ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1376 เรื่องบังเอิญ
ตอนที่ 1376 เรื่องบังเอิญ
ฉู่หลิวเยว่ขมวดคิ้วมุ่น
“สภาพอากาศของบุพกาลชายแดนเหนือรุนแรงนัก อีกทั้งภูมิประเทศอันทรหด ผู้ใดย่างกรายเข้ามา ย่อมมิอาจมีชีวิตรอดได้นาน ไหนจะทุ่งหิมะอันกว้างใหญ่นี่อีก ถึงจะมีผู้คน”
ทันใดนั้น นางก็เงียบเสียงลง
การอยู่บนทุ่งหิมะ ย่อมสะดุดตาผู้คน เช่นนั้นถ้า… ซ่อนอยู่ใต้ดินล่ะ!
ดินแดนแห่งนี้ช่างกว้างใหญ่ไพศาลแลไร้ขอบเขต ผู้ใดเล่าจักรู้ถึงสิ่งที่ซ่อนอยู่ใต้ดิน?
นางยังจำได้ว่า ก่อนหน้านี้หุบเขาแห่งนั้นและหลุมศพนั่นเองก็ซ่อนอยู่ใต้ดิน!
ครั้นคิดถึงตรงนี้ นางก็อดสงสัยและเอ่ยถามไม่ได้ว่า
“จริงสิ พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าเมื่อก่อนใครกันที่จบชีวิตลงที่นี่ และเป็นเจ้าของหลุมศพ กับป้ายหลุมศพนั่น?”
สีหน้าของอินทรีสามตาตัวหัวหน้า เปลี่ยนไปเล็กน้อย
“คือว่า… เมื่อหลายพันปีก่อน ได้เกิดการต่อสู้คราใหญ่ขึ้นที่นี่ หากท่านหมายถึงกระดูกมังกรเก้าชิ้นที่เฝ้าหลุมศพของคนผู้นั้นอยู่… ก็น่าจะเป็นเช่นนั้น”
ฉู่หลิวเยว่เปลือกตากระตุกเบาๆ
“กระดูกเก้าชิ้น…ที่คอยเฝ้า?”
“ใช่แล้ว! ย้อนกลับไป ผู้แข็งแกร่งคนนั้นได้ต่อสู้กับเผ่ามังกรอย่างดุเดือด สุดท้ายก็สิ้นชีพอยู่ที่นี่ และก่อนตายก็ได้นำมังกรทั้งเก้าตัวมาฝังรวมด้วยกัน ก่อนจะใช้พลังแลจิตวิญญาณที่เหลืออยู่สะกดพวกมันไว้ที่นี่ จนมิอาจหนีออกไปได้”
ฉู่หลิวเยว่พลันฉงนใจ
“เผ่ามังกรไม่ค่อยมีสัมพันธไมตรีกับเผ่ามนุษย์ คนผู้นั้นทำอะไรลงไป ถึงได้ถูกล้อมทำร้ายเช่นนั้น?”
“เราเองก็ไม่รู้ละเอียดนัก แต่…ข้าได้ยินมาว่ามันเกี่ยวข้องกับศพของไท่ซวีเฟิ่งหลง”
ฉู่หลิวเยว่จุกไปทั้งใจ ราวถูกบางอย่างกระแทกใส่อย่างแรง
พลันเงยหน้าขึ้นมองด้วยความตกใจ
“อันใดนะ?”
อินทรีสามตาคิดว่านางตกใจเพราะได้ยินเรื่องของ “ไท่ซวีเฟิ่งหลง” อย่างไรเสีย มันก็เป็นหนึ่งในสองอสูรศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลผู้ยิ่งใหญ่ ไม่แปลกที่นางจะตกใจถึงเพียงนี้ ก่อนจะอธิบายให้นางฟังอย่างตั้งใจ
“เราเองก็ไม่ทราบข้อมูลที่แน่ชัด ดังนั้นจึงทำได้เพียงคาดเดาคร่าวๆ ย้อนกลับไปตอนนั้น ขณะท่องอยู่ในบุพกาลชายแดนเหนือ ผู้แข็งแกร่งนั่นก็บังเอิญได้รับกระดูกของไท่ซวีเฟิ่งหลงมาหนึ่งชิ้น ทว่ายังไม่ทันได้ทำอะไร ก็ถูกเผ่ามังกรพบเข้าเสียก่อน และถูกรุมทำร้ายจนเกินการต่อสู้ครั้งใหญ่ขึ้นมา น่าเสียดายที่ตอนนั้นเผ่ามังกรประเมินความแข็งแกร่งของผู้แข็งแกร่งต่ำไปหน่อย แม้แต่มังกรเก้าตัวรวมพลังกัน ก็ยังมิอาจเทียบเคียงฝีมือของอีกฝ่ายได้ สุดท้ายทั้งสองฝั่งก็สิ้นชีพกลางสมรภูมิ”
“แน่นอนว่าหากมองจากสถานการณ์ในตอนนี้ คนผู้นั้นก็ยังแข็งแกร่งกว่าอยู่ดี แม้จะตายจาก แต่ก็ขังมังกรพวกนี้ไว้ได้”
ความคิดนับไม่ถ้วนผุดขึ้นสมองของฉู่หลิวเยว่
กระดูของไท่ซวีเฟิ่งหลงหรือ…
นางเคยเห็นแล้ว!
อย่างน้อยก็กระดูกส่วนปีกสองชิ้นที่อยู่ในตัวของจื่อเฉิน!
แต่มันไม่ได้ถูกฝังอยู่ในอาณาเขตเซียนเทพขององค์ไท่จู่หรอกหรือ?
แล้วเหตุใดถึง…
นี่มันเรื่องบังเอิญ หรือว่า…
ฉู่หลิวเยว่หลับตาลงทันที แต่หัวใจกลับเต้นระส่ำไม่หยุด
อสูรศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลอย่างไท่ซวีเฟิ่งหลงนั้น มิใช่สิ่งที่พบเจอกันได้ง่ายๆ และการที่จะมีกระดูกอีกชิ้นโผล่มานั้น…ยิ่งดูเป็นไปได้ยาก
แต่ก่อนหน้านี้องค์ไท่จู่ก็เคยกล่าวไว้ว่า เขาเคยมาที่นี่…
หรือว่า…
ความคิดอันไร้แก่นสารแวบผ่านเข้ามาในหัวของฉู่หลิวเยว่
นางสูดหายใจเข้าลึกๆ พลางถามอย่างใจเย็น
“ในเมื่อทุกคนรู้แล้วว่ากระดูกมังกรเหล่านี้ถูกสะกดไว้ที่นี่ เช่นนั้น…เหตุใดเผ่ามังกรถึงไม่ทำอันใดสักอย่างล่ะ? ข้าเหมือนจะได้ยินมาว่า…พวกมันไม่ยอมให้ใครนำกระดูกของพวกพ้อง ออกไปนอกอาณาเขตมิใช่หรือ?”
“ถึงจะกล่าวเช่นนั้น แต่ดูจากสภาพของโครงกระดูกแล้ว จะเห็นว่ากระดูกมังกรทั้งเก้าถูกขังอยู่ที่นี่นานหลายพันปี ไม่ใช่ว่าเผ่ามังกรไม่เคยมาที่นี่ พวกมันพยายามอยู่หลายครั้ง แต่สุดท้ายก็ไร้ประโยชน์ ท้ายที่สุด พวกมันก็ล้มเลิกและไม่กลับมาอีก แต่มันก็ทำให้เห็นว่า คนผู้นั้นคือผู้แข็งแกร่งอย่างแท้จริง มิเช่นนี้จะยังคงเปี่ยมไปด้วยพลังอำนาจเช่นนี้ ทั้งๆ ที่สิ้นชีพแล้วได้อย่างไร”
ฉู่หลิวเยว่เริ่มสับสน และพยายามเรียกหาองค์ไท่จู่
แต่ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะหลับลึก และไม่ตอบสนองต่อการเรียกของนาง
จื่อเฉินสังเกตเห็นสีหน้าแปลกๆ ฉู่หลิวเยว่ ก่อนจะนึกถึงกระดูกส่วนปีกในกายของตน พลันเดาความคิดของนางได้
“อยากกลับไปดูหรือไม่?”
ฉู่หลิวเยว่นิ่งคิดอยู่พักหนึ่ง
“ตกลง”
…
เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า
สีสันของท้องนภามืดมนลง
ท่ามกลางพื้นที่โล่งกว้าง มีเพียงค่ายกลสีทองอร่ามโดดเด่นสะดุดตา
“ผ่านไปนานแล้ว ไยถึงไม่มีการเคลื่อนไหวเลยสักนิด? ไม่รู้ว่ายามนี้ฉู่เยว่จะเป็นอย่างไรบ้าง…”
“พวกเขาอยู่ข้างใน พวกเราอยู่ข้างนอก ต่อให้เกิดเรื่องอันใดขึ้น เราก็มองไม่เห็นอยู่ดี นั่งรอต่อไปเถอะ!”
“ข้าได้ยินว่าฉู่เยว่ทำสัญญากับกษายะหางวายุ ไม่แน่มันอาจจะช่วยพลิกสถานการณ์ให้เราก็ได้…”
“แต่ข้าคิดว่าการที่เขาทะลวงขึ้นสู่ระดับเก้าได้โดยใช้เวลาเพียงไม่กี่วัน หลังจากถูกขังอยู่หลังประตูบานนั้น เป็นอะไรที่น่าตกใจกว่าอีก…โอกาสเช่นนี้ มีใช่สิ่งที่ขอกันได้ง่ายๆ!”
“โชคดีที่วันนั้นเขาไม่ได้รับหม้อน้ำเทวศักดิ์สิทธิ์ แต่ทว่า ยามนี้สิ่งนั้นกลายเป็นของอินทรีสามตาแล้วหรือ? ข่าวลือที่แพร่งพรายออกมาก่อนหน้านี้ ก็ไม่ได้กล่าวอันใดไว้ เกรงว่าคงต้องสืบสวนเรื่องนี้เสียแล้วกระมัง…”
ผู้คนมากมายต่างแลกเปลี่ยนบทสนทนา และเริ่มสงสัยเรื่องหม้อน้ำเทวศักดิ์สิทธิ์
มันคือวัตถุล้ำค่าที่สามารถสั่นสะเทือนทั้งอาณาจักรเสิ่นซวี่ได้ จะให้พวกเขากระทำการหุนหันพลันแล่นอย่างไร
และในเมื่อเกิดเรื่องขึ้นแล้ว หากลองไตร่ตรองดูดีๆ ก็จะสังเกตเห็นปัญหาได้ไม่ยาก
ตอนนี้พวกเขาวางแผนรอให้ฉู่เยว่ออกมาก่อน แล้วค่อยตัดสินใจอีกที
แต่ทางฝังสำนักหลิงเซียวกลับเงียบกริบ
ฉู่เยว่เป็นคนของพวกเขา แน่นนอว่าพวกเขาย่อมกังวลมากกว่าใคร
เจียงจื่อหยวนยืนเยื่องไปด้านหลังตรงมุมอับสายตา พลางรักษาบาดแผลของตนเพียงลำพัง
นอกจากบาดแผลอื่นๆ แล้ว อาการบาดเจ็บที่ร้ายแรงที่สุดคือแผลไหม้ที่แขนของนาง
แม้ก่อนหน้านี้นางจะทายาไปแล้ว แต่ผ่านมาหลายเพลาเพียงนี้ ก็ถึงคราวทำแผลใหม่อีกครา
หากแต่เพราะง่วนอยู่กับการเคลื่อนย้ายไปมา ทำให้นางไม่มีเวลาและเหนื่อยเกิดกว่าจะทำสิ่งนี้
นางค่อยๆ คลายผ้าพันแผลออก ก่อนจะพบว่าบาดแผลเริ่มเน่าเปื่อยเปื้อนหนอง
เพียงลูบเบาๆ แผ่นผิวหนังไหม้ก็หลุดลอกออกมา พร้อมเศษชิ้นเนื้อขนาดยิบย่อย
ใบหน้างามซีดเผือดเพราะความเจ็บแสบ แต่ก็ทำได้เพียงกัดฟันอดทนต่อไป
ชื่อรุ่ยเออร์ที่อยู่ด้านข้างหันไปเห็นฉากนี้ด้วยบังเอิญ นัยน์ตาของนางเต็มไปด้วยการเสียดสี
เนื่องจากผู้อาวุโสตันชิงสะบั้นสัมพันธ์อาจารย์ศิษย์กับเจียงจื่อหยวนแล้ว ทำให้คนทั้งสำนักหลิงเซียวปฏิบัติและมองเจียงจื่อหยวนต่างจากเดิมมาก
ไม่ใช่ว่าพวกเขายกย่องคนเก่ง เพ่งเล็งคนด้อย แต่เพราะ…
ผู้อาวุโสตันชิงปกป้องศิษย์ผู้นี้มาโดยตลอด แต่จู่ๆ วันนี้กลับเกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้น เห็นได้ชัดว่าเจียงจื่อหยวนทำผิดต่อเขาแน่นอน
แต่เขายังไว้หน้าเจียงจื่อหยวนเป็นครั้งสุดท้าย โดยมิได้เปิดเผยถึงข้อพิพาทระหว่างพวกเขา
แต่ทุกคนไม่ได้โง่ และพวกเขาคงมองเจียงจื่อหยวนว่าดีเหมือนแต่ก่อนไม่ได้แล้ว
เฉกเช่นตอนนี้ ที่ไม่มีใครเอ่ยปากช่วยรักษาแผลให้นางสักคน
อีกอย่าง ก่อนหน้านี้ของที่นางนำติดตัวมาก็หายไปหมดแล้ว แม้แต่ยาเม็ดคุณภาพดีสักเม็ดก็ยังไม่มี และทำได้เพียงบากหน้าไปขอยาจากผู้อาวุโสทางนั้นอย่างไม่เต็มใจ เพื่อรักษาอาการเบื้องต้น
แต่จะโทษใครก็ไม่ได้
“กรรมใดใครก่อ กรรมนั้นคืนสนอง”
ผู้อาวุโสคิ้วขาวมองตามสายตาของชือรุ่ยเออร์ พลางสบทเย้ยหยัน
ถึงจะไม่ได้พูดเสียงดัง แต่เจียงจื่อหยวนกลับได้ยินเต็มสองหู
เจียงจื่อหยวนใจลอยไปพักหนึ่ง อย่างมิอาจควบคุมน้ำหนักมือของตนได้ แลพลั้งมือฉีกกระชากผิวหนังแผ่นใหญ่ที่เกาะติดกันออกอย่างแรง จนหน้าซีดด้วยความเจ็บปวด!
แต่กลับไม่มีใครสนใจนาง และทำราวกับนางไม่ได้อยู่ที่นี่
เจียงจื่อหยวนกัดปากจนห้อเลือด
จะปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้…
หากเกิดอันใดขึ้นจริงๆ นางคงถูกพวกเขาทอดทิ้งแน่!
ทันใดนั้น ดวงตาของนางพลันส่องประกายวาววับ แล้วหันกลับไปมอง!
ฉู่เยว่เพิ่งออกมา…แสดงว่า…ประตูบานนั้นก็น่าจะยังเปิดอยู่!