ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1374 พบปะ ตอนที่ 1375 ความจริง
ตอนที่ 1374 พบปะ ตอนที่ 1375 ความจริง
ตอนที่ 1374 พบปะ
ค่ายกลแผ่ขยายกว้าง ตัดขาดทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่โดยรอบ
ทว่าที่น่าแปลกก็คือ แสงอาทิตย์กลับยังคงทะลุผ่านเข้ามาได้ ดังนั้นดูไปแล้วเมื่อเทียบกับภาพทิวทัศน์รอบตัวก่อนหน้า จึงแทบไร้ซึ่งความแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
อ้อ ไม่สิ จริงๆ แล้วยังมีการเปลี่ยนแปลงอยู่บ้าง
บริเวณจุดที่ต้นโพธิ์สีทองม่วงปกคลุมไว้ทั่วเองก็ล้วนเปลี่ยนแปลงไปเป็นอีกรูปแบบหนึ่ง
ยามปรายตามองไป ทุกหนทุกแห่งล้วนแลดูอบอุ่นประหนึ่งหน้าใบไม้ผลิ เปี่ยมด้วยความมีชีวิตชีวายิ่ง
ฉู่หลิวเยว่จึงปล่อยมือ ก่อนจะจับจ้องไปยังเบื้องหน้า
ในแววตาของอินทรีสามตาตัวที่อยู่ด้านหน้าสุดแฝงแววตื่นเต้นอย่างปิดไม่มิด
ฉู่หลิวเยว่หัวเราะออกมาแผ่วเบา
“จื่อเฉิน ออกมาหาคนในเผ่าของเจ้าสักหน่อยสิ”
…
บนทุ่งหิมะโล่งกว้าง ค่ายกลสีทองม่วงขนาดมหึมาที่กางอยู่ในทุ่งดึงดูดทุกสายตาเป็นพิเศษ
ฝูงชนล้วนแล้วแต่อยากเข้าไปดูว่าข้างในเกิดเรื่องราวอันใดขึ้นกันแน่ ทว่าส่วนมากกลับบังเกิดความหวาดหวั่นขึ้นในใจ
…อินทรีสามตาจำนวนมากมายถึงปานนั้น พวกเขาย่อมไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกมันอยู่แล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น กระทั่งต้นโพธิ์สีทองม่วงก็ยังคงตั้งตระหง่าน ผู้ใดจะรู้ได้ว่ายังมีอินทรีสามตาตนอื่นอีกหรือไม่?
“ที่แท้ที่นี่ก็คือรังของพวกมันนี่เอง…”
ผู้อาวุโสท่านหนึ่งลอบพึมพำเสียงเบาอย่างอดไม่ได้
“มิน่าเล่า พันปีมานี้อินทรีสามตาถึงไม่ปรากฏตัวเลย ผ่านมาตั้งนาน ที่แท้พวกมันก็อยู่ในบุพกาลชายแดนเหนือกันหมดนี่เอง!”
อีกทั้งยังแอบซ่อนตัวอยู่ในที่นี้ด้วย!
หากมิใช่เพราะครานี้พวกเขาได้เห็นกับตา เกรงว่าก็คงไม่กล้าเชื่อในทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น
ผู้อาวุโสคิ้วขาวที่ถูกเหวี่ยงออกมา เดินเข้าไปหยุดตรงหน้าชือรุ่ยเออร์ด้วยความรู้สึกผิดอย่างท่วมท้น
“คุณหนูรอง ข้าไร้ความสามารถ…”
ชือรุ่ยเออร์กระแอมไอออกมาคราหนึ่ง ทั้งกระอักเลือดออกมาหลายครั้ง สีหน้ายิ่งทวีความซีดเผือดลง
“… ไม่… ไม่ใช่ความผิดท่าน… ล้วนเป็นข้า… ความผิดข้าเอง…”
หากมิใช่เพราะเพื่อช่วยนาง ฉู่เยว่เองก็คงไม่ต้องไปหลอกล่ออินทรีสามตาพวกนั้น! อีกทั้งคงไม่ถูกขังอยู่ในนั้นด้วย!
เขาเพียงคนเดียวจะไปสู้กับพวกมันทั้งหมดได้อย่างใดกัน?
ผู้อาวุโสคิ้วขาวครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง คิ้วขมวดเข้าหากันแน่น
“คุณหนูรอง ความจริงแล้ว… ข้าคิดว่าอินทรีสามตาพวกนั้นดูไม่ได้มีเจตนาจะทำร้ายฉู่เยว่นะขอรับ…”
เริ่มแรกพวกมันพกเอาจิตสังหารที่กักเก็บไว้เต็มเปี่ยมพุ่งตรงเข้าไปหาฉู่เยว่จริง
แต่คล้อยหลังมาก็มิรู้ว่าด้วยเหตุใด ท่าทีของพวกมันถึงได้เปลี่ยนราวกับพลิกฝ่ามือ
มิเช่นนั้นแล้วละก็ คงไม่หยุดโจมตีกะทันหันเอาตอนหน้าสิ่วหน้าขวานในช่วงสุดท้ายหรอก
แน่นอนว่าชือรุ่ยเออร์เองก็สังเกตเห็นถึงข้อนี้เช่นเดียวกัน
ทว่ากันไว้ก็ดีกว่าแก้
อย่างใดเสียฉู่เยว่ก็ทำเพื่อช่วยนาง หากว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้นจริงๆ เช่นนั้นนาง…
“ไม่ต้องเป็นกังวลไป”
ที่น่าแปลกก็คือ ผู้อาวุโสฮวาเฟิงกลับดูจะรู้สึกโล่งอกอย่างใดอย่างนั้น
“เขาปลอดภัยไร้รอยขีดข่วนแน่นอน”
มีหงส์ทองคำคอยอารักขาอยู่เช่นนั้น ต่อให้จะมีอินทรีสามตามาเพิ่มอีกมากเท่าไร ก็คง… ไม่เป็นปัญหาหรอกกระมัง?
…
ในเวลาเดียวกันนั้นเอง ณ คุกใต้ดินสักแห่งในบุพกาลชายแดนเหนือ
ภายในช่องว่างคับแคบแลอึมครึมอบอวลไปด้วยกลิ่นคาวเลือดเข้มข้นจนชวนคลื่นไส้
มีร่างผอมซูบของชายหนุ่มผู้หนึ่งเอนพิงเข้ากับกำแพงเย็นเฉียบ
สองมือสองเท้าของเขาล้วนถูกจองจำด้วยโซ่ตรวนจำกัดพื้นที่การเคลื่อนไหวรอบตัว อย่างมากก็ไปได้แค่ห้าก้าว
ดวงหน้าที่แต่เดิมยังนับได้ว่าหล่อเหลาสะอาดสะอ้าน บัดนี้กลับหมองลงไปมาก โหนกแก้มซูบตอบ สีหน้าซีดขาว
บนริมฝีปากซีดเผือดมีรอยแตกและแห้งผากหลายจุด เพียงขยับเบาๆ ก็ทำให้เลือดสีแดงสดไหลซึมออกมา
เขากำลังหลับตา ลมหายใจอ่อนระโหยโรยแรง ราวกับว่าจะหมดสติลงไปได้ทุกเมื่อ
“มู่ชิงเห่อ”
สุ้มเสียงทุ้มต่ำแกมแหบพร่าดังแว่วมาจากด้านหน้า
เปลือกตาของมู่ชิงเห่อขยับเขยื้อน ก่อนจะลืมขึ้นมาอย่างยากลำบาก
ยามปรายสายตามองไปยังกระจกทองสัมฤทธิ์ขนาดใหญ่ที่อยู่ตรงหน้า นัยน์ตาของเขาพลันปรากฏแววยำเกรงและกระวนกระวาย
เขาหยัดกายลุกขึ้นในทันใด ก่อนจะคุกเข่าลงไปยังทิศทางนั้นอย่างยากลำบาก
“… นายท่านขอรับ…”
“ดูเหมือนว่าระยะนี้ชีวิตเจ้าจะดูไม่ค่อยราบรื่นเท่าไรนะ”
สุ้มเสียงนั้นฟังดูราวกับหยอกล้อ ทว่ากลับทำให้คนฟังรู้สึกสะท้านไปทั่วกาย
“ซั่งกวนเยว่เหมือนจะไม่ติดใจเอาความเจ้านี่นา แล้วเหตุใดเจ้าถึงตกอยู่ในสภาพนี้ได้ล่ะ หืม?”
มู่ชิงเห่อก้มศีรษะจรดลงพื้น
“… ข้าน้อยไร้ความสามารถ… เกรงว่าคงเหลือเวลาไม่มาก ไม่อาจอยู่รับใช้ท่านได้อีก…”
เสียงนั้นหัวเราะเริงร่า
“หรือเจ้าจะบอกว่าติดตามนางมาตั้งหลายปีขนาดนั้น แต่ไม่มีความรู้สึกอาลัยอาวรณ์ให้กันสักนิดเลยอย่างนั้นหรือ? จริงสิ ตอนนี้นางเองก็อยู่ที่บุพกาลชายแดนเหนือนี่พอดี ข้าควรให้พวกเจ้า… ได้พบปะกันสักรอบดีหรือไม่?”
ตอนที่ 1375 ความจริง
เขาคุกเข่าอยู่บนพื้นโดยไม่ลุกอยู่นานทีเดียว สุ้มเสียงหรือก็อ่อนแรงแลหดหู่นัก
“นางรู้เรื่องที่ข้าน้อยทรยศแล้ว เราคง… ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเจอกันอีกแล้วกระมัง?”
เจอกันแล้วจะพูดอันใดได้อีกเล่า?
บนโลกนี้ไม่มีใครจะเชื่อใจคนที่ครั้งหนึ่งเคยทอดทิ้งตัวเองได้อีกหรอก
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่เขาทำไปในครานั้นเลย ทุกเรื่องทุกอย่างล้วนเพียงพอที่จะทำให้นางสิ้นชีวิตได้เลย
“นั่นก็ไม่แน่”
สุ้มเสียงนั้นหัวเราะออกมาคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยแฝงซึ่งนัยว่า
“ก็เพราะแม้นนางจะรู้เรื่องที่เจ้าทรยศนางแล้ว แต่กลับเลือกที่ไว้ชีวิตเจ้า เรื่องนี้ก็เลยยิ่งน่าสนใจไม่ใช่หรือไร? เจ้าเป็นคนที่นางชุบเลี้ยงมากับมือ บางที… อาจเป็นเพราะนางคงฝืนใจปล่อยให้เจ้าตายไม่ได้?”
มู่ชิงเห่อที่กำลังคุกเข่าอยู่บนพื้นจมดิ่งสู่ความเงียบงัน ทั่วทั้งร่างหนาวเฉียบเสียจนแข็งทื่อ
เขาหลับตาลง ปกปิดไว้ซึ่งทุกอารมณ์ที่ฉายออกมาทางแววตา
บรรยากาศโดยรอบดูราวกับว่าจะแข็งค้างไปโดยพลัน
“ครานี้คนมากันเยอะเกินไป ยุ่งยากวุ่นวาย รอให้สงบกว่านี้เสียหน่อยแล้วคงไปเชิญนางมาก็ยังไม่สาย ถ้าจำไม่ผิดแล้วล่ะก็ พวกเจ้าสองคนเองก็ไม่ได้เจอกันมานานมากแล้วนี่นะ? อย่างใดเสียการรำลึกถึงวันเก่าๆ ของนายบ่าวก็เป็นสิ่งที่ควรทำ อย่าลืมเสียละว่าของสิ่งนั้นยังอยู่กับนาง”
ริมฝีปากซีดเผือดของมู่ชิงเห่อสั่นระริก ท้ายที่สุดเขาก็เอ่ยออกมาสองสามคำอย่างยากลำบาก
“ทุกอย่างล้วนทำตามที่ท่านสั่งขอรับ”
เสียงหัวเราะเย็นเยียบชวนเสียววาบดังขึ้น ก่อนจะอันตรธานหายไปอย่างรวดเร็ว
ผ่านไปพักใหญ่ มู่ชิงเห่อถึงได้หยัดตัวตรงขึ้นมา
สีเลือดที่เปรอะเต็มบานกระจกทองสัมฤทธิ์ขนาดใหญ่ที่ซึ่งตั้งอยู่ไว้ไม่ไกลจากตรงหน้าของเขานักจางลงไปแล้ว เหลือเพียงบริเวณขอบเท่านั้นที่ยังคงเผยให้เห็นร่องรอยสีแดงเข้มเบาบาง
ทั่วทั้งสี่ทิศมืดสนิท ว่างเปล่า และเงียบสงัด
มู่ชิงเห่อค่อยๆ ยืนขึ้นมาอย่างช้าๆ ดวงหน้าครึ่งหนึ่งสว่างครึ่งหนึ่งมืดครึ้ม สีหน้าคลุมเครือไม่ชัดเจน
…
“อนุชนมีตาหามีแววไม่ คารวะท่านบรรพบุรุษ!”
ภายในค่ายกล อินทรีสามตาจำนวนมากมายต่างพร้อมใจกันมารวมตัว พลางก้มคำนับจื่อเฉินด้วยความเคารพเทิดทูนยิ่ง สีหน้าหรือก็ยากจะปิดบังความตื่นเต้นไว้ได้
แม้ว่าการแสดงออกของจื่อเฉินจะดูเรียบนิ่ง แต่ฉู่หลิวเยว่กับมันเชื่อมลมปราณเข้าไว้ด้วยกัน ย่อมสามารถรับรู้ได้ถึงความผันผวนของอารมณ์ในใจของมันได้อย่างชัดเจน
ถูกขังมานานกว่าพันปี บัดนี้ได้พบเจอคนในเผ่าตัวเองเสียที จะไม่ให้รู้สึกวูบไหวในใจได้อย่างใด?
“ตามสบายเถอะ ทุกอย่างในเผ่าเรียบร้อยดีหรือไม่?”
จื่อเฉินที่ผ่อนคลายอารมณ์ของตัวเองได้แล้วเอ่ยปากขึ้นในที่สุด
สิ้นเสียงประโยค สีหน้าของอินทรีสามตาที่ยืนอยู่ตรงข้ามพลันแปรเปลี่ยนไปค่อนข้างละเอียดอ่อนอยู่บ้างทีเดียว
อินทรีสามตาตัวหัวหน้าแสดงสีหน้าอย่างไม่มีทางเลือกออกมา
“ท่านบรรพบุรุษ ข้าขอเรียนท่านตามตรง สถานการณ์ในเผ่า… นับได้ว่าไม่ค่อยดีนัก”
ในใจของจื่อเฉินพลันดิ่งวูบ
“ปีนั้น หลังจากที่ท่านหายตัวไปอย่างกะทันหัน ก็มีคนเข้ามาล้อมโจมตีพวกเราอย่างป่าเถื่อน หลังจากผ่านการต่อสู้ไปอย่างยากลำบาก คนในเผ่าบาดเจ็บล้มตายกันไปมากกว่าครึ่ง สุดท้ายแล้วเพื่อรักษาไว้ซึ่งเลือดเนื้อของเผ่า ทุกคนจึงจากบ้านเก่ามา ร่อนเร่พเนจรไปหลายแห่งจนกระทั่งมาถึงที่นี่”
“หลายปีมานี้กลับไม่มีวี่แว่วข่าวของท่านเลย พวกข้าจึงคิดว่าท่านถูกมนุษย์ใช้หม้อน้ำเทวศักดิ์สิทธิ์นั่น…”
อินทรีสามตาตัวหัวหน้าเอ่ยมาถึงตรงนี้ก็เหลือบมองฉู่หลิวเยว่แวบหนึ่ง
สีหน้าของจื่อเฉินราบเรียบนัก
“เจ้าพูดต่อเลยก็ได้”
“…ขอรับ เป็นเพราะว่าตอนที่ท่านหายตัวไปได้ทิ้งเปลวเพลิงจากหม้อน้ำเทวศักดิ์สิทธิ์เอาไว้ พวกข้าจึงใช้สิ่งนี้เป็นเบาะแสตรวจสอบมาโดยตลอด แต่น่าเสียดายที่หลายปีผ่านไป ก็สืบหาอันใดไม่ได้เลย จนกระทั่งครานี้ พวกข้าถึงเพิ่งพบว่าของสิ่งนั้นแท้จริงแล้วอยู่ที่…”
มันเงียบไปครู่หนึ่ง
มีอินทรีสามตาจำนวนหนึ่งต่างเสสายตามองไปทางฉู่หลิวเยว่อีกรอบอย่างอดไม่ได้
หากก่อนหน้านี้พวกมันไม่ได้คิดไปเองแล้วล่ะก็ เหมือนว่าหม้อน้ำเทวศักดิ์สิทธิ์… จะอยู่ในร่างของคนผู้นี้!
“ดังนั้นครานี้ ความจริงแล้วเป็นพวกเจ้าที่จงใจจัดฉากเพื่อล่อคนที่มีหม้อน้ำเทวศักดิ์สิทธิ์ของจริงให้ออกมา แล้วค่อยหาทางจับตัวไป?”
ฉู่หลิวเยว่คลี่ยิ้มบางเบาพลางเอ่ยถาม
“… ถูกต้อง”
อินทรีสามตาเหล่านี้ก็แสนจะซื่อตรงนัก ต่างก็ยอมรับออกมาแต่โดยดี
“ก็เพราะแบบนี้นี่แหละ ก่อนหน้านี้พวกข้าสัมผัสได้ว่าของสิ่งนั้นอยู่ในร่างของเจ้า ก็เลย…”
อินทรีสามตาตัวหัวหน้าพูดไปพลาง มองจื่อเฉินด้วยสายตากระวนกระวายไปพลาง
พวกมันล้วนดูออกว่าความสัมพันธ์ระหว่างท่านบรรพบุรุษกับเด็กหนุ่มผู้นี้นั้นไม่ธรรมดา
ในตอนนั้นได้ยินข่าวลือหนาหูว่าท่านบรรพบุรุษถูกคนใช้หม้อน้ำเทวศักดิ์สิทธิ์ทำร้ายเข้า ดังนั้นพวกมันจึงเกลียดชังมนุษย์ที่ครอบครองหม้อน้ำเทวศักดิ์สิทธิ์มาโดยตลอด
แต่ว่าตอนนี้ดูไปแล้ว… เหมือนจะมีบางอย่างไม่ถูกต้องอยู่บ้าง…
“ตอนนี้หม้อน้ำเทวศักดิ์สิทธิ์ยอมรับนางเป็นเจ้านายแล้วก็จริง แต่เรื่องในตอนนั้นมิได้เกี่ยวข้องอันใดกับนาง”
จื่อเฉินรู้ว่าพวกมันนั้นเข้าใจผิด จึงเอ่ยอธิบายออกมาเสียเดี๋ยวนั้น
“จริงๆ แล้วถ้าจะให้พูดให้ถูกก็คือ หากไม่มีนาง ตอนนี้ข้าก็คงตายไปนานแล้ว”
เพิ่งจะจบประโยค ฉู่หลิวเยว่พลันรับรู้ได้ถึงสายตาอันกระตือรือร้นหลายคู่จับจ้องมาที่นาง
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง คุณชายฉู่ ต้องขออภัยที่เสียมารยาทด้วย!”
ท่าทีของพวกมันพลันเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่
การที่ช่วยชีวิตจื่อเฉินเอาไว้ล้วนเป็นบุญคุณอันใหญ่หลวงต่อเผ่าของพวกมันทั้งหมด ย่อมต้องรู้สึกอยากขอบคุณอยู่แล้ว
ฉู่หลิวเยว่กระแอมไอออกมาคราหนึ่ง
“ทุกท่านไม่ต้องมากพิธีรีตองหรอก”
ความจริงแล้วนางเองก็ไม่ได้เสียผลประโยชน์อันใดเลยด้วยซ้ำ อย่างใดเสีย… จื่อเฉินเองก็กลายมาเป็นอสูรศักดิ์สิทธิ์ในพันธสัญญาของนางแล้วด้วย…
“เรื่องในตอนนั้นพูดแล้วค่อนข้างยาว รอคราวหลังมีเวลาแล้วจะมาอธิบายให้พวกเจ้าฟังกันอย่างละเอียดอีกที”
จื่อเฉินพูดพลางเบนสายตามองไปทางอินทรีสามตาตัวหัวหน้า
“เรื่องครานี้เป็นพวกเจ้าตัดสินใจกันเอง หรือ… ยังมีแผนอื่นอีก? ข่าวหม้อน้ำเทวศักดิ์สิทธิ์มาปรากฏที่นี่บนโลกเป็นพวกเจ้าปล่อยออกไปหรือ?”
แววตาของฉู่หลิวเยว่พลันแข็งทื่อ
นี่ก็เป็นหนึ่งในเรื่องที่นางอยากรู้ความจริงมากที่สุดเช่นกัน
อินทรีสามตาตัวหัวหน้าส่ายศีรษะ
“ความจริงแล้ว… ก่อนหน้านี้มีคนมาหาพวกเรา บอกว่าอยากจะช่วยเราหาตัวเจ้าของหม้อน้ำเทวศักดิ์สิทธิ์ พวกข้าก็ตอบตกลงไป ส่วนเรื่องภายหลังหลักๆ แล้วก็เป็นอีกฝั่งที่ลงมือ พวกเราเพียงแค่รออยู่ที่นี่เงียบๆ เท่านั้น…”
จื่อเฉินกับฉู่หลิวเยว่หันมาสบตากันแวบหนึ่ง
“คนผู้นั้นเป็นใครกัน?”
“พวกข้าเองก็ไม่รู้ ตอนที่อีกฝั่งปรากฏตัวก็ไม่ได้แสดงรูปร่างหน้าตาที่แท้จริงให้คนอื่นเห็น กระทั่งลักษณะรูปร่างเองก็ยังไม่เหมือนกันสักรอบ แต่ว่า… ไม่น่าใช่คนธรรมดาสามัญ”
นี่ย่อมแน่นอนอยู่แล้ว
สามารถหารังอินทรีสามตาเจอ หนำซ้ำยังชักชวนให้พวกมันยอมร่วมมือได้ แค่นี้ก็สามารถอธิบายได้หลายคำถามแล้ว
ฉู่หลิวเยว่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง
“จื่อเฉิน คนที่รู้เรื่องความขัดแย้งระหว่างเผ่าอินทรีสามตากับหม้อน้ำเทวศักดิ์สิทธิ์มีใครบ้าง?”
จื่อเฉินหรี่ตาลงพลางส่ายศีรษะ
“คราแรกข้าก็นึกว่าจะมีแค่คนในเผ่าที่รู้เรื่อง แต่ตอนนี้มาดูแล้ว เห็นได้ชัดเลยว่าไม่ใช่”
“เป็นไปได้หรือไม่ว่าจะเป็นคนที่ทำร้ายเจ้าในตอนนั้น? หรือไม่ก็เป็น… คนพวกนั้นที่ล้อมโจมตีเผ่าอินทรีสามตาหลังจากที่เจ้าเกิดเรื่อง?”
จื่อเฉินตะลึงไปพักหนึ่ง ในแววตาปรากฏร่องรอยอารมณ์อันซับซ้อนเคลื่อนผ่าน
“… ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้… เพียงแต่เวลามันผ่านมาหลายพันปีแล้ว บัดนี้ข้าเองก็ไม่รู้ว่าตัวของพวกมันอยู่ที่ใด หรือใช้ชีวิตด้วยรูปลักษณ์แบบใดอยู่…”
เวลาเปลี่ยนอันใดๆ ก็เปลี่ยน เวลาที่ยาวนานปานนั้น ไม่ว่าเรื่องอันใดก็ล้วนเกิดขึ้นได้ทั้งนั้น
สองแขนของฉู่หลิวเยว่กอดอกพลางลูบคางของตนเบาๆ สีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายมิยิ้ม
“ดูเหมือนว่าอีกฝ่าย… จะเพ่งเล็งมาที่ข้านะ”
หากใช้หม้อน้ำเทวศักดิ์สิทธิ์มาเป็นเหยื่อล่อแล้ว เช่นนั้นปลาที่ต้องงับเบ็ดก็ย่อมเป็นนางอย่างไม่ต้องสงสัย
เพียงแต่ว่าตอนนี้นางก็ยังไม่สามารถตัดสินได้ในทันทีว่า อีกฝ่ายรู้หรือไม่ว่าหม้อน้ำเทวศักดิ์สิทธิ์อยู่ที่นาง
หลังพึมพำกับตัวเองอยู่ครู่หนึ่ง นางก็เบนสายตาขึ้นมาถามว่า
“ตอนนี้พวกเจ้ายังติดต่อกับคนพวกนั้นได้อยู่หรือไม่?”
อินทรีสามตาพร้อมใจกันส่ายศีรษะ
“พวกเขาระวังตัวกันมาก ทุกครั้งล้วนเป็นฝ่ายติดต่อพวกข้ามาก่อน แถมหลังจากนั้นยังจัดการเผาทำลายเบาะแสและหลักฐานทุกอย่างเสียจนหมด พวกข้าเคยคิดไล่ตามไปดูร่องรอยครั้งหนึ่ง ทว่าพวกเขาก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย อีกฝ่ายเจ้าเล่ห์มาก แต่ว่ามีข้อหนึ่งที่ยืนยันได้… อีกฝ่ายเองก็อยู่ในบุพกาลชายแดนเหนือเหมือนกัน!”