ระบบพี่เลี้ยงอสูรขั้นเทพ (神宠进化系统) - ตอนที่ 420 หาข้อมูล
คลื่นพลังอันน่ากลัวได้กดทับตัวชายหนุ่มเอาไว้แต่ถึงอย่างนั้นชาย หนุ่มก็ยังหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่งอยู่ดี
“ฮ่าฮ่า ฉันเคยฆ่าคนมามาก ถึงแกจะฆ่าฉันตอนนี้ แต่ฉันก็ไม่มีทาง ให้ข้อมูลเรื่องกลุ่มนรกทมิฬกับแก” สีหน้าของเขาดูคลุ้มคลั่งและจ้อง หวังเย่าด้วยสายตาอาฆาต
ตูม !
แรงกดดันที่กดทับตัวชายหนุ่มกลับเพิ่มขึ้น
พื้นดินถึงกับทรุดลงพร้อมกับเสียงกระดูกหักที่ดังขึ้นมา ภายใต้แรง กดดันนี้กระดูกในร่างชายหนุ่มแทบจะหักออกทั้งหมด
ความเจ็บปวดแบบนี้เกินกว่าจะจินตนาการได้แต่ชายหนุ่มก็ยัง อดทน สีหน้าเขายังคงดูคลุ้มคลั่งดังเดิม
“บอกมาว่ารังของกลุ่มนรกทมิฬอยู่ที่ไหน ! ” หวังเย่าจ้องไปที่อีก ฝ่ายแล้วตะโกนออกมา
แต่ชายหนุ่มนั้นไม่ได้พูดอะไร เขาแค่จ้องมาที่หวังเย่าเท่านั้น
เมื่อเห็นแบบนั้นหวังเย่าก็ยกมือขึ้นก่อนจะมีเสียงระเบิดดังขึ้น พร้อมกับร่างของอีกฝ่ายที่ระเบิดออก
ร่างนั้นได้กลายเป็นเศษเนื้อกระจายไปทั่ว
คนที่หมดความเป็นมนุษย์และได้ฆ่าผู้คนไปมากมายนั้นหวังเย่าไม่ คิดจะใส่ใจเลยแม้แต่น้อย
ตอนนี้หวังเย่าโกรธจัด เขาก็ไม่สนใจจะสงสารคนชั่วแบบพวกนี้ เลย
เมื่อจัดการอีกฝ่ายเสร็จ หวังเย่าก็กลับมาใจเย็นอีกครั้ง
หวังเย่าไม่เชื่อในสิ่งที่อีกฝ่ายบอกมา เขาไม่เชื่อว่าหลี่ว่านเฟิงจะ ตายไปแล้ว
ศพของชายคนนี้ไม่ได้มีถุงมิติอยู่กับตัวราวกับว่ากลัวจะโดนคนอื่น ชิงไป
ต้องบอกว่ากฎของกลุ่มนรกทมิฬเคร่งครัดอย่างมาก แม้ว่าสมาชิก บางคนจะโดนจับแต่พวกมันก็ไม่ต้องกลัวว่าข้อมูลจะรั่วไหลออกไป โจร พวกนี้ทุกคนต่างก็เป็นคนใจแข็ง แม้ว่าจะโดนจับแต่ก็ไม่มีทางบอก ข้อมูลของกลุ่มตัวเองออกมา พวกนี้ถึงกับยอมกินยาพิษให้ตายหากโดน จับได้
บอกได้ว่ากลุ่มนรกทมิฬจัดการคนของตัวเองได้เป็นอย่างดี
นี่อาจจะเป็นเหตุผลที่รังของกลุ่มนรกทมิฬถึงไม่มีใครหาเจอเลย ตลอดกว่าสิบปีมานี้
หวังเย่าไม่ได้สนใจศพนั่น เขาได้กลับไปที่หุบเขาเพื่อตรวจสอบ พื้นที่โดยรอบต่อ ไม่กี่นาทีต่อมา หวังเย่าก็ตรวจสอบแทบทั้งหุบเขาไป แล้วแต่ก็ไม่พบข้อมูลอะไรที่เป็นประโยชน์เลยแม้แต่น้อย
ถ้าตายแล้วก็ต้องพบศพ นี่คือความคิดในหัวหวังเย่า เมื่อคิดได้ แบบนั้นหวังเย่าก็เรียกอสูรอีกสามตัวของเขาออกมา
การ์ฟิลด์, หงอคงและตือโป๊ยก่ายถึงไม่ได้แข็งแกร่งเท่ากับเสี่ยวซวี แต่ก็ยังอยู่ระดับสวรรค์ขั้นสูง หากเลื่อนระดับสวรรค์มาระดับศักดิ์สิทธิ์ ได้ จะทําให้ความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นมาอย่างมาก
การ์ฟิลด์,หงอคงและตือโป๊ยก่ายแยกตัวออกไปคนละทิศทาง
หากพบอะไร หวังเย่าก็จะรู้ข้อมูลทันทีผ่านสัญญา
มันคงไม่มีสัตว์อสูรตัวไหนที่เป็นปัญหาต่อทั้งสาม
หวังเย่าไม่ได้กังวลแม้แต่น้อย ถึงจะเป็นสัตว์อสูรระดับสวรรค์ขั้น สูงสุดก็ไม่อาจจะทําอะไรพวกนี้ได้ รึต่อให้พบกับสัตว์อสูรระดับ ศักดิ์สิทธิ์จริงๆ และสู้ไม่ได้ แต่ก็ยังสามารถหลบหนีออกมาได้อยู่ดี
สิ่งที่สําคัญที่สุดคือพวกนี้มีสัญญาอยู่ หากมีอะไรเกิดขึ้นจริงๆ หวังเย่าก็จะรับรู้ได้ทันที เขาสามารถใช้สกิลควบคุมมิติไปหาพวกนั้นได้ บอกได้ว่ามันไม่จําเป็นต้องกังวลเรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย
การ์ฟิลด์, หงอคงและตือโป๊ยก่ายได้แยกตัวออกไปก่อนที่จะหาย ลับไปจากสายตา
หลังจากนั้นหวังเย่าก็ขึ้นไปขี่เสี่ยวซวีอีกครั้งและเดินทางออกจาก หุบเขาไป เขาได้ทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าเพื่อสํารวจพื้นที่โดยรอบ
…
ในเขตลับแห่งหนึ่ง มีคนหลายร้อยคนที่นั่งอยู่ใต้หน้าผา ตัวของ พวกเขาเต็มไปด้วยบาดแผล
ในหมู่พวกนั้นมีชายวัยกลางคนนั่งอยู่ตรงหน้า ใบหน้าของเขา สะท้อนความเหนื่อยล้าออกมา
ชายคนนี้คือหลี่ว่านเฟิง ผู้ตรวจสอบ 4 ดาว คนรอบตัวคือลูกน้อง ของเขา
เสียงฝีเท้าดังขึ้นมา มันคือชายคนหนึ่งที่ปรากฏตัวที่ทางเข้าที่ซ่อน
“มีอะไรเกิดขึ้นบ้าง ทางเข้าของที่ซ่อนเป็นยังไงบ้าง ? ” เมื่อเห็น คนที่เข้ามานั้นหลี่ว่านเฟิงก็ถามขึ้น
“ทุกอย่างปกติดีหัวหน้า ทางเข้าที่ซ่อนนี้ถูกซ่อนไว้อย่างดี มันยัง ไม่ถูกพบ” ชายคนที่เพิ่งเข้ามานั้นรายงานออกมา
“งั้นนายไปเฝ้าทางเข้าเอาไว้ต่อ แม้ว่าที่ซ่อนนี้จะปกปิดไว้เป็น อย่างดีแต่ก็ไม่อาจจะวางใจได้ มันอาจจะมีปัญหาเกิดขึ้นตอนไหนก็ได้” หลี่ว่านเฟิงพูดขึ้นมาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“ได้ ! ” ชายคนนั้นตอบรับแล้วเดินออกไปทันที
“ฉันไม่คิดเลยว่าสถานการณ์จะเลวร้ายแบบนี้..” หลี่ว่านเฟิง หนักใจอย่างมาก
“นอกจากกลุ่มนรกทมิฬแล้วก็ยังมีคนอื่นมาด้วย พวกมันวางแผน ที่จะฆ่าเรา…”
เพราะสองกลุ่มร่วมมือกันถึงได้ทําให้กลุ่มของหลี่ว่านเฟิงต้องตก อยู่ในสภาพนี้
“ไม่รู้ว่าครั้งนี้ฉันจะรอดไปได้รึเปล่า..”
ไม่ไกลจากที่นั่นมีคนขี่ม้าจํานวนมากกําลังตรวจสอบพื้นที่โดยรอบ …
ในเนินเขาอีกที่หวังเย่าได้ยืนอยู่บนเนินเขา ข้างๆ เขามีเสี่ยวซวียืน อยู่
หวังเย่าคิ้วขมวด เขาพบว่าที่เขตนี้มีร่องรอยการต่อสู้อยู่แต่มันก็ แค่เบาะแส มันไม่ได้มีข้อมูลที่มีประโยชน์เลย
ไม่นานหลังจากนั้นเขาก็ตาเป็นประกายและมองไปที่เนินเขาทาง ใต้ที่ซึ่งตอนนั้นตือโป๊ยก่ายได้ส่งข้อมูลกลับมาให้เขา