ยอดหญิงแห่งวังหลัง - ตอนที่ 9.1
ตอนที่ 90-1 ตอนกลางวัน
ยามนี้แสงอาทิตย์กําลังสาดส่องตรงมาที่เด็กน้อยผู้นี้ ดังนั้นเขาจึงต้องหรี่ตามองนางภายใต้ขนตายาวเป็นแพหนาซึ่งมุมนี้ทําให้คุณสมบัติของเขามีความโดดเด่นขึ้นมามาก จนผู้คนที่มองเขาจากบริเวณใกล้เคียงไม่สามารถละสายตาไปได้และรู้สึกได้ว่าหัวใจของพวกเขากําลังเต้นเร็วขึ้น
“พี่สาม! เหตุใดท่านจึงมองข้าเช่นนั้น?”
“ข้าแค่รู้สึกว่าเรื่องนี้มีบางอย่างเชื่อมโยงกับเจ้า” หลี่เว่ยหยางตอบอย่างยิ้มแย้ม
ทันใดนั้นแสงแห่งความเป็นปรปักษ์ก็ปรากฏขึ้นในดวงตาของหลี่หมินเต่อ แต่กลับเปลี่ยนเป็นสีหน้าที่ไร้เดียงสาอย่างรวดเร็ว:
“พี่สาม ข้าเป็นเพียงคนที่ไม่มีผู้ให้การสนับสนุนและไม่มีความสามารถอันใด แล้วจะไปรบกวนฮูหยินใหญ่ได้อย่างไร?”
“อย่าเสแสร้งอีกต่อไป…เพราะข้าสามารถคาดเดาได้” หลี่เว่ยหยางยิ้มและตอบกลับอย่างอ่อนโยน ขณะที่หลี่หมินเต่อทําเพียงยิ้มโดยไม่ได้กล่าวอะไร
หลี่เว่ยหยางรู้ว่าเขาไม่เต็มใจที่จะให้รายละเอียดใด ๆ จึงไม่พยายามบังคับเขา เพราะมีคําตอบที่คาดเดาไว้แล้วนางจึงทําเพียงยิ้มและเดินออกไป
โดยช่วงเวลาที่หลี่เว่ยหยางจากไป หลี่หมิ่นเต่อได้กระซิบถามชายผู้หนึ่งที่ยืนอยู่ข้างหลังเขาทันที
“นางทราบได้อย่างไร? เจ้าทําอะไรมีพิรธหรือเปล่า?”
บุคคลนั้นคุกเข่าลงด้วยความหวาดกลัวพร้อมกับกล่าวว่า:
“เรียนนายน้อย เรื่องนี้บ่าวทําอย่างรอบคอบ ดังนั้นเซียนจไม่สามารถค้นพบอะไรได้อย่างแน่นอน”
“พี่สามเป็นคนที่ฉลาดมาก!”
การแสดงออกของหลี่หมินเต๋อนั้นอ่อนโยนและมีความสุขมากเมื่อกล่าวถึงหลี่เว่ยหยาง แต่ในขณะที่เขาหันกลับมาอีกครั้งทันใดนั้นคํากล่าวของเขาก็เต็มไปด้วยเจตนาที่จะฆ่า:
“เจ้าทําให้แผนการของข้ารั่วไหล..หยุดชั่วคราว”
“แต่..”
หลี่หมิ่นเต่อเอียงศีรษะและจ้องมองชายผู้นั้นด้วยสีหน้าเย็นชา
“เจ้ามีปัญหาอันใดหรือ?” เขาเอ่ยอย่างแผ่วเบาภายใต้แววตาที่โหดร้าย ส่งผลให้ชายผู้นั้นมีอาการตื่นตระหนกอย่างเห็นได้ชัด เพราะเกรงว่าศีรษะของตนเองจะหลุดออกจากบ่า
นับตั้งแต่ฮูหยินสามจากไป หลี่หมิ่นเต่อก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง และนอกเหนือจากเรื่องของหลี่เว่ยหยางแล้วเขาก็แทบจะไม่สนใจอะไรเลย
ตอนนี้บุคคลลึกลับถอนหายใจอยู่ด้านข้าง เนื่องจากเขาไม่ทราบว่าจะใช้วิธีใดโน้มน้าวหลี่หมินเต่อหรือแต่หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่งเขาก็ตัดสินใจที่จะลอง:
“อันที่จริงนายน้อยไม่จําเป็นต้องทําให้ปัญหาซับซ้อนขนาดนี้ เพราะเราสามารถฆ่านางทิ้งได้…”
ใบหน้าของหลี่หมินเต่อไม่ได้แสดงความเปลี่ยนแปลงใด ๆ :
“ฆ่านางหรือ? จากนั้นมันคงจะเป็นเรื่องง่ายที่จะค้นพบตัวตนที่แท้จริงของข้า ยิ่งไปกว่านั้นนางไม่สมควรได้รับความเมตตาให้ตายอย่างรวดเร็ว”
“เรียนนายน้อย…หลังจากลอบสังหารนางแล้ว ที่นี้ก็จะไม่ปลอดภัยอีกต่อไป ดังนั้นท่านควรกลับแควนของ เรา ..”
“อย่ากล่าวถึงเรื่องนี้อีกต่อไป”
หลี่หมินเพื่อใช้มือแตะกระดาษประดิษฐ์ตัวอักษรที่หลี่เว่ยหยางสัมผัสเมื่อครู่อย่างแผ่และไล่คนผู้นั้นออกไปโดยไม่หันหน้าไปมองด้วยซ้ํา
เขาไม่สามารถแยกจากนาง!
เขาต้องการอยู่ที่นี่ต่อไป…
อยู่เคียงข้างนาง…
นับจากนั้นอาการป่วยของฮูหยินใหญ่ทรุดลงมาก ดังนั้นหลี่เว่ยหยางจึงจําเป็นต้องไปเยี่ยมนางด้วยตัวเอง
อย่างไรก็ตามในขณะที่นางก้าวเข้ามาในบ้าน แม่นมตูได้มองเด็กสาวด้วยความระมัดระวังอย่างยิ่งในสายตาของนาง
หลี่เว่ยหยางกวาดสายตามองไปรอบ ๆ ห้องและพบว่าทุกหนทุกแห่งบนผนังถูกติดด้วยกระดาษเครื่องรางและมีแก้วน้ําถวายพระวางอยู่บนโต๊ะ ขณะที่ฮูหยินใหญ่มีดวงหน้าซีดเซียวกําลังนอนอยู่บนเตียง
“เหตุใดคุณหนูสามจึงมาถึงที่นี่?” แม่นมตูรีบเดินเข้ามาทักทายเด็กสาว
หลี่เว่ยหยางยิ้มอย่างอ่อนโยนก่อนที่จะตอบกลับ:
“ในตอนเช้าข้าไปหาท่านย่าเพื่อแสดงความเคารพ และนางบอกว่าท่านแม่ไม่สบาย เช่นนั้นในฐานะลูกสาวข้าจึงมาเยี่ยมนางเป็นเรื่องธรรมดา”
เมื่อได้ยินน้ําเสียลที่คุ้นเคย ฮูหยินใหญ่ก็เปิดเปลือกตาขึ้นในทันที และเห็นได้ชัดว่าร่างกายนางผ่ายผอมลงไปมากแม้กระนั้นนางก็ยังเหลือกตาขึ้นพร้อมกับพุ่งแววตาแห่งความเกลียดชังมายังสาวน้อยผู้นี้
แต่หลี่เว่ยหยางกลับจ้องมองไปที่นางด้วยรอยยิ้ม:
“ท่านแม่ ท่านรู้สึกดีขึ้นหรือยัง?”
นั่งเด็กผี! จะมาก่อเรื่องอันใดอีก?
ประการแรกคุณหนูใหญ่ถูกบังคับให้อยู่บนภูเขาเพื่อกลับใจ จากนั้นฮูหยินใหญ่ก็ล้มป่วยเนื่องจากความโกรธและตอนนี้มีสิงอยู่ในบริเวณตําหนักทําให้อาการป่วยของนางกําเริบ ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องที่เลวร้ายที่สุดคือแม้ท่านอํามาตย์จะทราบถึงอาการป่วยของนาง แต่ก็ไม่ได้มาเยี่ยมนางเลย!
ดังนั้นเมื่อเห็นว่าหลี่เว่ยหยางแสดงท่าที่มีความสุขจนเหลือล้นและเปล่งประกายออกมาจนเห็นได้ชัดภายในหัวใจของฮูหยินใหญ่ก็รู้สึกราวกับว่ากําลังถูกแทงด้วยมีดที่แหลมคมโดยที่เลือดยังคงไหลหยดอยู่
“ข้าสบายดี.” ฮูหยินใหญ่พยายามระงับความเกลียดชังที่ร้อนแรงในส่วนลึกและฝืนยิ้มก่อนที่จะกล่าวอีกว่า
“ขอบคุณสําหรับความห่วงใย
แต่หลี่เว่ยหยางสามารถตรวจจับความไม่จริงใจของนางได้
“ข้าได้ยินมาว่า หลังจากที่พี่ใหญ่ได้ไตร่ตรองและปรับปรุงตัวเองโดยการปฏิบัติธรรมอยู่ในวัดนางฉลาดขึ้นกว่าเมื่อก่อนมาก”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นใบหน้าของฮูหยินใหญ่ก็แทบจะเปลี่ยนเป็นสีเขียวด้วยความโกรธแค้น เนื่องจากหลี่จางเล่อได้เขียนจดหมายนับไม่ถ้วนมาขอร้องและร้องไห้คร่ําครวญเพื่อต้องการกลับมาบ้านตระกูลหลี่
แต่ไม่ว่านางจะอ้อนวอนสักเพียงใด หลี่เสี่ยวหนก็ไม่ยอมบุตรสาวที่งดงามของนางกลับมาอีกทั้งยังบังคับให้อยู่บนเขาที่รกร้างแห่งนั้นเป็นเวลาสามเดือน…
“พี่ใหญ่ของเจ้ารู้สึกเสียใจอย่างมาก นางบอกว่าตนเองยังเด็กและไร้เดียงสา ดังนั้นจึงทําไปโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์เนื่องจากเจ้าทั้งสองคนเป็นพี่น้องกันข้าหวังว่าเจ้าจะช่วยนางร้องขอความเมตตาจากท่านย่าเพื่อให้นางกลับมาโดยเร็ว”
“ไอ้หยาท่านแม่! ท่านต้องเข้าใจว่าท่านพ่อต้องการให้พี่ใหญ่ไตร่ตรองและกลับใจ หากการกระทําของนางยังไม่สามารถทําให้ท่านพ่อพอใจได้ แม้แต่ท่านย่าก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้ ดังนั้นท่านแม่ควรแนะนําพี่ใหญ่ให้ นางเปลี่ยนนิสัยไปในทางที่ดีขึ้นจะดีกว่า”
หลเว่ยหยางลุกขึ้นยืนหลังจากกล่าวเช่นนั้น และกล่าวด้วยความหวังดีอีกว่า
“ท่านแม่โปรดพักผ่อน ข้าจะกลับมาเยี่ยมท่านให้บ่อยขึ้นในเวลากลางวัน”
ฮูหยินใหญ่ไม่เข้าใจว่าสิ่งที่เด็กสาวกล่าวหมายถึงอะไร แต่เห็นหลี่เว่ยหยางถอนหายใจก่อนที่จะกล่าวว่า:
“เพราะเว่ยหยางไม่กล้ามาที่บ้านของท่านแม่ในเวลากลางคืน”
“ทําไม?” ฮูหยินใหญ่เอ่ยถามด้วยความงนงง