกลับเย็นชาเหมือนก่อนหน้านี้
นายท่านจินหันหลังจากไป ในเวลาไม่ถึงหนึ่งก้านธูปก็กลับมาที่นี่พร้อมกับมือซ้ายถือตะกร้าหนึ่งใบ ส่วนมือขวาถือกล่องอาหาร
“เมื่อครู่ข้ากำลังดื่มสุรากับพ่อข้าอยู่ แม่เล็กสั่งให้ทางครัวทำกับแกล้มไว้จำนวนหนึ่ง ยังทำไม่ทันเสร็จแต่พวกเรากลับดื่มหมดไปก่อนแล้ว จึงเพิ่งยกมาให้พวกเราสองคนกิน”
นายท่านจินกล่าว
ทั้งสองคนลงนั่งกับพื้น
ยกอาหารแต่ละอย่างออกมาจากกล่องอาหารและวางไว้ตรงหน้า
ในตะกร้ามีสุราอยู่สิบกว่ากา
“ข้าลืมเอาตะเกียบมา…”
นายท่านจินกล่าว
เมื่อกล่าวคำนี้ออกไป ทั้งสองคนต่างก็หัวเราะขึ้นมา
“มือซ้ายถือจอก มือขวากินอาหาร ที่จริงแล้วก็ไม่จำเป็นต้องใช้ตะเกียบ!”
หลี่จวิ้นชางกล่าว
“ข้าให้เวรยามที่อยู่ใกล้ๆ แถบนี้ออกไปหมดแล้ว ที่นี่เวลานี้มีเพียงเจ้าและข้าเท่านั้น”
นายท่านจินเอ่ยพลางรินสุราให้หลี่จวิ้นชางและตัวเองคนละจอก
เรื่องที่แปลกก็คือ ครั้งนี้เขาไม่ได้ยกกาสุราขึ้นมาดื่มโดยตรง
หลี่จวิ้นชางไม่ได้เอ่ยสิ่งใด
สายตากวาดมองไปยังศพและรอยเลือดที่อยู่โดยรอบ
“ดื่มสุราในที่เช่นนี้ ไม่มีที่ใดเหมือนอีกแล้ว”
“ได้ดื่มสุรากับเจ้าในสถานการณ์เช่นนี้ ก็นับว่าไม่มีครั้งใดเหมือนอีกแล้วเช่นกัน”
นายท่านจินกล่าว
ทั้งสองชนจอกสุรากัน
ความสัมพันธ์ระหว่างบุรุษนั้นลึกล้ำและสับสนเช่นนี้
นายท่านจินกับเขาเคยสนิทสนมกัน แต่เวลานี้กลับกลายเป็นศัตรูผู้หมายเอาชีวิตที่ชักดาบพุ่งใส่กันและกัน
ทว่า หลังจากพวกเขาเผชิญความขึ้นลงมานับครั้งไม่ถ้วน ก็ยังคงสามารถมานั่งดื่มสุราอยู่ที่นี่อย่างเปิดเผยได้
ส่วนเรื่องที่จะเกิดหลังดื่มสุรานั้น ดื่มหมดแล้วค่อยไปคิด
อย่างน้อยในตอนนี้ พวกเขาก็กลายเป็นสหายกันอีกครั้งแล้ว
“หลายปีมานี้ เจ้าก็คงดื่มสุรามาไม่น้อยแล้วกระมัง”
นายท่านจินถาม
“ทุกครั้งก่อนสังหารคนและหลังจากสังหารเสร็จ ข้าล้วนดื่มสุรา”
หลี่จวิ้นชางกล่าว
“วันนี้ก็ไม่เว้น?”
นายท่านจินถาม
“วันนี้เป็นข้อยกเว้น ข้าไม่ได้ดื่มสุรามาก่อน”
หลี่จวิ้นชางกล่าว
แต่กลับเอาแต่ดื่มจอกแล้วจอกเล่าไม่หยุด
เพียงพริบตากาสุราตรงหน้าเขาก็ว่างเปล่า
“เหตุใดวันนี้จึงเป็นข้อยกเว้น”
นายท่านจินถาม
“เพราะข้าคิดว่าเจ้าจะต้องเลี้ยงสุราข้า จากนั้นก็รอให้ข้าสังหารเจ้าเสีย และข้าก็จะดื่มสุรายกหนึ่งข้างศพเจ้า อย่างไรก็ตาม เมื่อใดที่สังหารคน ข้าต้องดื่มสุราสองครั้ง ขอเพียงดื่มให้ครบสองครั้ง จะก่อนหรือหลังล้วนไม่สำคัญ”
หลี่จวิ้นชางกล่าว
“นี่เป็นกฎที่เจ้าตั้งให้ตนเองหรือ”
นายท่านจินถาม
“แรกเริ่มนั้นเป็นเพียงความเคยชิน…เพราะอย่างไรการสังหารคนก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ข้ากลัวการฆ่าตัวตาย ยามไปสังหารผู้อื่นย่อมกังวลเป็นธรรมดาจึงดื่มเพื่อปลุกความห้าวหาญก่อนลงมือ ดื่มหลังสังหารเสร็จสิ้นก็เพื่อให้ปล่อยวาง”
หลี่จวิ้นชางกล่าว
“พอเคยชินนานเข้าจะกลายเป็นกฎเกณฑ์”
นายท่านจินกล่าว
หลี่จวิ้นชางพยักหน้า เห็นด้วยกับเรื่องที่นายท่านจินเอ่ยอย่างยิ่ง
ครั้งนี้ทั้งสองคนดื่มสุรากันอย่างเงียบเชียบยิ่งนัก
หลังจากนี้ไป คำพูดสักประโยคเดียวก็ไม่มีอีกเลย
‘เพล้ง!’
นายท่านจินกับหลี่จวิ้นชางดื่มสุราหมดจอกพร้อมกันและโยนจอกสุราไปข้างๆ
ทั้งคู่สบตากันอยู่นาน
จากนั้นก็ลุกขึ้นยืน หันหน้าเข้าหากันและถอยไปข้างหลัง
ลมราตรีที่พัดมาก่อนหน้านี้ พัดกลิ่นคาวเลือดในอากาศจางลงไม่น้อย
นายท่านจินเห็นหลี่จวิ้นชางยืนอยู่ที่นั่น
มือสั่นเล็กน้อย
เหตุใดมือเขาจึงสั่น
เพราะกังวล หรือเพราะเมามาย
แต่ในพริบตาที่มือของหลี่จวิ้นชางกุมด้ามดาบ ‘คืบศอกขอบฟ้า’ ก็ไม่สั่นอีกต่อไป
ความแข็งแกร่งที่รุนแรงและความหยิ่งทะนงที่ไม่อาจทำลายลงได้พลันพุ่งขึ้นสู่ชั้นเมฆในทันใด
หัวใจของนายท่านจินสั่นสะท้าน
ลำพังแค่ความยิ่งใหญ่เช่นนี้ ตนยังห่างชั้นนัก…
ทว่าตัวเขาก็มีสิ่งที่ยึดมั่นอยู่ในใจ
‘ดาบตัดเงา’ ของจวนชิง ไม่มีทางด้อยกว่าคืบศอกขอบฟ้าของตระกูลหลี่
หากคนที่มาเป็นผู้อื่น สิ่งที่นายท่านจินอยากจะรู้มากกว่าก็คือที่แท้แล้วเป็นผู้ใดกันที่จ่ายเงินทองจำนวนมากซื้อหัวของตน
แต่สำหรับหลี่จวิ้นชางแล้ว กลับไม่มีความหมายใด…
เพราะเขาจะไม่มีวันบอกเด็ดขาด
ฉะนั้นนายท่านจินก็จะไม่ถามเช่นกัน
มีเพียงเมื่อเขาใช้ดาบในมือทำลายคืบศอกขอบฟ้าของหลี่จวิ้นชางลงราบคาบแล้ว ทุกสิ่งย่อมกลายเป็นน้ำลดตอผุดเอง
………………………………………