ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 371 ค่ำคืนฟ้าปลอดโปร่ง-6
บทที่ 371 ค่ำคืนฟ้าปลอดโปร่ง-6
ความทะเยอทะยานของนางสั่นคลอนเข้าแล้ว
บางทีตนควรจะเชื่อฟังวาจาของบิดามารดาและแม่สื่อ
หาตระกูลดีๆ และฐานะเท่าเทียมกัน
แต่งงานกับผู้ที่ไม่ใช่วีรบุรุษและฝีมือไม่ยอดเยี่ยม แต่สามารถใช้ชีวิตกับคนจริงใจพึ่งพาได้
แม้ชีวิตจะราบเรียบก็ตาม
แต่ไม่ว่าความรักจะร้อนแรงเพียงใด สุดท้ายก็วนกลับมาสู่การกินอาหารสามมื้อต่อวันไม่ใช่หรือ
เพียงแต่บางคนดื่มด่ำอาหารชั้นเลิศทุกมื้อ บางคนทานแต่อาหารเรียบง่ายเท่านั้น
แต่ไม่ว่าจะเป็นอาหารรสเลิศหรืออาหารเรียบง่าย กินลงท้องไปก็ทำให้อิ่มท้องได้เช่นกัน
ตราบใดที่ไม่ตาย ทุกคนก็ล้วนมีชีวิตอยู่เช่นกัน
“หากจวนชิงเฟื่องฟู สถานะของข้าย่อมเพิ่มตามกระแสน้ำไปโดยปริยาย แต่ถ้าจวนชิงตกต่ำลง การฟื้นฟูนี้ก็จะตกเป็นภาระที่ข้าต้องแบกรับ…ผู้อื่นเห็นเพียงแค่ว่าข้าพึ่งพาชื่อเสียงของจวนชิง แต่ไม่รู้ว่าทุกวันข้าต้องทนทุกข์ทรมานเพียงใด…”
ชิงหรานกล่าวพลางส่ายศีรษะ
นางเสี่ยวจงฟังคำพูดเหล่านี้ไม่เข้าใจ
นางตามความคิดของชิงหรานไม่ทันอย่างสิ้นเชิง
ในสายตาของนาง จวนชิงเป็นสิ่งมหึมาที่สูงตระหง่าน
แม้แต่ผู้ควบคุมรัฐหงผู้นั้นก็ยังเรียกว่าเป็นครอบครัวสหายพี่น้องของจวนชิง
นางเสี่ยวจงไม่อาจเข้าใจได้ว่าสิ่งที่ชิงหรานกล่าวว่าทุกข์ทรมานนั้นหมายถึงสิ่งใด
“แม่นางจะไปที่ใดหรือ”
นางเสี่ยวจงผิดหวังยิ่งนักและเตรียมจะจากไป
นางแอบเย้ยหยันตนเองอยู่ในใจเงียบๆ
ยามที่อยู่บ้านเกิดของนาง ผู้ที่มีฐานะยากจนเหล่านั้นมาสู่ขอเกี่ยวดองถึงเรือนล้วนแล้วแต่ถูกมารดาของนางกล่าวว่า ‘คางคกหมายจะกินเนื้อหงส์’
แต่บัดนี้มาถึงหัวเมืองรัฐหงแล้ว โดยเฉพาะหลังจากพูดคุยกับชิงหรานไม่กี่ประโยค นางเสี่ยวจงจึงรู้สึกจริงๆ ว่าตนเป็นคางคกที่หมายจะกินเนื้อหงส์เท่านั้น
หงส์ขาวสะอาดสง่างาม
ทว่าคางคกอยู่ในบ่อโคลนตลอดวัน…
เป็นไปไม่ได้ที่ทั้งสองฝ่ายจะลงเอยกัน
ชิงหรานลงจากม้ามาสนทนากับตนได้ บางทีอาจจะเป็นโชคหล่นทับและพรอันยิ่งใหญ่แล้ว
นางเสี่ยวจงเงยหน้ามองท้องนภา
นางรู้สึกว่าทุกสิ่งล้วนเป็นการตระเตรียมจากความมืดมิด
การพบกับชิงหรานเป็นเพราะฟ้าดินเป็นใจ
การที่เขาพูดคุยกับตนอย่างสุภาพอ่อนโยนก็เป็นชะตากรรม
แต่ชะตากรรมในตอนสุดท้ายก็คือ ทำให้นางตระหนักถึงความไม่เจียมตัวและความต่ำต้อยของตน…
บางครั้งการรู้มากเกินไปอาจทำให้ไม่มีความสุข
อย่างน้อยในหัวเมืองรัฐหงนี้ นางเสี่ยวจงก็มีความสุขน้อยกว่ายามที่อยู่บ้านเกิดมาก
“ข้าอยากกลับบ้าน”
นางเสี่ยวจงกล่าว
“โอ้…แม่นางอาศัยอยู่ที่ใดหรือ หากแม่นางไม่รังเกียจ ข้าสามารถไปส่งท่านได้”
ชิงหรานกล่าว
นี่กลับเป็นสิ่งที่นางเสี่ยวจงไม่เคยคาดคิด
เป้าหมายของชะตากรรมบรรลุผลแล้ว
ความสุขของการพบกันครั้งแรกเลือนหายไปจนสิ้น
ความทะเยอทะยานของตนก็สั่นคลอนเช่นกัน
หรือชะตากรรมจะไม่ยอมปล่อยนางไปเล่า
จะต้องให้ร่างกายนางบอบช้ำและเลือดไหลรินจนหมดตัวให้ได้เลยหรือ
นางเสี่ยวจงคิดเช่นนี้ ทว่าปากกลับเอ่ยตอบรับ
ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว
ต่อให้จะรุนแรงอีกสักเพียงใดก็ไม่ได้มีสิ่งใดน่ากังวลใจ
นางเสี่ยวจงเฉยชาไปเสียแล้ว
การปรากฏตัวของนางอาจเป็นเพียงเหตุการณ์ไม่คาดคิดสำหรับชิงหรานเท่านั้น
ไม่ได้ทำให้ชีวิตของเขาเกิดการเปลี่ยนแปลงใดๆ ยิ่งไม่นับว่าเป็นเรื่องน่าประหลาดใจเสียด้วยซ้ำ
ทว่าในตอนแรก นางเสี่ยวจงรู้สึกว่าอารมณ์ความรู้สึกสามารถเติมเต็มความทะเยอทะยานและปลอบใจนางได้
แต่บางคนก็เพียงแค่สัญจรผ่านเท่านั้น
ชิงหรานบอกว่าจะส่งนางกลับบ้าน บางทีอาจเป็นเพียงเพราะผู้สัญจรผ่านผู้นี้มีเวลาหยุดแวะนานขึ้นเล็กน้อยก็เท่านั้น
ชิงหรานประคองนางเสี่ยวจงขึ้นนั่งบนม้า
ส่วนตนจูงม้าและก้าวฉับๆ อย่างรวดเร็ว
นางเสี่ยวจงไม่ได้บอกว่าบ้านของนางอยู่ที่ใด
เพราะนางไม่ได้มีบ้านอยู่ในที่แห่งนี้
ดังนั้นเมื่อใดที่ไปถึงทางแยก ชิงหรานก็จะหยุดฝีเท้าแล้วหันกลับมามองนาง
นางเสี่ยวจงเพียงชี้ทิศทางไปมั่วๆ
ผู้คนในหัวเมืองรัฐหงรู้จักชิงหรานมากมายนัก
ยิ่งกว่านั้นรูปลักษณ์ของนางก็ไม่ได้นับว่าโดดเด่นในหัวเมืองรัฐหง
มีผู้คนคอยทักทายชิงหรานตามสองข้างทางตลอดเวลา
ขณะเดียวกันก็เบนสายตามองไปรอบๆ ร่างนางเสี่ยวจง
ทำให้นางว้าวุ่นใจนัก
เดิมสตรีก็หวังจะได้รับความสนใจมากอยู่แล้ว
โดยเฉพาะสตรีงาม
ยิ่งมีคนสนใจมากเท่าใด ก็พิสูจน์ความมีเสน่ห์ของนางมากเท่านั้น
ไม่จำเป็นต้องปิดบังซ่อนเร้นใดๆ
แต่นางเสี่ยวจงสัมผัสได้ถึงความดูแคลนและเหยียดหยามจากท่ามกลางสายตาของคนเหล่านี้
อย่างไรเสียตนก็เป็นสตรีที่ไม่ค่อยมีผู้ใดรู้จัก รูปลักษณ์พอดูดีอยู่บ้าง แต่ถึงกับให้คุณชายใหญ่แห่งจวนชิงจูงม้าให้ตน
คนทั่วไปย่อมมีความคิดน่ารังเกียจมากมายเสมอ
“เอาละ ข้าถึงแล้ว!”
จนแล้วจนรอดนางเสี่ยวจงก็ทนไม่ไหว กระโดดลงจากหลังม้าแล้วกล่าว
“แต่ว่า…ที่นี่คือประตูเมือง!”
ชิงหรานชี้เบื้องหน้าแล้วกล่าว
นางเสี่ยวจงไม่คุ้นเคยกับถนนหนทางในหัวเมืองรัฐหง
เพียงโพล่งออกไปมั่วๆ เท่านั้น
คิดไม่ถึงว่าจะมาถึงหน้าประตูเมืองหัวเมืองรัฐหงอย่างประจวบเหมาะ
นางมองหอคอยประตูเมืองสูงลิ่วพลางยิ้มอย่างขมขื่น
อย่างที่คาดไว้ ชะตากรรมนี้อยากจะกลั่นแกล้งนางเป็นครั้งสุดท้าย
“ข้าไม่ใช่คนที่นี่…ข้ามาจากชนบทน่ะ”
นางเสี่ยวจงกล่าว
น้ำเสียงดูเย่อหยิ่งยิ่งนัก
แม้ว่านางจะขายหน้าไปหมดแล้วก็ตาม
แต่ก็ยังไม่ยอมปล่อยความดื้อรั้นสุดท้ายในใจไปอยู่ดี
ความปั่นป่วนเหล่านั้นมลายหายไปนานแล้ว
นางเสี่ยวจงในตอนนี้มองชิงหรานเหมือนยามปกติ
มารดาของนางเสี่ยวจงเป็นเพียงสตรีธรรมดา
ไม่ได้ร่ำเรียนและไม่รู้หลักการสำคัญใดๆ
แต่นางเคยบอกกับนางเสี่ยวจงไว้ว่า
“ความรักคือการใช้เวลากับคนผู้หนึ่งตั้งแต่เช้าจรดค่ำ จากนั้นมาดูว่าผู้ใดจะตายก่อน”
“แต่ว่าเช่นนี้จะไม่น่ารำคาญเอาหรือ”
นางเสี่ยวจงเอ่ยถาม
“หากเจ้ารักใครสักคนอย่างแท้จริง ก็จะยอมรับและอดทนต่อข้อบกพร่องของเขาได้ตลอด สุดท้ายก็จะเคยชินกับมัน เจ้าดูพ่อของเจ้า ชอบแอบไปเล่นไพ่โกวตอนที่เฝ้าร้านเป็นประจำ ตอนแรกข้าก็ต่อว่าเขาแต่สุดท้ายก็ได้แต่หัวเราะแล้วปล่อยผ่านไป ข้าไม่มีสิ่งใดให้ต้องทำแล้ว เจ้าก็เติบใหญ่แล้ว หากเขาคันไม้คันมืออยากจะไปเล่นจริงๆ ข้าก็จะให้เขากลับบ้านมาบอกสักคำ ข้าจะได้ไปดูร้าน เขาก็จะได้ไปเล่นเท่าที่ต้องการ”
มารดาบังเกิดเกล้ากล่าวกับนางเสี่ยวจง
ทั้งสองอยู่ร่วมกันมานานแล้ว
ระหว่างทั้งคู่ก็ชินชาเช่นกัน
สุดท้ายแล้วหาได้เป็นความสวยงาม แต่เป็นการแสดงด้านที่น่าเกลียดที่สุดของกันต่างหาก
ความน่าเกลียดจึงจะเป็นความจริง
นางเคยเห็นบิดามารดาของตนทะเลาะกันและทำลายข้าวของ กระทั่งสะบักสะบอม คร่ำครวญโวยวาย สิ่งเหล่านี้กลายเป็นเรื่องปกติในสายตาของนาง
แต่มารดาของนางคุ้นเคยกับทุกการเคลื่อนไหว ทุกคำพูด และเส้นผมทุกอณูของบิดานางเป็นอย่างดี
แต่ก็เพราะคุ้นเคยเกินไป ฉะนั้นจึงกลายเป็นเรื่องธรรมดาไปเสียแล้ว
อย่างน้อยในสายตาของนางเสี่ยวจง ทุกสิ่งของบิดามารดานี้ไม่ทำให้ใจเต้นแรงอีกต่อไป
แต่ที่แปลกก็คือ ในสายตาของมารดาก็ยังไม่มีชายใดสามารถเทียบกับบิดาของนางได้
ไม่ว่าจะฉลาดเฉลียวหรือรูปงาม หรือแม้กระทั่งรูปร่างดูดี
ล้วนไม่อาจเทียบกับบิดานางได้
หลังจากยอมรับข้อบกพร่องเหล่านี้แล้ว ล้วนกลายเป็นความสมบูรณ์แบบในสายตาของมารดานางเสี่ยวจง
บางทียามที่ยังเป็นเด็กเล็ก บิดามารดาของนางเสี่ยวจงก็คงเคยชอบพอกันจนกระวนกระวายใจ
ค่ำคืนดึกดื่นคลุมโปงนอนไม่หลับพลิกตัวไปมาเพราะคิดถึงรอยยิ้มของกันในยามกลางวันก็เป็นได้
แต่หลังจากผ่านไปหลายปี
ในที่สุดก็สามารถปฏิบัติต่อกันตามปกติได้
ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงและไม่มีทางหนีพ้นไปตลอด
กลับไปสู่ความสงบนิ่งราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น
“ตอนนี้หากเจ้ากลับหมู่บ้านไป เกรงว่าคงต้องเดินทางตอนกลางคืนแล้ว…ไม่ปลอดภัย”
ชิงหรานกล่าว
“แต่ข้าต้องกลับบ้าน”
นางเสี่ยวจงกล่าว
“เจ้ากินข้าวหรือยัง”
ชิงหรานพลันเอ่ยถามขึ้นมา
นางเสี่ยวจงส่ายศีรษะ
“เช่นนั้นพวกเรากินข้าวกันก่อนเถิด! กินเสร็จแล้วค่อยวางแผน”
ชิงหรานกล่าวพลางยิ้ม
จากนั้นพานางเสี่ยวจงไปที่โรงเตี๊ยมพูนโชคในหัวเมืองรัฐหง
จวนชิงจองห้องส่วนตัวที่นี่ไว้สามห้องตลอดทั้งปี
ทันทีที่เถ้าแก่ร้านเห็นชิงหรานก็ค้อมกายคำนับต้อนรับอย่างสุภาพและพาขึ้นไป
ส่วนนางเสี่ยวจงเดินตามอยู่ด้านหลัง
ทุกสิ่งในโรงเตี๊ยมพูนโชคล้วนเป็นสิ่งที่เหนือความคาดหมายของนาง
…………………
“ฮูหยิน นายท่านตื่นแล้วขอรับ!”
ขณะที่นางเสี่ยวจงกำลังคิดว่าควรจะเอ่ยกับเหวินฉีเหวินอย่างไรนั้น บ่าวรับใช้ก็เดินเข้ามากล่าวอย่างกะทันหัน
“เหวินเอ๋อร์ ข้าจะไปดูสักหน่อย ไม่รั้งเจ้าไว้แล้ว หากช่วงนี้เจ้าว่างก็มานั่งเล่นที่นี่ได้ ข้ายังมีเรื่องอยากคุยกับเจ้า”
นางเสี่ยวจงลุกขึ้นแล้วกล่าว
“ขอรับน้าจง! รบกวนท่านกล่าวทักทายอาชิงแทนข้าด้วย!”
เหวินฉีเหวินกล่าว
นางเสี่ยวจงพยักหน้าจากนั้นให้บ่าวรับใช้พาเหวินฉีเหวินออกไป
ส่วนนางก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกพลางเดินไปยังเรือนหลักจวนชิง
“เจ้ามาแล้ว…”
นางเสี่ยวจงเดินเข้าไปในห้องของชิงหราน
แม้ว่าตอนนี้เขาจะซีดเซียวนัก แต่สมองหาได้เลอะเลือนและการได้ยินก็หาได้ลดลงไม่
“อยากกินสิ่งใดหน่อยหรือไม่”
นางเสี่ยวจงเดินเข้าไปนั่งที่ปลายเตียงแล้วถาม
“ในจวนเป็นอย่างไรบ้าง”
ชิงหรานเอ่ยถามพลางส่ายศีรษะ
บนแก้มของเขาไม่มีเลือดฝาดแม้แต่น้อย
ริมฝีปากแห้งแตก
แม้ในเรือนจะมีตะเกียงไฟ
แต่ร่างกายส่วนบนของเขาก็ยังอยู่ใต้เงาม่านเตียง
ทำให้มองเห็นไม่ชัด
“ในจวนเรียบร้อยดี”
นางเสี่ยวจงกล่าว
“ชิงเอ๋อร์ฝึกเป็นอย่างไรบ้าง”
ชิงหรานเอ่ยถามต่อทันที
“นางฝึกตนถึงดาบที่สามแล้ว ปลายปีก็น่าจะฝึกตนสำเร็จ”
นางเสี่ยวจงกล่าว
แม้ว่านางจะไม่เคยกล่าวชมชิงเสวี่ยชิงต่อหน้าก็ตาม
แต่ในใจนั้น นางภูมิใจในตัวบุตรสาวของตนยิ่งนัก
“ชิงเอ๋อร์นับว่าอนาคตไกล!”
ชิงหรานกระแอมเบาๆ แล้วกล่าว
“ข้าได้ยินมาว่าบ่ายวันนี้เหวินทิงไป๋มางั้นหรือ”
ชิงหรานกล่าว
เขาไม่อาจกล่าวจนจบประโยคได้อย่างฉะฉาน
ระหว่างนั้นยังหอบหายใจอยู่บ้าง
“เจ้าค่ะ…เขามาเพื่อขอความช่วยเหลือจากจวนชิงของเรา”
นางเสี่ยวจงกล่าว
“เจ้ารับปากแล้ว ถูกหรือไม่”
ชิงหรานกล่าวถาม
“ข้ารู้สึกว่านี่เป็นโอกาสดี”
นางเสี่ยวจงกล่าว
“โอกาสดีอันใด”
ชิงหรานกล่าว
“ด้วยวิธีนี้จะสามารถทำให้สถานะของจวนชิงพวกเรามั่นคงในรัฐหงมากยิ่งขึ้น”
นางเสี่ยวจงกล่าว
“เหวินทิงไป๋จะส่งบุตรชายของเขาไป ฉะนั้นเจ้าจึงให้บุตรสาวตามไปด้วย”
ชิงหรานกล่าวพลางหัวเราะ
“ข้าคิดว่าในเมื่อตัดสินใจร่วมมือกันแล้ว เช่นนั้นต้องมีความจริงใจสักเล็กน้อย”
นางเสี่ยวจงกล่าว
นางฟังไม่ออกถึงความเศร้าหมองหรือสุขใจจากน้ำเสียงของชิงหรานสักนิด และไม่รู้ว่าเขามีท่าทีเป็นเช่นไรด้วย
“เจ้าทำได้ไม่เลว นี่เป็นโอกาสดีจริงๆ ยิ่งกว่านั้นถึงเวลาแล้วที่ชิงเอ๋อร์จะออกไปสัมผัสประสบการณ์บางอย่างเสียบ้าง เอาแต่อยู่ในบ้านในเรือน ต่อให้ฝึกดาบเก่งเพียงใดก็ไร้ประโยชน์ จงรู้ไว้ว่าปลายดาบที่แหลมคมที่สุดในใต้หล้าคือจิตใจมนุษย์ นั่นเป็นสิ่งที่ดาบกระบี่ใดๆ ก็ไม่อาจต้านทานได้ทั้งสิ้น”
ชิงหรานกล่าว
“สมัยนั้นนายท่านก็เคยออกไปท่องเที่ยวภายนอกเช่นกันไม่ใช่หรือ”
นางเสี่ยวจงกล่าวพลางหัวเราะ
ดวงใจที่ห้อยเคว้งในที่สุดก็วางมันลง
ดูท่าแล้วชิงหรานจะยอมรับวิธีการของนาง
“ใช่…สมัยนั้นข้าก็ล้มลุกคลุกคลานมาไม่น้อย”
ชิงหรานกล่าวเย้ยหยันตนเอง
แต่จู่ๆ ก็รู้สึกผ่อนคลายขึ้นมา
นางเสี่ยวจงก็หัวเราะเบาๆ เช่นกัน
นางก็ได้รู้จักกับเขาระหว่างที่ชิงหรานกำลังเดินทางท่องยุทธภพในสมัยนั้นไม่ใช่หรือ
“แต่ว่าเรื่องเบี้ยหวัดถูกปล้นจะต้องระวังให้มาก ถึงกับกล้าเป็นศัตรูกับเจิ้นเป่ยอ๋อง ไม่ใช่ผู้ที่พวกเราจวนชิงจะล่วงเกินได้ พวกเราช่วยเหลือได้แต่จะต้องไม่ทิ้งร่อยรอยไว้”
ชิงหรานเปลี่ยนเรื่องแล้วกล่าว
“นายท่านคิดว่าเช่นไรจึงจะมั่นคงปลอดภัย”
นางเสี่ยวจงเอ่ยถาม
นี่หาได้ถามตามมารยาท
นางอยากฟังความเห็นของชิงหรานจริงๆ
“เจ้าออกมาเถิด!”
ชิงหรานไม่ตอบ ทว่าหันไปกล่าวกับด้านหลังเตียง
นางเสี่ยวจงเงยหน้าขึ้นทันที
มองเห็นคนผู้หนึ่งเดินออกมาจากเงามืดด้านหลังเตียง
ครั้นนางเสี่ยวจงมองเห็นใบหน้าคนผู้นี้ชัดเจน หัวใจอดสั่นรัวไม่ได้…
แม้กระทั่งริมฝีปากก็เริ่มสั่นอย่างควบคุมไม่อยู่
……………………………………………………………