ระบบศัลยเเพทย์…ในยุคสิ้นโลก - ตอนที่ 174
ตอนที่ 174 ทางออก
“อาจวิ้น ฉันรู้ว่าเธอต้องการที่จะทําลายสถานที่แห่งนี้และปิดช่องทางทั้งหมดระหว่างสองโลก แต่ตอนนี้เราได้พบรูหนอนใหม่และคาถาที่สร้างช่องระหว่างต้นไทรเหล่านี้แล้ว…เท่ากับพวกเรามีช่องทางให้ก้าวเดิน ฉันรู้ว่าสถานที่แห่งนี้มันอันตรายและเต็มไปด้วยของต้องสาป แต่สําหรับสํานักงานใหญ่ของเฟคต้าเขาไม่ได้คิดแบบเดียวกับฉันและเธอ สถานที่นี้..สิ่งที่พวกเขาเห็น…ในสายตาของพวกเขามันก็คือของมีค่าเป็นสิ่งที่ควรรักษาเอาไว้เพื่อเอาไว้ใช้ทดสอบและทดลองตามที่พวกเขาต้องการ ไม่ว่าจะเป็นศพของเหล่าสาวก เหล่าต้นไทร ดิน หิน หญ้าหรือแม้แต่หมาป่าทุกอย่างล้วนมีคุณค่าต่อการวิจัยและทดลองทั้งนั้น และมันอาจจะทําให้สามารถช่วยได้อีกหลายชีวิตในกาลข้างหน้า”
ในฐานะลูกจ้างของเฟคต้า เสวี่ยป้าพยายามที่จะกล่าวด้วยความจริงใจมากที่สุดเท่าที่เขาจะทําได้ เขาหวังว่าจะเกลี้ยกล่อมกู้จวินในทําในสิ่งที่พนักงานควรจะทําต่อนายจ้าง “โลกใบนี้ของพวกเราต้องการการสํารวจมากกว่านี้อีก พวกเราต้องการเก็บข้อมูล จากนั้นพวกเราจะสามารถแก้ปัญหาต่างๆได้มากขึ้น ตอนนี้ภารกิจของเรา เสร็จสมบูรณ์แล้ว การตัดสินใจว่าจะจัดการกับสถานที่นี้อย่างไรควรปล่อยให้ผู้บังคับบัญชาจัดการเถอะ…”
ความหมายของเสวี่ยป่านั้นชัดเจน เขากําลังบอกว่ากู้จวินว่ากู้จวินนั้นเป็นเพียงลูกจ้างเล็กๆของเฟคต้าที่ไม่มีอํานาจและมีเงินเดือนเพียงน้อยนิดอะไรที่ไม่เกี่ยวกับตัวเองก็อย่าไปสนใจให้มันมากนักอย่าหาเรื่องเดือดร้อน ใส่ตัวเอง…งานอะไรที่ไม่ใช่ของตนแล้วก็เลิกสนใจมันไปซะปล่อยให้คนอื่นเขารับหน้าแทน จากนั้นก็รับความ ชอบไปอย่างสบายๆ นั่นคือสิ่งที่เสวี่ยป้าต้องการให้กู้จวินรับรู้และมันก็เป็นมารยาทของการทํางานด้วย
นอกจากคําว่ามารยาทแล้วมันก็คือผลประโยชน์ขององค์กร ที่องค์กรเฟคต้าตั้งมาถึงทุกวันนี้ไม่ใช่เอาข้อมูลมาจากการนั่งเทียนเขียนข่าว พวกเขาล้วนส่งคนไปตายมากมายเพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูล ข้อมูลทุกอย่างและตัวอย่างอันตรายมากมายตกอยู่ในความครอบครองของเฟคต้าพวกเขาใช้มันในการทดลองและเก็บข้อมูลเพื่อคนรุ่นหลังจะได้ปลอดภัยเพื่อมนุษยชาติทุกคน…ดังนั้นในสถานการณ์นี้ควรจะจัดการยังไงมันก็ขึ้นอยู่กับผู้บัญชาการจะสั่ง
ระดับเสวี่ยป้าและกู้จวินเองไม่มีอํานาจตัดสินใจในตรงนี้ แต่บางที่สถานการณ์เบื้องหน้าก็ไม่ควรรอให้หัวหน้าเป็นผู้ตัดสินบางทีคนที่ทํางานในระดับปฏิบัติการย่อมสามารถจัดการได้ตามใจอย่างเช่นกู้ที่กําลังคิดจะทําลายสถานที่แห่งนี้ด้วยตัวเอง
ถึงปากจะไม่ได้พูดออกมาแต่เสวี่ยป้ารู้ได้อย่างชัดเจน เขาจะทําลายที่นี่จนเป็นจุลแน่… ด้วยอํานาจของคาถาและความสัมพันธ์ดีกันมาพักใหญ่ เขาไม่อาจที่จะทํารุนแรงต่อชายหนุ่มได้และชายหนุ่มก็ถือเป็นเพื่อนที่ดีต่อเขาคนหนึ่ง เขาก็ทําได้เพียงเดือน ส่วนที่เหลือก็แล้วแต่กู้จวินจะตัดสินใจเถอะ…เพราะยังไงเขาก็รู้ว่าเขาห้ามชายหนุ่มคนนี้ไม่ได้ชายหนุ่มที่ฆ่าสาวกจนเกือบหมดถ้าไม่เกิดอาการบาดเจ็บซะก่อน สาวกก็คงตายเรียบ…แล้วเขาจะไปห้ามคนแบบนั้นได้ยังไง
หยางเฮ่อหนานพยักหน้าเห็นด้วยกับเสวี่ยป้าทันที แน่นอนว่าเขาไม่บังคับคู่จวิน “ก็จริงนะ เมื่อเร็ว ๆ นี้มีเรื่องที่เกี่ยวข้องพลังงานที่ผิดปกติมากเกินไปไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นอีก ดังนั้นเฟคต้าต้องการข้อมูลมากที่สุดเท่าที่จะหาได้”
“ใช่” เสวี่ยป้าเมื่อได้แนวร่วมเกลี้ยกล่อมเขาก็หน้าด้านกว่าเดิมทันที “หากเส้นทางที่ไม่มีข้อจํากัดเรื่องจํานวนคนและพื้นที่ สถานที่นี้จะกลายเป็นสํานักงานใหญ่แห่งใหม่ของเราในวันพรุ่งนี้แน่นอน เพื่อนร่วมงานมากกว่าหมื่นคนของเฟคต่จะตั้งค่ายที่นี่”
กู้จวินได้แต่มองและถอนหายใจแทนคําตอบ… แน่นอนว่าเขาไม่อาจโทษหัวหน้าเสวี่ยป้าและหยางเฮ่อหนานได้ พวกเขาเป็นคนธรรมดา ดังนั้นพวกเขาจึงไม่รู้นิมิตและรู้ข้อมูลทั้งหมดเหมือนที่จวินรู้ และความคิดเห็นที่หัวหน้าแสดงออกมาและแนะนําเขา แน่นอนว่าถ้าเป็นในกรณีปกติมันก็ควรจะทําตามนั้น
เพราะเป็นเฟคต้าเองก็ขาดแคลนข้อมูล พวกเขาไม่มีคนจํานวนมากเพียงพอที่จะส่งออกไปหาข้อมูลด้วยซ้ํา… แต่ถึงจะเจ็บปวดยังไงเขาก็ไม่สามารถเปิดเผยความจริงข้อนี้ให้พวกเขารู้ได้อยู่ดี ไม่อย่างนั้นการมีตัวตนของเขาจะกลายเป็นอันตรายต่อโลกนี้มากยิ่งขึ้น และจุดจบของเขาอาจจะจบอยู่ที่การถูกฝังร่างอยู่ภายใต้พื้นที่ลึกลับแห่งนี้ เพื่อความปลอดภัยของตัวเองเขาจําเป็นต้องปิดบัง…
ความจริงทั้งหมดที่อยู่เบื้องหลัง โรคต้นไทรมนุษย์เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับโลกใบอื่นที่ล่มสลายมันไม่มีหลักฐาน และไม่มีที่มาที่ไปที่ชัดเจน แถมตัวเขาเองก็รู้แค่วงจํากัด ไม่สามารถบอกรายละเอียดทั้งหมดได้ด้วยซ้ำ…แน่นอนว่าถ้ามีโรคแบบนี้เกิดขึ้น สิ่งที่เลวร้ายมากกว่ามันย่อมมี! เขาจําได้ว่าเหมือนจะมีอะไรบางอย่างที่ชื่อว่าโรคไอเป็นเลือด มันคืออาการเจ็บป่วยที่กวาดล้างอารยธรรมต่างโลกไปทั้งหมดมันทําให้โลกนั้นล่มสลายและ ทําให้คนเก่งยังแลนดอนและเรย์บันด์ต้องถึงกับจนมุม แม้กระทั่งคนรักของเรย์บันก็ตายไปด้วยโรคนี้เช่นกัน
ถ้ามันแพร่กระจายมาในโลกของเขาล่ะก็…ในขณะที่คิดกู้จวินก็มองท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยสีเทาและไร้ซึ่งสิ่งมีชีวิตด้วยท่าทางมุ่งมั่น
เมื่อนั้นจะเป็นจุดจบของโลกมนุษย์อย่างแท้จริง!!
ก่อนที่พวกมันจะมีกําลังเพียงพอ…จะดีกว่าที่จะไม่เปิดกล่องแพนดอร่าแห่งความลับ เช่นเดียวกับกรุงโรมในอดีต…แม้ว่าพวกเขาจะรุ่งโรจน์ก็ตามแต่มันก็เป็นในอดีตไปแล้ว แม้แต่การชําเลืองมองก็อาจก่อให้เกิดความฉิบหายขึ้นมาได้
“งั้นตอนนี้อันดับแรก พวกคุณทุกคนควรยืนรวมกันอยู่ที่ตรงนี้ก่อน อย่าลืมจัดของทุกอย่างให้พร้อมด้วยนะครับ” คู่จวินเริ่มสร้างแผนในใจของเขาและแนะนําทุกคนอย่างรวดเร็ว
“ปัจจุบันรูต้นไม้นี้ยังคงปิดสนิทอยู่…และมันเองก็มีพลังมากกว่าที่ผมคิด… ดังนั้นด้วยสภาพของผมในตอนนี้ ผมคงมีปัญญาเปิดโพรงทางออกนี้ได้เพียงแค่ครั้งเดียวและจะเป็นโอกาสเดียวของพวกเราด้วย และหลังจากที่พวกคุณเข้าไป ผมเองก็ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับพวกคุณเช่นกัน ดังนั้นแล้วเพื่อความปลอดภัยของทุกคน พวกคุณกรุณาดูแลรักษาตัวเองให้ดีๆและอย่าหันกลับมาทางนี้อย่างเด็ดขาด ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ขอให้พวกคุณเดินไปข้างหน้าและตามคนที่อยู่ด้านหน้าตลอดอย่าได้หันมาทางข้างหลัง และไม่ต้องห่วงเรื่องของเชื้อโรค ด้วยลางสังหรณ์ของผมต้นไม้ต้นนี้ไม่ได้ติดเชื้อโรคเหมือนต้นไม้ต้นอื่นๆ นั้นจึงสามารถผ่านไปได้ แต่เพื่อความ ปลอดภัย พวกคุณสามารถไปเอาเสื้อคลุมของสาวกบริษัมไล่เฉิงมาสวมใส่ได้ บางที่พวกเขาอาจจะร่ายคาถาอะไรบางอย่างทําให้สามารถผ่านตรงทางออกนี้ไปได้อย่างง่ายดาย…ถึงผมจะไม่มั่นใจเท่าไหร่ แต่ใส่ไว้มันก็ดีเพราะถ้ามันป้องกันได้อย่างน้อยก็ทําให้พวกเราปลอดภัยขึ้น”
เนื่องจากมาสํารวจกันเพียงแค่สามคน… คําพูดของจวินที่พูดออกมาเมื่อครู่นี้นั้นมันเหมือนเป็นพรจากพระเจ้า… พวกเขารีบถอดอุปกรณ์ป้องกันทั้งหมดออกทันที เพราะเมื่อมาถึงทางออก มันก็ไร้ประโยชน์แล้ว เขาถอดมันแล้วส่งคืนให้กู้จวิน จากนั้นกู้จวินก็บอกให้ทั้งสองคนยืนรออยู่ตรงนี้ก่อนส่วนตัวเขาเองก็เดินกลับไปที่ศาลเจ้า…
ระยะทางระหว่างที่นี่กับศาลเจ้านั้นอยู่ห่างกันเพียง 300 เมตร มันเป็น 300 เมตรที่แสนจะสั้นถึงขนาดวิ่งได้ ภายในไม่กี่นาที แต่ว่าที่นี่ไม่ใช่สนามกีฬา แต่มันคือป่าลึกลับอันมืดมิดที่เต็มไปด้วยต้นไทรที่น่าสะพรึงกลัวและ หมอกที่หนาทึบทําให้สามารถทําให้คนหลงได้อย่างง่ายดาย..
คนอื่นอาจจะหลงแต่ไม่ใช่กับคู่จวิน เขาคือบุรุษที่มีความจําดีที่สุดในกลุ่มนักล่าอสูรแล้ว
ทันทีที่เขากลับมาถึงศาลเจ้า เขาก็เอาชุดป้องกันให้กับสมาชิกของหน่วยนักล่าอสูรใส่ จากนั้นก็พาคนที่สวมใส่ชุดป้องกันไปที่โพรงต้นไม้ จากนั้นก็ถอดชุดป้องกันมาและไปให้คนอื่นใส่อีกและทําแบบนี้สลับกันถึง 7 ครั้ง
หลังจากขนกันเป็นเวลานานในที่สุดรอบสุดท้ายก็มาถึง และคนสุดท้ายที่ออกจากศาลเจ้าคือชายที่ชื่อ เกาหมิงเผิง
หลังจากขนย้ายคนเสร็จสิ้นเรียบร้อย ทุกคนก็มาอยู่รวมกันที่เบื้องหน้าโพรงของต้นไม้ทันที ทุกคนปลอดภัย และไม่มีร่องรอยอาการบาดเจ็บใดๆทั้งสิ้น ถ้าไม่นับคนที่บาดเจ็บอยู่แล้วอย่างหลินพ่อและลู่เสียวหนิง
หากสังเกตดูดีๆจะพบว่าเหล่าสมาชิกนักล่าอสูรพวกนี้ไม่ได้มาตัวเปล่าเล่าเปลือยหรือถือแค่อาวุธเหมือนตอนก่อนมา แต่พวกเขามีเปลหามและกล่องอะไรหลายๆอย่างคาดว่านั่นคงจะเป็นชิ้นส่วนของบรรดาเหล่าสาวก และสุนัขกลายพันธุ์…
ก็เข้ามาแล้วจะให้เสียเวลาเปล่ามันก็ใช่ที่ ออกมาแล้วก็ควรจะเก็บเกี่ยวให้เต็มที่ถูกไหม!? พวกเขามีเปลหาม เสื้อคลุมที่เก็บรักษาไว้อย่างดีสิบหกชิ้น เนื้อเยื่อจากศพ และกระโหลกศีรษะของผู้นําสาวกไปบรรณาเฟคต้าในครั้งนี้
เกี่ยวกับเครื่องมืออาวุธ และระเบิดอื่นๆ พวกเขาฟังคําแนะนําของคู่จวินทั้งหมด และเด็กหนุ่มคนนี้ยังพูดจา น่าตกใจก็คือเขาจะอยู่ที่นี่เพื่อส่งทุกคน
“ในสถานะปัจจุบันของฉัน ฉันไม่สามารถรับประกันได้ว่าเส้นทางจะสามารถรองรับน้ําหนักได้มากขนาดนี้ ดังนั้นยิ่งเราแบกของน้อยลงเท่าไหร่ เส้นทางก็จะยิ่งมั่นคงมากขึ้นเท่านั้น” กู้จวินอธิบายในขณะที่เขาก็หยิบกระดาษหนังโบราณห้าหน้าและมีดผ่าตัดออกมา “ฉันต้องการสิ่งเหล่านี้เพื่อร่ายมนตร์”
“…” ทุกคนเชื่อว่ากูจวินไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของบริษัทไล่เฉิงแน่นอน นอกจากนี้ พวกเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเชื่อกู้จวิน
“ฉันจะรออยู่ข้างหลังเพื่อทําให้ช่องมีเสถียรภาพ ไม่ต้องกังกล” กู้จวินอธิบายเพิ่มเติมอีกเล็กน้อย “อีกด้านของช่องน่าจะเชื่อมต่อกับต้นไทรที่อยู่ทางทิศตะวันออก หลังจากที่คุณเข้าไปในรูต้นไม้แล้วอย่าหันหลังกลับเดินต่อไปจนกว่าจะถึงทางออก รอฉันด้วย! ฉันน่าจะกลับไปหาพวกคุณในเร็วๆ นี้”
คํานี้ไม่ต่างอะไรจากการขับไล่! ปากของเสวี่ยป้าเองก็กระตุกเล็กน้อยด้วยความกังวล เขาหันไปมองกู้จวินด้วยสายตาที่สื่อความนัยก่อนที่จะพูดประโยคสุดท้ายออกมาเพื่อเกลี้ยกล่อมเขา “อาจขึ้นฉันหวังว่าเธอจะรู้ว่ากําลังทําอะไรอยู่นะ?”
หัวใจของกู้จวนเต้นกระตุกเล็กน้อย ดูเหมือนเสวี่ยป้าจะสามารถเดาได้ว่าฉันกําลังวางแผนอะไรอยู่ อืม…
“ฉันจะเริ่มร่ายคาถาแล้ว!” คู่จวินพยักหน้าอย่างรุนแรง จากนั้นเขาบ่นต่อ “ฉันเป็นคนเดียวที่รู้ว่าต้องทําอะไรดังนั้นฉันจะเริ่มร่ายเวทย์เดี๋ยวนี้”
มือข้างหนึ่งจับมีดผ่าตัด…เพื่อระงับอารมณ์ที่มีดมิดและอีกมือที่สวมถุงมือแตะไว้กับต้นไทร เขาพยายามสื่อสารกับมัน เขาพูดเป็นภาษาต่างประเทศว่า “เปิดช่องว่างซะ ฉันขอสั่งให้คุณเปิด!”