ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล - ตอนที่ 218 ศิลปะ!
ตอนที่ 218 ศิลปะ!
เดิมทีที่นี่เป็น ‘ดินแดนชำระบาป’ เพียงแต่ตอนนี้มีสิ่งที่เรียกว่าของแท้ดั้งเดิมเพิ่มขึ้นมาอย่างหนึ่ง
คล้ายกับการลอกเลียนแบบของแบรนด์ต่างประเทศใหญ่ๆ ในแง่ของคุณภาพนั้นมีความแตกต่างน้อยมากจริงๆ กระทั่งของเลียนแบบบางอย่างยังมีคุณภาพดีกว่าของแท้เสียอีก แต่ในสายตาของผู้บริโภค มีกลิ่นอายและความบริสุทธิ์ในแบบฉบับของเขา
ขณะนี้ ปีศาจตัวจริงเสียงจริงได้ย่างกรายเข้ามา เวไนยสัตว์นั้นเท่าเทียมกัน เมื่ออยู่ต่อหน้านรก โดยรวมแล้วล้วนตัวสั่นงันงก!
เครื่องมือในแต่ละห้องทดลองในเวลานี้ต่างก็ส่งเสียงสั่นรัวไปทั่ว เหมือนกับสัมผัสได้ถึงสนามแม่เหล็กและเสียงเรียกอย่างหนึ่ง อาวุธและเครื่องมือสังหารก่อนหน้านี้ ในตอนนี้ราวกับว่ามีสามัญสำนึกในตัวของมันเอง
พวกมันเริ่มร่าเริง พวกมันเริ่มมีชีวิตชีวา พวกมันแทบอดทนรอไม่ไหว รอความอิ่มเอมใจรอบใหม่ที่เป็นของตัวปีศาจเอง
มีเสียงโซ่ลากถู มีเสียงมีดผ่าตัดและคีมผ่าตัดกระทบกัน มีเสียง ‘เอี๊ยดอ๊าด’ ของรถเข็นเปล มีเสียงดังของประตูหน้าต่าง แม้แต่โรงเผาที่ใช้สำหรับเผาศพตรงนั้นยังมีเถ้าถ่านปลิวว่อน
ทั้งเสียงสูงหรือเสียงเบา ทั้งเป็นระเบียบเรียบร้อยหรือวุ่นวาย ในเวลานี้ถูกรวมเข้าด้วยกันอย่างลงตัวจนก่อตัวเป็นจังหวะที่ฮึกเหิมเร่าร้อนอย่างหนึ่ง คล้ายกับ ‘เพลงซิมโฟนีแห่งโชคชะตา’ ของเบโธเฟน ในเวลานี้โหมโรงค่อยๆ เปิดฉากขึ้นและเคลื่อนพุ่งขึ้นไปสู่จุด…สูงสุด
มันเป็นทั้งบรรยากาศและยังเป็นการเพิ่มเติมความน่าขนลุกประเภทหนึ่ง เป็นความน่าสยดสยองอย่างแท้จริง คล้ายกับแสงเทียนบนโต๊ะอาหาร มันไม่ได้เปลี่ยนรสชาติใดๆ ให้กับอาหาร แต่ให้ความรู้สึกในรูปแบบที่ขาดไม่ได้
โจวเจ๋อที่แขนขาดไปครึ่งท่อนเดินเล่นอยู่ในศูนย์วิจัยแห่งนี้ เขาเดินช้ามากๆ
เมื่อได้เห็นตัวเองเมื่อแปดสิบปีที่แล้วทำการตัดสินโทษและสังหารในรูปแบบของตัวเองเป็นครั้งแรก โจวเจ๋อก็ตระหนักอย่างแท้จริงว่าความตายเป็นศิลปะจริงๆ
แฝงไปด้วยจังหวะที่เป็นเอกลักษณ์ และประกอบไปด้วยเสน่ห์เฉพาะตัว เหมือนไวน์ชั้นดีที่บ่มมาหลายปี ก่อนที่จะดื่มมันก็หลงใหลในกลิ่นหอมของไวน์นี้แล้ว แต่เมื่อค่อยๆ จิบทีละนิดๆ ในตอนนี้ กลิ่นหอมของไวน์ที่ผ่านปากเข้าไปพุ่งไปที่ปลายจมูก และในที่สุดก็ตกลงไปในท้อง รสชาติที่ร้อนผ่าวไหลกระทบไปทั่วร่างกายทันที
มันแสนสบายและถึงอกถึงใจจนทำให้คุณอยากจะส่งเสียงร้องครวญครางแทบขาดใจ!
พวกนักวิจัยเหมือนกับแมลงวันแต่ละตัวที่ไม่มีหัววิ่งไปวิ่งมา ทั้งกรีดร้อง ร้องไห้ และตะโกนร้องอยู่ในศูนย์วิจัยอย่างต่อเนื่อง หลังจากสถานะของปีศาจกับมารุตะสลับกัน ความจริงก็ได้รับการพิสูจน์แล้ว ไม่มีใครประเสริฐกว่า ในตำแหน่งและสถานการณ์เดียวกัน ทุกคนล้วนแล้วแต่เหมือนกันทั้งหมด
ในตอนแรกที่พวกเขาเผชิญกับการดิ้นรนและเสียงร้องไห้คร่ำครวญของเหล่านักโทษในห้องทดลอง พวกเขายังสามารถหัวเราะและคุยกันได้ แถมยังสามารถพูดคุยกันได้ว่าหมายเลขใดในสถานีปลอบโยนใกล้ๆ นี้บริการถึงใจมากกว่ากัน
ในเวลานั้นพวกเขาอยู่ข้างนอก และคนอื่นๆ อยู่ข้างใน แต่ตอนนี้พวกเขาเข้ามาข้างในแล้ว และก็ไม่มีเวลาเอ้อระเหยลอยชายข้างนอกเหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไปแล้ว
พวกเขาเผชิญหน้ากับ ‘ผีอำ’ ที่น่ากลัวที่สุด รู้ว่าต้องวิ่งหนี แต่กลับไม่สามารถหนีออกไปได้เลย
คล้ายกับหนูตะเภาที่ถูกเลี้ยงอยู่ในภาชนะในห้องทดลอง อันที่จริงชะตาชีวิตถูกกำหนดเอาไว้แล้ว
เพราะคำสั่งการพิเศษของโจวเจ๋อ ดังนั้นฉากการตายต่อไปนี้ไม่ได้ง่ายเหมือนอย่างในตอนแรก ก่อนหน้านี้ดอกโบตั๋นบานสะพรั่ง ตอนนี้เริ่มจากผลิดอกจนบานเต็มที่แล้วก็เหี่ยวเฉาไปในตอนท้าย
ทุกกระบวนการล้วนห้ามลดน้อยถอยลง ทุกการเชื่อมโยงต่างก็ขาดไม่ได้ ตั้งแต่การบ่มเพาะความกลัวไปจนถึงความอัดอั้นใจในระยะแรก รายละเอียดในระยะกลาง และการยืดเยื้อความเจ็บปวดในระยะสุดท้าย ดอกไม้แห่งชีวิตที่เปราะบางถึงขนาดนี้ กลับถูกทำให้เหี่ยวเฉาลงอย่างช้าๆ ด้วยวิธีการมากมายนับไม่ถ้วน
ความตายก็ไม่ได้ทำให้พวกแกตายไปอย่างสบาย ยิ่งไม่ปล่อยให้พวกแกตายไปง่ายๆ บีบคั้นความหวาดกลัวของพวกแกออกมาให้หมด ปลดปล่อยความเจ็บปวดครั้งสุดท้ายของพวกแกออกมา แม้กระทั่งดวงวิญญาณของพวกแกก็ไม่ยกเว้น
อย่าคิดว่าจุดจบของกายหยาบคือความหลุดพ้น มันไม่สามารถเป็นและตายได้อย่างแท้จริง อันที่จริงหลังจากกายหยาบของคุณถึงจุดจบแล้ว มันเพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น
ต้องรู้ว่า วิญญาณนั้นไวต่อความรู้สึกมากกว่าร่างกาย และการลงโทษส่วนใหญ่ในนรกก็มุ่งเป้าไปที่วิญญาณ
ศิลปะแห่งการสังหาร วังวนแห่งความตาย เจี๊ยวจ๊าวอย่างต่อเนื่อง เวียนวนสลับไปมาอยู่อย่างนั้น
โจวเจ๋อก้มหน้าลง เขามองเห็นเลือดบนพื้น ดูเหมือนว่าจะกลับมามีชีวิตอีกครั้ง ราวกับปรมาจารย์แห่งการวาดภาพทิวทัศน์ เปลี่ยนรูปลักษณ์อยู่ตลอดเวลา
สัญลักษณ์น่าสะพรึงกลัว ลึกลับ ลายเส้นฉวัดเฉวียน เปรียบเสมือนดวงดาวที่ประดับประดาท้องฟ้ายามค่ำคืน แฝงไปด้วยการหยอกเย้าและเหน็บแนมชนิดที่ไม่ต้องปิดบังเลย
แอ่งเลือดยังคงกระจายไปทั่ว ที่เท้าของโจวเจ๋อกลายเป็นดอกบัวสีเลือดหลากหลายดอก บนแต่ละกลีบดอก ล้วนเป็นใบหน้าที่เจ็บปวด เป็นวิญญาณของนักวิจัยในชุดกาวน์สีขาวที่เพิ่งตาย นี่เป็นที่จองจำของพวกเขา นี่เป็นงานเลี้ยงฉลองที่สยองขวัญของพวกเขา
เหมือนดูภาพในทีวีขาวดำตอนเด็กๆ แต่ละแถบเส้นเป็นสีขาวไปทั้งแถบ เส้นยุ่งเหยิงมาก สีขาวก็ไม่ได้ขาวขนาดนั้น ภายใต้สัญญาณรบกวนเปลี่ยนแปลง มันทำให้คนเวียนหัว ทำให้คนคลื่นไส้ และทำให้คนสะอิดสะเอียน
โจวเจ๋อก้มลง เขาใช้มือข้างที่เหลืออยู่กุมหน้าอกตัวเองเอาไว้ คลื่นไส้เล็กน้อย
มันไม่ใช่ความเห็นอกเห็นใจหรือความสมเพช มันเป็นแค่ความแปลกใจล้วนๆ เขาเมื่อแปดสิบปีก่อนดูโหดเหี้ยมกว่าเขาในปัจจุบันเสียอีก
ร่างที่พังเละยังคงเดินเข้ามาอย่างเชื่องช้า ราวกับกำลังชื่นชมผลงานชิ้นเอกของตัวเอง
เมื่อถึงเวลา เขาก็จะปรากฏตัวต่อหน้านักวิจัยในชุดกาวน์สีขาวที่ยังมีชีวิตอยู่คนหนึ่ง จับเอามาทำเป็นเครื่องเคียง โยนลงไปในซิมโฟนีที่เร่าร้อน และเปลี่ยนมันเป็นหนึ่งในตัวโน้ต หรือคั้นเลือดสดๆ ของเขามาเติมเต็มสีน้ำเลือดอันแสนโรแมนติกที่เจิ่งนองนี้
เขาไม่ได้ยิ้มอย่างมีเลศนัย กระทั่งนอกจากตอนที่เขาลืมตาขึ้นมองโจวเจ๋อในตอนแรก จริงๆ แล้วเขายังหลับตาอยู่
ดูเหมือนจะไม่สนใจไยดี แต่เขาก็เป็นเหมือนศิลปินที่ไขว่คว้าความสมบูรณ์แบบที่สุด เป็นวาทยกรของวง เขาทุ่มเทให้กับหน้าที่ และเขาจะทำทุกอย่างให้สุดความสามารถเพื่อให้ผู้ฟัง…พึงพอใจ
อ้อ ไม่สิ ที่จริง เพื่อให้ตัวเขาเองพึงพอใจต่างหาก
ความฝันที่ทับซ้อนกับเวลาที่ห่างออกไปตั้งแปดสิบปี ส่วนปลายของทั้งสองจุดเวลาแยกออกจากกันคนละส่วน ความฝันคืออะไรกันแน่ ส่วนไหนคือสิ่งลวงตาของความฝันที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ โจวเจ๋อไม่รู้ และก็ไม่เข้าใจ
แต่น่าจะเป็นเขาเมื่อแปดสิบปีก่อนได้ฟื้นขึ้นที่นี่ และเริ่มเข่นฆ่าที่นี่ เริ่มชำระล้างตัวเอง นี่น่าจะเป็นความจริง
ส่วนจะเป็นเพราะว่าเขาเห็นตัวเองในอีกแปดสิบปีต่อมาหรือไม่ หรือเป็นเพราะยอมรับการฝากฝังให้ทำแทนของตัวเองหรือไม่ ถึงได้ทำให้การเข่นฆ่าครั้งนี้ที่ง่ายแสนง่ายสำหรับเขาเปลี่ยนเป็นซับซ้อนขึ้น เหนื่อยขึ้น ยาวนานขึ้น และสนุกสนานมากขึ้น นั่นก็ไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด
หากต้องการทราบความจริง ทำได้เพียงรอจนกว่าความลับใต้ดินจะถูกเปิดเผย ออกจากความฝันนี้ แล้วดูร่องรอยที่หลงเหลือจากเมื่อแปดสิบปีก่อนที่โลกจริง ด้วยวิธีนี้เท่านั้นถึงจะได้รับคำตัดสินที่ถูกต้องที่สุด
แต่ทว่า
ทันใดนั้นทุกสิ่งทุกอย่างดูเหมือนกระบวนการจะถูกเร่งให้เร็วขึ้น จู่ๆ โจวเจ๋อก็พบว่าเลือดบนพื้นที่เปลี่ยนรูปลักษณ์เริ่มเดือดพล่าน นักวิจัยในชุดกาวน์สีขาวและทหารที่รอเข้าร่วมงานเลี้ยงทีละคนตามลำดับ ดูเหมือนว่าจะถูกโยนเข้าไปในห้องทดลองต่างๆ ทั้งหมด การทดลองในห้องทดลองเริ่มดำเนินต่อ เครื่องมือและเครื่องจักรเริ่มทำงานเอง การทดลองทุกประเภทเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง แม้แต่สมุดบันทึกและปากกาต่างก็โบยบินและดำเนินการจดบันทึกด้วยตัวมันเอง
เพียงแต่ว่าวัตถุดิบไม่ใช่มารุตะที่พวกเขาพูดติดปากก่อนหน้านี้อีกต่อไป แต่กลับกลายเป็นตัวพวกเขาเอง
แต่การเปลี่ยนแปลงทำนองแบบนี้ ทำให้โจวเจ๋อตกใจเล็กน้อย เมื่อเขามองไปยังร่างที่พังเละอีกครั้ง กลับพบว่าร่างนั้นมาปรากฏอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว
เขาจับศีรษะครึ่งหนึ่งด้วยมือทั้งสองข้าง ดูเหมือนจะเจ็บปวดอย่างมาก ร่างกายสั่นเทาตลอดเวลา ราวกับว่าไม่สามารถควบคุมตัวเองได้อีกต่อไป
ทุกสิ่งรอบตัวล้วนเกิดจากฝีไม้ลายมือของเขา มันคือศิลปะแห่งความตาย ทุกอย่างเปลี่ยนไปตามสภาพจิตใจของเขา และเมื่อเขาค่อยๆ ตกอยู่ในอาการคลุ้มคลั่งและสูญเสียการควบคุมในที่สุด ทุกสิ่งรอบตัวก็เริ่มขยายไปสู่สุนทรียภาพของความรุนแรง
เสียงกรีดร้อง เสียงโหยหวน บางคนยังมีชีวิต บางคนตายแล้ว พวกเขาเจ็บปวดรวดร้าวมากยิ่งขึ้น
ทันใดนั้น ร่างที่พังเละก็ลืมตาขึ้น นัยน์ตาของเขาเป็นสีแดงราวกับเลือด ทำให้โจวเจ๋อรู้สึกสับสนเล็กน้อยไปครู่หนึ่ง
เขากำลังตะโกนบางอย่างกับตัวเอง เขากำลังบอกบางอย่างกับตัวเอง แต่ให้ตายเถอะ ทำไมถึงไม่ได้ยินอะไรเลยสักคำ!
“ผมไม่ได้ยิน คุณพูดว่าอะไรนะ!”
โจวเจ๋อตะโกนใส่อีกฝ่าย เขารู้ว่าสิ่งที่อีกฝ่ายพูดน่าจะสำคัญมาก นี่อาจจะเป็นข้อความที่เขาเมื่อแปดสิบปีก่อนฝากถึงตัวเขาเองด้วยซ้ำ
ผ่าน…รูปแบบของความฝัน
แต่ทว่าเขาไม่ได้ยินอะไรเลย ไม่ได้ยินอะไรเลยจริงๆ ประกอบกับอีกฝ่ายกำลังจะสูญเสียการควบคุมแทบจะคำรามและร้องตะโกนออกมา แม้ว่าโจวเจ๋อจะอ่านภาษาปากออกก็ตาม แต่ก็ไม่อาจวิเคราะห์สิ่งที่เขากำลังพูดถึงได้
‘ตู้ม!’
‘ตู้ม!’
เสียงระเบิดดังขึ้นเป็นพรวน มันเป็นเสียงของทางออกหลายทางที่ถูกระเบิดทำลาย
ชาวญี่ปุ่นด้านบนไม่มีใครกล้าที่จะลงไปอีกต่อไป และวางแผนที่จะปิดตายที่นี่
แต่ในเวลานี้ ร่างที่พังเละนั้นดูเหมือนจะบ้าคลั่งมากขึ้นเรื่อยๆ ในเวลานี้เลือดบนพื้นยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และค่อยๆ นองขึ้นอย่างช้าๆ ในตอนแรกมันไปถึงแค่เท้าของโจวเจ๋อเท่านั้น จากนั้นจึงค่อยๆ ขึ้นไปถึงเข่าของโจวเจ๋อ และท้ายที่สุดมันก็เลยเอว
โจวเจ๋ออยากจะตะโกนหยุดร่างนั้นอีกครั้ง เขาอยากรู้จริง ๆ ว่าเมื่อครู่อีกฝ่ายพูดอะไรกันแน่ แต่โจวเจ๋อก็ถามอะไรไม่ทัน และทำอะไรไม่ทันแล้ว เพราะเลือดสดๆ อาบเขามิดไปทั่วทั้งตัวแล้ว
‘ปุดๆ…’
ร่างกายดูเหมือนจะจมดิ่งลงสู่ห้วงลึกของมหาสมุทร และล้อมรอบไปด้วยความอ้างว้างสิ้นหวัง ด้านล่างมีเงาร่างที่พังเละซึ่งดูเหมือนจะเงยหน้าขึ้นมอง แต่ระยะห่างระหว่างคนทั้งสองกลับไกลขึ้นเรื่อยๆ ด้วยความเร็วที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
แรงลอยตัวเริ่มเพิ่มขึ้น โจวเจ๋อเริ่มลอยขึ้นด้านบนเร็วขึ้นและเร็วขึ้นเรื่อยๆ ความรู้สึกของการอึดอัดหายใจไม่ออกและตื่นตระหนกรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
‘บุ๋ง…’
เมื่อโจวเจ๋อโผล่ขึ้นมาบนผิวน้ำ เขาก็ดีดตัวลุกขึ้นนั่งบนโซฟาทันที
‘แฮกๆ…แฮกๆ…แฮกๆ…’
โจวเจ๋อเหงื่อไหลโชกทั้งตัว ทั้งตัวเปียกชุ่ม ไป๋อิงอิงที่อยู่ข้างๆ ยังคงหลับสนิท แต่เส้นผมกลับมาเป็นสาวน้อยผมสีดำเหมือนเดิมแล้ว กระทั่งแม้แต่ผิวพรรณก็ยิ่งกระชับและยืดหยุ่น ราวกับบีบแล้วน้ำจะไหลออกมาอย่างนั้น เช่นเดียวกับเกสรดอกไม้สดใหม่ที่ได้รับความชุ่มชื้นอย่างดีจากน้ำค้างยามเช้า
โจวเจ๋อเอื้อมมือขึ้นมากุมหน้าผากตัวเอง เขายังไม่ได้สติกลับมา ฉากก่อนหน้านี้มันบ้าเกินไป และน่ากลัวจนเกินไปจริงๆ โดยเฉพาะความรู้สึกทางศิลปะที่สะท้อนออกมาจากการเข่นฆ่า มันทำให้ผู้คนรู้สึกว่าพวกเขาอยู่ในศูนย์กลางของวงซิมโฟนีออร์เคสตรา ไม่สิ ศูนย์กลางของสึนามิ!
ในเวลานี้ โทรศัพท์มือถือของโจวเจ๋อดังขึ้น เขาเหลือบมองหน้าจอ ปรากฏว่าเป็นสายของจางเยี่ยนเฟิง
หลังจากรับโทรศัพท์ ก็เอ่ย “ฮัลโหล” อย่างอ่อนระโหยโรยแรง
เสียงจางเยี่ยนเฟิงที่ดังลอดจากปลายสายนั้นเห็นได้ชัดว่าตื่นเต้นมาก ยังมีเสียงของเครื่องจักรดังอยู่ข้างๆ เขา และเขาก็ตะโกนเสียงดัง
“ฮัลโหล ผู้บังคับบัญชาตอบรับแล้ว จะเริ่มขุดแล้ว ได้เวลาขุดแล้ว…”
จะเริ่มขุดแล้วอย่างนั้นเหรอ
โจวเจ๋อรู้สึกมึนงงเล็กน้อย เริ่มขุดอะไรกัน
แต่ไม่นาน โจวเจ๋อก็ได้สติกลับมาอย่างรวดเร็ว จากนั้นรีบนำโทรศัพท์มือถือจ่อปากของเขาแล้วตะโกนขึ้นทันที
“ขุดไม่ได้ ตอนนี้อย่าขุดนะ อย่าขุดมันออกมาเด็ดขาด!!!”
……………………………………………………………