ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 374 พายุฝนผิดแผกตายไม่รู้ตัว-3
บทที่ 374 พายุฝนผิดแผกตายไม่รู้ตัว-3
นับว่าชิงเสวี่ยชิงคอแข็งไม่เบาทีเดียว
นายท่านจินดื่มจากกาสุรา นางดื่มจากจอกสุรา
ดูไปแล้ว หนึ่งจอกเทียบหนึ่งกาก็นับว่าได้เปรียบกว่ามาก
ต้องรู้ก่อนว่าชิงเสวี่ยชิงเป็นคนที่เพิ่งเมามาแล้วยกหนึ่ง
แต่แรกก็นับได้ว่าการประชันสุรายกนี้ไม่ยุติธรรมกับนาง
ครึ่งชั่วยามผ่านไป นางจึงต้องกลับหออาภรณ์ปักลายไปก่อนโดยมีมารดาประคองไป
“นายน้อยใหญ่ก็ไปพักผ่อนเร็วสักหน่อยเถิดเจ้าค่ะ”
นางเสี่ยวจงบอกกับนายท่านจินก่อนไป
“ไม่รีบๆ…เราสองพ่อลูกไม่ได้พบกันนาน คืนนี้จะต้องดื่มให้สาแก่ใจ สนทนากันให้เต็มที่!”
ชิงหรานโบกมือพลางเอ่ย
ให้นางเสี่ยวจงรีบพาชิงเสวี่ยชิงออกไป
นางเสี่ยวจงอยากเตือนชิงหรานว่าอย่าดื่มมากเกินไป ไม่เช่นนั้นจะไม่สบายขึ้นมาอีก
แต่คำพูดมาถึงริมฝีปากก็กลับพูดออกมาไม่ได้สักคำ ได้แต่พยักหน้าและพาชิงเสวี่ยชิงออกจากประตูห้องไป
“น้องชิงน่าสนใจจริงๆ!”
นายท่านจินหันหน้าไปมองคราวหนึ่งจึงเอ่ย
“น้องสาวเจ้าผู้นี้ต่างกับแม่ของนาง”
ชิงหรานเอ่ยขึ้นมาลอยๆ
“เวลานี้ไม่เหมือน แต่วันหน้าจะเป็นเช่นใด ผู้ใดจะรู้ขอรับ”
นายท่านจินเอ่ยทั้งยักไหล่
แต่ถูกสั่งสมและสลักลงลึกมานับวันนับเดือน
หลังเขาไปจากจวนชิง แห่งแรกที่เขาไปไม่ใช่เหมืองแร่
คุณชายมีตระกูลที่มีเงินก้อนโตอยู่กับตัวผู้หนึ่ง เมื่อออกจากเรือนจะไปทำเรื่องใด?
แน่นอนว่าต้องไปหาความสำราญครึกครื้น
แต่นายท่านจินกลับไม่ได้ทำเช่นนั้น
คืนวันนั้น แสงเทียนในจวนชิงดับลงเร็วนัก
เสียงนกร้องแมลงร่ำก็ช่างหม่นมัว
ย่ำค่ำ ก้อนเมฆเบาบาง
ทั้งใจกายของนายท่านจินล้วนเต็มไปด้วยความอ่อนล้า
ลมอ่อนพัดสู่แดนดินที่ห่างออกไปสองลี้ แต่เขากลับก้มหน้าก้มตาเดินทางไปสามสิบลี้รวดเดียวโดยไม่หยุดพัก
เมื่อเดินผ่านตัวเมืองรัฐชิง ก็เพียงชะเง้อมองตามเสียงสตรีสนทนากัน แสงเรืองรองระยิบระยับข้างในเมืองหนหนึ่ง แต่กลับไม่ได้ก้าวเข้าไปแม้สักก้าว
แต่สถานที่ที่นายท่านจินไปก็คือที่ที่บรรพบุรุษซึ่งเป็นผู้คิดค้น ‘ดาบตัดเงา’ แห่งจวนชิงของพวกเขาซ่อมดาบ
ที่แห่งนั้นแม้แต่ชิงหรานก็ยังไม่เคยไปมาก่อน
ทว่าระหว่างการสนทนาที่ไม่จงใจครั้งหนึ่ง ชิงหรานกลับเคยบอกแก่นายท่านจินว่าหากวันหนึ่งเขาจิตใจไม่สงบ ก็จะไปดูที่นั่นสักหน่อย
นายท่านจินในเวลานี้ก็เป็นดังเช่นที่เขาบอก
“ท่านพ่อยังจำนี่ได้หรือไม่ขอรับ”
นายท่านจินเอ่ยขณะหยิบซองจดหมายซองหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ
ก่อนดึงกระดาษจดหมายที่พับอย่างเรียบร้อยแผ่นหนึ่งออกมาจากซอง
บนกระดาษจดหมายมีตัวอักษรว่า ‘สันติ’ เพียงหนึ่งตัว
นี่เป็นจดหมายที่ชิงหรานเขียนให้ก่อนเขาจะจากเรือนไป
เวลานั้นมีหิมะตกหนัก ทั่วผืนดินปกคลุมไปด้วยสีขาว
แม้แต่ภายในห้องก็ยังถูกความหนาวเย็นแทรกซึมเข้ามา
นายท่านจินถือแท่นฝนหมึก กำลังฝนหมึกอยู่ในห้องหนังสือของชิงหราน
ชิงหรานถือกระดาษจดหมายแผ่นหนึ่ง สะบัดพู่กันใหญ่หนหนึ่ง เขียนตัวอักษรหนึ่งตัวว่า ‘สันติ’
แต่ชิงหรานกลับไม่ได้เขียนตัวอักษรนี้ออกมาอย่างงดงาม
ทั้งพูดไม่ได้ว่าหนักแน่นมีน้ำหนักมากมาย
เห็นชัดว่าทุกขีดล้วนเขียนอย่างสิ้นเปลืองเรี่ยวแรงยิ่ง
“หงเอ๋อร์ เจ้าเข้าใจหรือไม่ว่านี่มีความหมายว่าอย่างไร”
ชิงหรานเขียนเสร็จก็โยนพู่กันไปในอ่างล้างแปรง และถามด้วยร้อยยิ้ม
“ลูกไม่ทราบขอรับ…ทว่าในความทรงจำของลูก ตั้งแต่ลูกเริ่มเข้ามาในห้องหนังสือนี้ตอนอายุสองขวบกว่า ท่านพ่อก็มักเขียนตัวอักษรตัวนี้”
นายท่านจินกล่าว
“ไม่ผิด ปีนี้เจ้าอายุสามสิบเจ็ด ครั้งสุดท้ายที่เห็นพ่อเขียนอักษร ‘สันติ’ นี้ก็ผ่านมาสิบเจ็ดปีแล้ว แต่กลับไม่รู้ว่าท่านปู่ของเจ้าเป็นคนสอนตัวอักษรนี้แก่พ่อ”
ชิงหรานกล่าว
ท่านปู่ของนายท่านจินย่อมหมายถึงผู้ปกครองจวนชิงคนก่อน
“เหตุใดท่านปู่เพียงสอนให้ท่านเขียนตัวอักษร ‘สันติ’ นี้หรือ”
นายท่านจินถาม
“จะว่าไป เขาก็ไม่เคยสอนพ่อมาก่อน แค่ให้พ่อไปเขียนเอง ยิ่งไปกว่านั้น ต้องเขียนทุกวัน เขียนไปก็ให้ไตร่ตรองไป เมื่อเขียนเสร็จแล้วจึงนำไปให้เขาดู”
ชิงหรานกล่าว
“หรือว่าตัวอักษรนี้จะมีความหมายลึกซึ้ง”
นายท่านจินไม่เข้าใจเรื่องการเขียนอักษร
แต่เมื่อได้ยินว่าจวนชิงสองชั่วคนกลับปักใจกับตัวอักษรตัวนี้ จึงอดสงสัยไม่ได้
“บ้านสันติสรรพสิ่งรุ่งเรือง เจ้าเคยได้ยินมาก่อนหรือไม่ว่าในแดนมนุษย์แห่งนี้ล้วนยึดถือสันติเป็นที่ตั้ง”
ชิงหรานถาม
นายท่านจินย่อมไม่เข้าใจ
แต่เมื่อเห็นบิดาพูดด้วยท่าทีเคร่งขรึมจึงจำต้องพยักหน้าตามไป
“โดยปกติแล้วเมื่อพ่อเขียนอักษรตัวนี้ ไม่ว่าจะเขียนกี่ครั้งกี่ปีกลับรู้สึกว่ายังขาดบางสิ่งไป…มีเพียงครั้งนี้ในวันนี้ที่เขียนออกมาได้มีพลัง เขียนออกมาได้มีจิตวิญญาณ เขียนออกมาได้งดงามดังเทพโดยแท้จริง!”
ชิงหรานพูดไปก็หัวเราะลั่นขึ้นมา
แต่นายท่านจินกลับหัวเราะไม่ออก
เพราะเขากำลังจะออกไปจากจวนชิงอยู่แล้ว
ข้างหน้าไร้ที่ไป ข้างหลังกลับไม่ได้
ไม่ว่าผู้ใดที่อยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ก็ยากจะหัวเราะออกมาได้ทั้งสิ้น
เขาสามารถสนทนากับบิดา ฟังบิดาพูดด้วยจิตใจที่สงบอยู่ที่นี่ได้ ก็นับเป็นเรื่องที่ทำได้ยากยิ่งแล้ว
“เวลานี้เจ้าเข้าใจแล้วหรือไม่”
ชิงหรานส่งกระดาษจดหมายที่เขียนตัวอักษร ‘สันติ’ ให้เขาพลางถาม
“ลูกเข้าใจแล้ว”
นายท่านจินกล่าว
และดื่มสุราไปอีกขวดหนึ่ง
“เข้าใจแล้วก็ดี เช่นนั้นตัวอักษรนี่ก็ไม่มีความจำเป็นต้องเก็บเอาไว้แล้ว”
ชิงหรานลุกขึ้นจากเตียง ถือกระดาษจดหมายแผ่นนั้นเดินมาจุดไฟตรงหน้าตะเกียง จากนั้นก็โยนออกไปนอกหน้าต่าง
“หากไม่เข้าใจลูกก็จะไม่กลับมา”
นายท่านจินกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ท่าทางผ่อนคลายอย่างยิ่ง
“เมื่อเจ้าเข้าใจแล้วย่อมจะต้องกลับมา ยิ่งไปกว่านั้นไม่ว่าจะเข้าใจเมื่อใดก็ไม่สายเกินไปทั้งสิ้น”
ชิงหรานกล่าว
ยกจอกสุราขึ้นมาชนกับขวดสุราที่บุตรชายถือเอาไว้ในมือ ก่อนแหงนหน้าขึ้นดื่มไปเองฝ่ายเดียวจนหมด
แต่นายท่านจินกลับไม่ได้ดื่ม
เขาขมวดคิ้วแน่น เคร่งขรึม ไม่พูดจา
“มีสิ่งใดอยากพูด เวลานี้ไม่มีผู้อื่นอยู่”
ชิงหรานถาม
“เหตุใดครานั้น ท่านพ่อต้องทำเช่นนั้นขอรับ”
นายท่านจินถาม
นี่คือข้อสงสัยที่ใหญ่หลวงที่สุดในใจเขา
หลังจากมารดาของเขาเสีย ชิงหรานต้องนอนป่วยอยู่บนเตียงเพราะเศร้าเสียใจเกินไป
นับแต่นั้นมา ทุกเรื่องในจวนชิงล้วนมอบให้นางเสี่ยวจงเป็นคนจัดการ
และด้วยเหตุนี้เอง ภายหลังจึงได้เกิดเรื่องปัดแข้งปัดขาและทะเลาะเบาะแว้งตามมาเป็นพรวน
นายท่านจินและเถ้าแก่เนี้ยจึงเลือกที่จะโบยบินไปแสนไกลในเวลานั้น
จากนั้นเป็นต้นมา ภายนอกนั้นจวนชิงยังคงเป็นจวนชิง แต่ในความเป็นจริงแล้วข้างในกลับเป็นแซ่จง
“ลูกรู้จักรัฐหง และอาณาจักรเจิ้นเป่ยอ๋องเช่นใด”
ชิงหรานถามพลางถอนหายใจ
นายท่านจินคิดสักพัก แต่สุดท้ายก็ยังส่ายหน้า
แต่ในเมื่อบิดาของตนถามออกมาเช่นนี้ ก็แสดงว่าสิ่งที่เขารู้นั้น มิใช่สิ่งที่ชิงหรานอยากจะบอก
“รัฐหงเป็นรัฐอันดับหนึ่งในอาณาจักรเจิ้นเป่ยอ๋องด้านแสนยานุภาพ ไม่ว่าจะเป็นกองทหารหรือยุทโธปกรณ์ และในด้านระดับพลังยุทธ์ในยุทธภพก็ยังเป็นอันดับหนึ่งด้วย”
ชิงหรานกล่าว
“ลองยังไม่ต้องเอ่ยถึงกองทหารหรือยุทโธปกรณ์ ว่ากันแต่ระดับพลังยุทธ์ในยุทธภพ จวนชิงของเราเรียกได้ว่าเป็นอันดับหนึ่งในรัฐหง!”
นายท่านจินกล่าว
ในน้ำเสียงเต็มเปี่ยมด้วยความภาคภูมิใจ
“อันดับหนึ่งเป็นเรื่องดี แต่อันดับหนึ่งก็มีเรื่องร้ายด้วย”
ชิงหรานกล่าว
“เป็นเพราะเหตุใดหรือขอรับ”
นายท่านจินถาม
“ว่ากันว่านกที่ตื่นเช้ามีหนอนกิน แต่ผู้คนกลับมักหลงลืมหลักการที่ว่าหน้าไม้ยิงนกที่โผล่หัวมาก่อน”
ชิงหรานกล่าว
“ด้วยเหตุนี้ พ่อท่านจึงคิดจะเลือกวิธีจำศีล?”
เวลานี้นายท่านจินจึงเพิ่งกระจ่างแจ้งขึ้นมา
แม้เขาจะรู้ว่าการที่บิดาของตนเจ็บป่วยจนลุกจากเตียงไม่ได้จะต้องมีความหมายลึกซึ้งใดอยู่ก็ตาม
แต่อาการเจ็บป่วยนี้เป็นมาสิบกว่าปีแล้ว
ลำพังแค่จิตใจที่เฝ้าอดทนรอ ก็เป็นเรื่องที่คนทั่วไปไม่อาจทานรับได้ไหว
เดิมทีในใจของนายท่านจินยังแค้นเคืองบิดาอยู่มาก
แต่เวลานี้กลับหายวับไปหมดสิ้น
ชิงหรานหยิบหยกประดับชิ้นหนึ่งจากตู้หัวเตียงของตนมา
เมื่อนายท่านจินเห็นลวดลายบนหยกประดับจึงตื่นตะลึงจนพูดไม่ออก
“ไม่ผิด นี่คือหยกประดับที่เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยามอบให้พ่อด้วยตนเอง ก็นับได้ว่าเป็นสัญลักษณ์แทนสัญญากระมัง”
ชิงหรานกล่าว
ใจของนายท่านจินตื่นตะลึงยิ่งนัก
แม้ว่าจวนชิงจะเป็นตระกูลใหญ่มีกิจการใหญ่โตแต่ก็อยู่ในรัฐหง
ในสายตาของเจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยา จวนชิงอาจเป็นเพียงมดตัวหนึ่งเท่านั้น
ทว่าเมื่อเทียบกับพวกเดียวกัน มดตัวนี้แข็งแกร่งกว่าเท่านั้น
“ตอนที่แม่เจ้าเสียไป เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาเคยมาเยือนในตอนกลางดึกเพียงลำพัง และมอบหยกประดับชิ้นนี้แก่พ่อตรงหน้าโลงศพแม่เจ้า”
ชิงหรานกล่าว
“เขาจะทำสิ่งใดกับจวนชิงเราขอรับ”
นายท่านจินถาม
ชิงหรานเห็นว่าบุตรชายของตนระมัดระวังถึงเพียงนี้ก็รู้สึกพึงพอใจอย่างยิ่ง
เพราะหากเป็นผู้อื่นมาได้ยินเรื่องนี้ก็จะต้องเบิกบานใจเป็นบ้าเป็นหลัง
แต่ในใต้หล้า ยิ่งเป็นเรื่องที่ประโคมข่าวใหญ่โต ก็มักเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น ไม่ได้เป็นแก่นสารอันใด
แต่ยิ่งเป็นจุดเล็กๆ ที่ปิดบังอำพราง กลับยิ่งมีอันตรายซุ่มรอบด้าน น่าประหวั่นพรั่นพรึง
“เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยารู้มานานแล้วว่า ในอาณาจักรเจิ้นเป่ยอ๋อง คล้ายมีขั้วอำนาจหนึ่งที่คอยวางแผนการอยู่ลับๆ…ทว่าเขาไม่มีหลักฐานใด เป็นเพียงสัญชาตญาณอย่างหนึ่ง ต้องรู้เสียก่อนว่าคนที่สามารถนั่งตำแหน่งอ๋องเช่นพวกเขานั้น ล้วนเป็นผู้ที่ชะตาฟ้ากำหนด มีบุญวาสนาสูงส่ง สัญชาตญาณของเจ้าและพ่ออาจเป็นเพียงการคาดเดาส่งเดช แต่เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยากลับไม่ใช่การยิงศรโดยไร้เป้า”
ชิงหรานกล่าว
“แต่เหตุใดเขาต้องเลือกจวนชิงของเรา”
นายท่านจินถาม
“พ่อเองก็ไม่รู้ ยิ่งไปกว่านั้น หลังจากเขามอบหยกประดับให้พ่อแล้ว ก็เพียงเอ่ยอีกเล็กน้อยสองสามประโยคเท่านั้น”
ชิงหรานกล่าว
“เขากล่าวสิ่งใดหรือ”
นายท่านจินถามอย่างร้อนใจ
ตัวเขาถึงกับโน้มไปข้างหน้าเล็กน้อย
“พ่อไม่อยากจะบอกเจ้า คำพูดนี้ ยิ่งมีคนรู้น้อยเท่าใดยิ่งดี”
ชิงหรานกล่าว
“ด้วยเหตุนี้ ที่ท่านพ่อไม่ขวางเรื่องข้ากับน้องไปจากจวนชิงในเวลานั้น ความจริงแล้วกลับเป็นวิธีปกป้องอย่างหนึ่งเองหรอกหรือ”
นายท่านจินถาม
“เรื่องเช่นนี้ พ่อจำเป็นต้องรับเอาไว้ เมื่อครู่แม่เล็กของเจ้าบอกว่า หากยอมรับข้อเสนอของเหวินทิงไป๋ ผู้ควบคุมรัฐหง จวนชิงของเราและจวนผู้ควบคุมรัฐหงก็จะผูกพันกันแนบแน่น ทว่าความจริงแล้วจวนชิงเรามีพันธะกับวังเจิ้นเป่ยอ๋องมานานแล้ว เมื่อเทียบกัน จวนผู้ควบคุมรัฐหงกลับไม่ควรค่าให้เอ่ยถึงด้วยซ้ำ”
ชิงหรานกล่าว
“เมื่อดูจากยามนี้แล้ว สิ่งที่เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยากังวลใจก็ไม่ได้ไร้เหตุผลทีเดียว”
นายท่านจินกล่าว
เขาคิดถึงเรื่องที่เบี้ยหวัดถูกชิงไป
เรื่องนี้จะต้องเกี่ยวพันกับสัญชาตญาณเมื่อครั้งก่อนของเจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาเป็นแน่
ทว่า เวลานั้นเพียงเป็นกังวล แต่ยามนี้กลับเกิดขึ้นจริงๆ เสียแล้ว
“ฉะนั้น เจ้าจะต้องเดินทางไปเหมืองแร่พร้อมกับเหวินฉีเหวินและน้องชิงของเจ้า การเดินทางครั้งนี้จะเกิดสิ่งใดขึ้นบ้าง ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่อาจล่วงรู้ พ่อจะส่งกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดของจวนชิงติดตามพวกเจ้าไปด้วย นอกจากนี้ บ่ายวันนี้ พ่อส่งคนไปที่วังเจิ้นเป่ยอ๋องแล้ว ไม่ว่าจะมีจดหมายตอบกลับมาหรือไม่ แต่อย่างน้อยก็จะต้องให้พวกเขารู้ไว้สักหน่อย…จวนชิงของเราสามารถเป็นตัวหมากในอุ้งมือเขา เพราะเราไม่มีความสามารถมากพอที่จะเลือกได้ แต่แม้จะเป็นแค่ตัวหมากให้ใช้เดิน ก็ต้องเป็นตัวที่อยู่รอดไปจนถึงสุดท้ายตัวนั้น”
ชิงหรานกล่าว
จอกสุราในมือเขาถูกกุมเอาไว้แน่น
นายท่านจินมองเห็นความไม่ยินยอมและความหนักแน่นภายในใจของบิดา
“เมื่อเรื่องนี้เสร็จสิ้นแล้ว ท่านพ่อเคยคิดถึงหนทางล่าถอยไว้บ้างหรือไม่ขอรับ”
นายท่านจินถาม
ตัวหมากที่รอดจนถึงสุดท้ายบนกระดานหมาก ย่อมต้องเผชิญกับชะตาของการถูกกำจัดอย่างยากจะเลี่ยงได้
วิหคสิ้นฟ้า เก็บคันศร กระต่ายม้วยมร ต้มสุนัขล่าเนื้อกิน
………………………………………