ระบบศัลยเเพทย์…ในยุคสิ้นโลก - ตอนที่ 157
ตอนที่ 157 ศาลเจ้า
[โครมมมมม!!] หลังของกู้จวิ้นกระทบลงพื้นอย่างรุนแรง..มันแรงพอที่จะทําให้ร่างกายของเขาแหละเละเป็นของเหลว ทันใดนั้นความเจ็บปวดที่เรียกว่า “เจ็บชิบหาย” ของจริงได้บังเกิดขึ้นกับเขา
เขาเคยได้ยินคนอื่นมักพูดคําว่า “เจ็บชิบหาย” เวลาที่ถูกต่อยหรือถูกทําร้าย กระทั่งหัดขี่จักรยานแล้วล้ม พวกเขาก็ยังอุทานว่า เจ็บชิบหาย…
แต่นั่นมันเรียกว่า “เจ็บชิบหายของจริงเหรอ? มันก็แค่ความเจ็บแบบชั่วครั้งชั่วคราว และสามารถหายได้เพียงแค่ผ่านไปไม่ถึง 1 นาที… มันก็แค่ความเจ็บปวดเล็กน้อย และมันเทียบไม่ได้กับประสบการณ์ความเจ็บที่เขาได้เผชิญอยู่ในขณะนี้
มันเป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขาได้รู้ว่าเจ็บชิบหายของจริงมันต้องรู้สึกยังไง
และเขาไม่ปรารถนาที่จะรู้สึกแบบนี้อีก….
ทันทีที่ความเจ็บปวดที่เกินขีดจํากัดของมนุษย์ได้แผ่ซ่านไปทั่วร่างกายของเขา กู้จวินก็รู้สึกว่าเซลล์ทั่วร่างกายของเขากําลังจะแตกกระจายออก แม้กระทั่งร่างกายที่เคยแข็งแรงก็กําลังจะกลายเป็นเนื้อบดทั้งที่มีชีวิต และเกิดขึ้นในตอนที่เขายังเป็นๆ
และนี่เป็นครั้งแรกที่นิมิตมีประโยชน์กว่าที่เคยเป็น…. นิมิตอาจจะทําให้เขาได้รู้อะไรหลายๆอย่างเช่น อนาคตและอดีต รวมถึงปริศนาที่ถูกเก็บซ่อนไว้มานานกว่าร้อยปี และในครั้งนี้มันก็มีประโยชน์มากที่สุด นั่นก็คือมันสามารถให้เขารอดพ้นจากความเจ็บปวดได้ด้วย
นิมิตได้กระชากเขาออกจากความเจ็บปวดและนําพาไปสู่โลกจริง….
แสงสีเทาได้หวนกลับมาในเบื้องหน้าของเขาอีกรอบหนึ่ง แผ่นหินที่เต็มไปด้วยเลือดและเสียงกรีดร้องได้หายไปแล้ว… และรอบๆนี้ ในยามนี้ก็เต็มไปด้วยความสงบสุขอย่างแท้จริง
“มันเปิดแล้ว พวกเราเปิดได้แล้ว!” ลุงด้านตะโกนร้องด้วยความปิติยินดี ทันทีที่เห็นแสงสว่าง ลุงต้านก็ดีใจเกินกว่าจะระงับได้แล้ว
ในขณะที่เสวี่ยป้าและหยางเฮ่อหนานไม่ได้ดีใจไปด้วยเพราะสถานการณ์นั้นอยู่ระหว่างหัวเลี้ยวหัวต่อ…พวกเขาและทีมจู่โจมได้ลุกขึ้นนั่งและปีนขึ้นไปบนแท่นหินด้วยพลังงานเฮือกสุดท้ายที่พวกเขามี พวกเขาเตรียมปืน และตั้งโล่ห์กันอย่างเร่งด่วน การหายใจหนักของพวกเขาคละเคล้าไปกับเสียงโห่ร้องดีใจของลุงต้าน
“เฮือกกกก..” ใบหน้าของกู้จวิ้นซีดมากจนดูเหมือนว่าเขาจะเสียชีวิตไปอย่างน้อยหนึ่งครั้งในภาพนิมิต… ความเจ็บปวดและสิ้นหวังนั่น ชาตินี้คงยากที่เขาจะลืมเลือน
ใบหน้าของเขาซีดเผือดจนดูเหมือนคนตาย แม้กระทั่งการหายใจก็แทบจะสลับสับเปลี่ยนหมุนวุ่นวายไปหมด… อาการของเขาเต็มไปด้วยพิรุธและน่าสังเกตอย่างยิ่ง
แต่ต้องขอบคุณฟ้าดินที่ตอนนี้ทุกคนกําลังยุ่งอยู่ พวกเขากําลังเอาใจช่วยทีมจู่โจมที่ปีนขึ้นไปด้านบน ดังนั้น จึงไม่มีใครสนใจกู้จวิ้นที่ทําท่าเหมือนคนใกล้ตายแม้แต่นิดเดียว
พวกเขาอาจจะมองเห็นกู้จวิ้นที่กําลังหน้าซีดแต่ก็คงคิดแค่ว่ากูจวินนั้นคงเหนื่อยที่ออกแรงผลักมากเกินไป… หรือไม่ก็คิดแค่ว่าหนุ่มสาวสมัยนี้มันช่างไม่อดทนเอาซะเลย
แต่เรื่องนี้มันไม่เกี่ยวกับความคิดของกู้จวิ้นหรอก กู้จวิ้นลืมตาตื่นขึ้นและมองไปที่รอบๆตัวของเขา…
และตอนนี้ภาพลวงตาที่ว่านั้นได้หายไปแล้วอย่างสมบูรณ์ สิ่งที่เขาเห็นทั้งหมดก็คือสถานการณ์ปัจจุบันของตนเอง แต่ว่าเป็นสถานที่เดียวกับในอดีตในภาพนิมิตนั่นแหละ…. ความน่ากลัวและจิตสังหารนั้นได้หายไปตามกาลเวลาที่แปรเปลี่ยน
อดีตอันเลวร้ายของสถานที่แห่งนี้ได้ถูกกาลเวลากลบทับและหลอมละลายจนกลายเป็นสภาพอย่างอื่นไปแล้ว…มันไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
แต่..!!
ใครที่อยากให้เขาเห็นอดีตที่น่ากลัวนั้นกัน?
“นั่นไม่ใช่แท่นหินธรรมดาแล้ว..” เสียงของเสวี่ยป้าดังลั่นมาจากด้านบน เลยทําให้ลู่เสี่ยวหนิงและคนอื่น ๆ ต้องบังคับให้ตัวเองลุกขึ้นยืนเพื่อมาฟังข่าวด้วย
และเมื่อทุกคนยืนขึ้นทั้งหมด กูจวินก็รีบยืนขึ้นอย่างลังเล และทันใดนั้นเขาก็สังเกตเห็นว่า แท่นหิน ที่พวกเขาดันไปนั้นมันไม่ใช่หินธรรมดาแต่มันเป็นแท่นบูชาต่างหาก และที่มันหนักขนาดนั้นก็เพราะว่าด้านหนึ่งของมันมีการแกะสลักลวดลายแปลกประหลาดและมีพื้นที่มากกว่าแท่นหินที่อยู่ด้านล่าง
“อืม มันไม่แปลกเหรอ? ฉันคิดว่าตอนนี้พวกเราน่าจะอยู่ที่ศาลเจ้า” ลุงต้านบอกทุกคนด้วยเสียงกระซิบ
แต่ก็ไม่ผิดจากความจริงเท่าไหร่
ที่ที่พวกเขาโผล่มาหลังผลักแท่นหินก็คือ “ศาลเจ้า” และสิ่งที่พวกเขาเดินมาตลอดก็คือทางลับ!
นี่คือศาลเจ้าที่สร้างจากหิน มันสูงขึ้นไปประมาณสิบเมตรเหนือพื้นดินสีดําที่เต็มไปด้วยความเหม็นอับและน่าขยะแขยง ทั้งด้านล่างและด้านบนล้วนแต่มีสัญญาณของความเสื่อมโทรมอยู่ทั่วทุกหนทุกแห่งตั้งแต่ด้านนอกยันด้านใน แค่ยืนอยู่ตรงนี้พวกเขาก็รู้สึกกดดันจนแทบหายใจไม่ออกแล้ว บรรยากาศมันคล้ายอยู่ในพิธีศพไม่มีผิด
รอบๆ นั้นมีเสาหินขนาดใหญ่อยู่สี่เสา ที่ปลายทั้งสี่ของแท่นบูชาแตกออกไปทางเสาหินทั้งสี่ และแท่นบูชาที่วามีการที่แกะสลักที่สวยงาม อีกทั้งรอบเสาเองก็มีการแกะสลักด้วยเช่นกัน
นั่นทําให้รู้ได้ชัดเจนว่าที่นี่ต้องสถานที่ทางศาสนาของลัทธิอะไรบางอย่างก็เป็นไปได้ พวกเขาค่อยๆ ออกมาจากทางด้านหลังแท่นบูชาที่ตั้งอยู่ตรงกลางของศาลเจ้าอย่างเชื่องช้าเพราะต้องคอยมองว่าจะมี “คน” แปลกๆ มาแอบดูพวกเขาอยู่เปล่า
พวกเขาทุกคนมองไปที่ศาลเจ้าที่พวกเขากําลังยืนดูอยู่ ด้วยแววตาที่สังเกต ทุกสิ่งทุกอย่างอย่างรอบคอบ จากนั้นหลังจากมองข้างๆรอบหนึ่งพวกเขาก็พบว่าศาลเจ้าแห่งนี้ดูเหมือนจะไม่ใช่สถานที่ทางศาสนาที่ประกอบกิจกรรมศาสนาทั่วไปเหมือนศาสนาในมนุษย์โลกของพวกเขา แต่ดูเหมือนว่าที่นี่จะมีไว้เพื่อบูชายัญ”
และเหยื่อที่เอามาไว้บูชายัญ… ก็คงจะเป็นสมาชิกหน่วยนักล่าอสูรทั้ง 16 คนที่กําลังยืนหน้าซีดอยู่ตรงนี้
หมอกสีเทาได้เริ่มปกคลุมรอบๆ ศาลเจ้าและสะท้อนสีของท้องฟ้าที่ไร้ชีวิตชีวาผ่านทางสายหมอก พวกเขาเห็นต้นไม้ใหญ่ที่มีหน้าตาน่าขนลุกและบิดเบี้ยวรอบๆ ศาลเจ้าเต็มไปหมด จากนั้นดูเหมือนว่าพวกเขาจะได้ยินเสียงคร่ําครวญของคนตายที่เล็ดลอดออกมาจากม่านหมอก
ในขณะที่กําลังมองดูอยู่นั้น พวกเขาก็ย้ายสายตาไปที่กลุ่มต้นไม้รูปร่างผิดปกติมากมายที่ตั้งอยู่รอบๆศาลเจ้า…และภาพที่น่าตกใจก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าของพวกเขา
กู้จวินและกลุ่มนักล่าอสูรคนอื่นๆ มองเห็นเงาของกลุ่มสิ่งมีชีวิตจากทางด้านหลังของต้นไม้เหล่านั้น…. พวกมันขยับและกําลังเดินอยู่เป็นขบวน ดูเหมือนสิ่งมีชีวิตพวกนั้นจะสวมชุดคลุมสีดํา… ในขณะที่บางตนสวมชุดคลุมสีแดง
และชุดคลุมสีแดงนั้นมีจํานวนน้อยกว่าชุดคลุมสีดํามาก
เมื่อเห็นดังนั้นทุกคนก็รีบจองมองไปที่กองทัพของสิ่งมีชีวิตแปลกตาที่โผล่ให้มาเห็นเฉพาะแต่เงาเท่านั้นเองทันที
ในขณะนั้นเอง…อีกาสีดําบินผ่านท้องฟ้าสีเทาและตัดผ่านกลุ่มเมฆอันมืดมิด พวกมันทํากรงเล็บที่น่าเกลียดน่ากลัว คล้ายกับทําให้หมอกรอบๆ พื้นที่แห่งนี้หนาขึ้นอีก
“ผมคิดว่าคนพวกนี้มาจากบริษัทไล่เฉิง…” กู้จวินกล่าวอย่างนุ่มนวลและแผ่วเบาที่สุด ราวกับเขาเองก็กลัวว่าจะมีคนนอกได้ยิน และเมื่อเห็นทุกคนหันมามองเขาก็อธิบายต่ออย่างรวดเร็ว “ผมสามารถจําพวกเขาได้…แม้มันจะนานมาแล้วก็เถอะ พวกเขาสวมเสื้อผ้าแบบนั้นอยู่ตลอด…ทั้งหมดนั้นคือข้อมูลจากจากความทรงจําของผม”
ท่ามกลางหมอกควันสีเทา และต้นไม้มากมายที่รายล้อม แน่นอนว่าถ้าเกิดมีใครผ่านมามันย่อมจะมองไม่เห็น…. แต่นั่นก็เป็นกรณีของคนธรรมดาที่แต่งตัว เหมือนปกติทั่วไป… หรือแต่งกายแบบชุดเดินทางของหน่วยนักล่าอสูรก็คงจะไม่มีใครมองเห็น… แต่การแต่งกายของพวกเขานั้นมันจะมีทั้งสีดําและสีแดงมันโดดเด่นทะลุหมอกออกมา มันทําให้ทุกคนนั้นเห็นได้อย่างชัดเจน และกู้จวิ้นที่มีความทรงจําเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่มากพอสมควร เขาก็จดจําได้ตั้งแต่แรกเห็น
ทันทีที่ได้ยินคําพูดของจวิน…โดยเฉพาะคําว่า “คนของบริษัทไล่เฉิง” ก็ทําให้ทั้งหน่วยตกอยู่ในโหมดสู้รบกันทันที พวกเขาจับปืน จับโล่และเตรียมกระสุนรวมถึงเตรียมทุกอย่างพร้อมสําหรับการสู้รบแบบกะทันหัน…
ทุกคนเตรียมตัวกันอย่างดี ยกเว้นก็แต่ลู่เสี่ยวหนิงที่กําลังบาดเจ็บอยู่…. ถึงแม้เธอจะไม่สามารถต่อสู้ได้ แต่เธอก็สามารถอยู่ในแนวหลังคุ้มครองผู้คนในกรณีที่ถูกบุกกะทันหันได้อย่างแน่นอน
บรรดานักแม่นปืนของหน่วยจู่โจมถือปืนและเล็งไปที่ศัตรูที่อยู่รอบตัว…. และตอนนี้หมอกมันเหมือนจะเริ่มหนาขึ้น ทําให้ร่างเงานั้นค่อยๆหายไปหลังต้นไม้ ทําให้ยากต่อการติดตามอย่างมาก
ปกติแล้วการสอดแนมศัตรูหรือการแอบดูจะต้องใช้วิสัยทัศน์ในการมองค่อนข้างมาก และจะต้องเตรียมทุกอย่างให้พร้อมไม่ว่าจะเป็นแสงไฟอินฟาเรดหรือว่ากล้องจับความร้อน… แต่นั่นก็เป็นกรณีของการรบแบบปกติ
แต่พวกเขามาในครั้งนี้ไม่ได้มาสู้รบแต่มาสํารวจ ดังนั้นอุปกรณ์การสู้รบทุกอย่างย่อมขาดแคลน…. หรือต่อให้มี…พายุครั้งที่แล้วอาจจะพัดพาพวกมันไปหมดแล้วก็ได้
ดังนั้นจึงได้แต่จับตากันแบบตามมีตามเกิด ในขณะที่กําลังจับตาดูกันอยู่นั้นเอง ร่างเงาพวกนั้นก็ค่อยๆหายไป
“พวกมันกําลังหายไป..” หยางเฮ่อหนาน หนึ่งในนักแม่นปืนประจําหน่วย เขารีบติดตั้งของปืนไรเฟิลจู่โจมทันทีเพื่อค้นหาดู และในขณะที่ดู…พวกเขาก็สาปแช่งกันไปด้วย
และแม้แต่เซ็นเซอร์ความร้อนฉุกเฉินที่ติดปืนมาตั้งแต่แรก..ก็ไม่สามารถมองผ่านต้นไม้ยักษ์ที่น่าขนลุกได้อยู่ดี นั่นทําให้ทุกคนเริ่มกังวล
แต่ถึงจะหาร่างเงาไม่เจอแล้ว แต่คนทั้งกลุ่มก็ยังคงจับจังหวะของพวกเขาอยู่ดีและเริ่มฟังเสียงรอบๆแทน แต่เสียงการคุกคามของสัตว์ป่าดูเหมือนจะฟังดูเกรี้ยวกราดมากขึ้นเรื่อย ๆ
เสียงของสัตว์ป่ายังคงดังขึ้นต่อเนื่องและในที่สุด พวกเขาก็เห็นสัตว์บางตัวค่อยๆ เดินออกจากหมอก
ทันทีที่เห็นสัตว์ที่ค่อยๆเดินออกมาจากหมอก พวกเขาก็เลิกคุยกันและหันมาจับจ้องสัตว์ป่าเหล่านั้นโดยทันที… แต่ถึงจะบอกว่ากําลังจะออกจากมาจากหมอก แต่เมื่อมองโดยรอบตัวของพวกมัน หมอกก็ยังหนาและทึบอยู่ดีทําให้พวกเขามองเห็นไม่ชัดเจนว่าพวกมันเป็นตัวอะไรกันแน่
แม้พวกมันจะค่อยๆเข้าใกล้เข้ามา แต่ถึงยังไงพวกเขาก็มองเห็นไม่ชัดเจนอยู่ดีว่ามันเป็นสิ่งมีชีวิตที่ปกติหรือผิดปกติกันแน่ มันเป็นสัตว์ลึกลับที่ไม่ปรากฏในบันทึกของโลกหรือเปล่า…
แต่หลังจากที่สังเกตมาได้พักใหญ่ๆผ่านเหมาะหมอกอันหนาทึบ พวกเขาก็รู้สึกว่าสัตว์ตัวนี้มันมีร่างกายที่คล้ายกับหมาป่า…. แต่ก็เฉพาะร่างกายเท่านั้นที่คล้าย
แต่ขนาดตัวของมันนั้นกลับเท่ากับหมี… และไม่ใช่หมีธรรมดาแต่เป็นถึงหมีสีน้ําตาลที่ตัวใหญ่ที่สุด
ขนของมันมีลักษณะเหมือนหนามสีดําไปทั่วทั้งตัว… สีของมันโดดเด่นออกจากหมอกมาเล็กน้อย ทําให้มองเห็นลักษณะภายนอกของมันได้ถูกต้องชัดเจน