พี่น้องร่วมสาบาน ใต้แสงจันทร์อันเจิดจรัส - ตอนที่ 16 นิสัยซ่อนเร้นของคุณชายรอง
- Home
- All Mangas
- พี่น้องร่วมสาบาน ใต้แสงจันทร์อันเจิดจรัส
- ตอนที่ 16 นิสัยซ่อนเร้นของคุณชายรอง
สิบหก
นิสัยซ่อนเร้นของคุณชายรอง
เช้ามืดวันรุ่งขึ้น เสียงโหวกเหวกดังลั่นปลุกซ่งฉือที่กำลังหลับใหลให้ตื่นจากฝัน
“จี้หลิน เจ้าขยับขึ้นไปด้านบนอีกหน่อยซิ”
ซ่งฉือพลิกตัวกระโดดขึ้นจากเตียง มองสภาพแวดล้อมแปลกรอบตัว ทันใดนั้นในใจของเขาเริ่มรู้สึกขมขื่น แต่แล้วก็ถูกเสียงเอ็ดตะโรทำให้หลุดจากภวังค์
“ไหล่อันเปราะบางของข้าทนไม่ไหวแล้วศิษย์พี่!”
ซ่งฉือสวมรองเท้า เดินไปที่หน้าต่างเพื่อมองออกไปด้านนอก
จี้หลินแบกบันไดไม้เดินโซซัดโซเซอยู่ริมที่กำแพง บนกำแพงมีชายหนุ่มคนหนึ่งนั่งอยู่ ในมือถือน่องไก่ส่ายไปมาอย่างเชื่องช้า
“จี้หลิน ถ้าเจ้าอยากได้น่องไก่ของเจ้าก็ขึ้นมาเอาสิ ถ้าหยิบไม่ถึง ข้าจะกินเองแล้วนะ”
ซ่งฉือยืนพิงหน้าต่างมองทั้งสองปะทะคารมกัน จี้หลินเป็นพ่อครัวฝีมือดี ทำน่องไก่ต้องอร่อยเป็นธรรมดา เมื่อคิดได้เช่นนี้ซ่งฉือพลิกตัวออกไปทางหน้าต่าง ก้าวขึ้นไปบนกำแพงด้วยความพยายามเพียงเล็กน้อย
“เจ้า เจ้าเป็นใคร” เด็กหนุ่มตกใจจนหน้าซีด กระเถิบก้นไปด้านหลังหลายช่วงตัวจนน่องไก่ในมือสั่นไปมา
จี้หลินมองน่องไก่ วางบันไดและยื่นสองมือออกไปเตรียมรับน่องไก่พร้อมกับกลืนน้ำลายลงคอ
ซ่งฉือหรี่ดวงตาใสเจ้าเสน่ห์ “ข้าคือ…”
เจ้าหนุ่มน้อยกะพริบดวงตาที่เบิกโต จ้องมองเขาอย่างไม่กะพริบตา
ซ่งฉือกลอกตาไปมาแล้วมองไปยังเบื้องหลังของอีกฝ่าย “โอ้ จี้ชิง เจ้ามาแล้วรึ”
หนุ่มน้อยรีบหันไปมองด้านหลัง น่องไก่พลันหลุดมือ จี้หลินที่เตรียมพร้อมอยู่ก่อนพบว่ามือของตนเองไม่สามารถรับน่องไก่ไว้ได้ จึงหมุนตัวสามร้อยหกสิบองศาไปงับน่องไก่ที่กำลังจะตกลงไปบนพื้น
ซ่งฉือยกนิ้วหัวแม่มือให้อย่างตื่นเต้น “แม่นมาก จี้หลิน”
จี้หลินหยิบน่องไก่ขึ้นมาแทะไปหัวเราะไปอย่างเขินอาย
“คุณชายซ่ง ท่านนี้คือศิษย์พี่ของข้า ฟางปู๋จิ้ง… ศิษย์พี่ นี่คือ…สำนักไห่…เอ่อ…ซ่งฝูอี้ คุณชายซ่ง”
ซ่งฉือกระโดดลงจากกำแพง มองเจ้าหนุ่มน้อยที่ยังอยู่บนกำแพงซึ่งตัวโตกว่าจี้หลินเล็กน้อย
“ฟางปู๋จิ้ง[1] ไม่สงบจริงๆ…ลงมาสิ”
ฟางปู๋จิ้งเอียงศีรษะด้วยความภาคภูมิ แล้วเหินลงมาจากอีกด้านหนึ่ง
จี้หลินคลำท้ายทอยของตนเองด้วยความเขินอาย “ขอโทษนะคุณชายซ่ง ปกติศิษย์พี่ก็เป็นอย่างนี้แหละ”
“ไม่เป็นไร” ซ่งฉือหยิบพัดหยกพิสุทธิ์ออกมาจากแขนเสื้อ “แล้วจี้ชิงล่ะ”
“คุณชายสามรีบร้อนออกไปที่เขาหลิงอู้ตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง เกรงว่ากว่าจะกลับมาก็คงค่ำแล้วละ” จี้หลินลากแขนเสื้อของอีกฝ่าย “แต่คุณชายสามสั่งให้ข้าทำอาหารให้ท่านกิน บอกว่าจะต้องบำรุงร่างกายให้ท่าน”
ซ่งฉือกลืนน้ำลาย เมื่อคืนก็มืดมิดจนมองอะไรแทบไม่เห็น จี้ชิงคงกินไม่อิ่มแน่ๆ
“คุณชายสามดีต่อท่านมากจริงๆ ข้าไม่เคยเห็นคุณชายสามใส่ใจบุรุษผู้ใดแบบนี้มาก่อนเลย”
จี้หลินดูเหมือนมีความสุขมาก หยิบอาหารหลากหลายประเภทออกจากกล่องขึ้นมาวางเรียงกัน ดูน่าอร่อยไปหมดทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นรูป รส กลิ่น สี
“เช่นนั้นเจ้าหมายความว่าคุณชายสามดีต่อสตรีทุกนางอย่างนั้นรึ” ซ่งฉือหยิบตะเกียบขึ้นมา คีบอาหารชิ้นหนึ่งเข้าปาก รสสัมผัสหอมหวานอีกทั้งยังละลายในปาก
“ไม่ใช่อย่างนั้น คุณชายสามเพิ่งลงจากเขามาไม่นาน ผู้บำเพ็ญเพียรที่จัวลู่แยกออกเป็นสามสี่กลุ่ม ศิษย์พี่หญิงทั้งหลายก็ไม่ชอบคุณชายสามเท่าไร”
จี้หลินปรุงน้ำแกงให้ซ่งฉือแล้วราดลงไปบนเส้นบะหมี่
“จี้ชิงสง่างามดุจพญามังกร สตรีต้องชอบอย่างแน่นอน วิสัยทัศน์ของหญิงสาวที่ฝึกวิชาเซียนที่จัวลู่นี่เป็นอย่างไร”
ซ่งฉือกล่าวจบก็หัวเราะในใจ ที่แท้จี้ชิงก็เป็นคนโง่ที่ไม่รู้วิธีเอาใจสตรีเลยแม้แต่น้อย
“คุณชายสามนิสัยค่อนข้างใจเย็นจนเกือบเรียกได้ว่าเย็นชา เซียนอู่หลิงต่างพูดกันว่าเขาจะได้รับการยกย่องให้เป็นเซียนในภายภาคหน้าอย่างแน่นอน ให้กามเทพผูกด้ายเกรงว่าคงเสียเปล่า ผูกเส้นหนึ่งนั้นเสียตบะไปถึงร้อยปี” จี้หลินเล่าเรื่องราวที่น่าสนใจของจี้ชิงอย่างน้ำไหลไฟดับ
“อ้อ…” ซ่งฉือพยักหน้าราวกับเข้าใจแต่ก็ไม่เข้าใจ ดูดเส้นบะหมี่เข้าปากด้วยความเอร็ดอร่อย
ฝีมือทำอาหารของจี้หลินไม่ใช่เป็นเพียงเรื่องโอ้อวด ซ่งฉือกินอาหารจนพุงกาง
“คุณชายซ่ง ศิษย์พี่บอกว่าถ้าท่านกินอิ่มแล้วให้ไปพบเขาด้วย”
ซ่งฉือได้ยินดังนั้นก็ลุกขึ้นยืนแล้วขมวดคิ้ว “เหตุใดเจ้าไม่บอกเร็วกว่านี้ ข้าจะได้เตรียมตัว”
“ก็คุณชายสามบอกว่าถ้าบอกท่านเร็วกว่านี้ ท่านก็จะไม่มีอารมณ์กินอาหารน่ะสิ” จี้หลินเก็บชามและตะเกียบพร้อมกับหัวเราะ “เดี๋ยวข้าพาท่านไปเอง ศิษย์พี่ไม่ทรมานท่านหรอก”
ซ่งฉือถอนหายใจ เขาไม่ได้กลัวที่จะต้องเผชิญหน้ากับจี้หลิงอู้ แต่หากฝ่ายนั้นให้เขาไปเกลี้ยกล่อมจี้ชิงให้ยอมบรรลุวิถีเซียน เขาจะทำอย่างไร
จัวลู่ล้อมรอบไปด้วยแม่น้ำและขุนเขา
ศาลา เวที หอคอยมีลักษณะสง่างามคล้ายกับโบราณสถาน
สีสันของขุนเขาและหอคอยสอดรับกลมกลืนกันอย่างไม่มีที่ติ ดูอ้างว้างและสูงตระหง่านราวกับอยู่ในแดนสวรรค์ จี้หลินเป็นผู้บรรยายได้ดี เมื่อเห็นดอกไม้ริมทางเขาก็อธิบายให้ซ่งฉือฟังว่ามันคือพันธุ์อะไร แต่การแนะนำนั้นพูดผิดอยู่หลายสิ่ง ซ่งฉือพยักหน้าเออออไปพลางหัวเราะเด็กหนุ่มผู้นี้ในใจไปพลาง
“ว่าแต่เหตุใดพวกเจ้าถึงเรียกจี้หลิงอู้ว่าศิษย์พี่ แต่กลับเรียกจี้ชิงว่าคุณชายสามเล่า”
จี้หลินคิดอยู่พักหนึ่ง “ศิษย์พี่เป็นศิษย์พี่ตั้งแต่ข้าจำความได้ แต่คุณชายสามไม่ได้อยู่ที่จัวลู่ตั้งแต่อายุสิบขวบ เขาขึ้นเขาไปฝึกวิชาเมื่อเจ็ดปีก่อน เมื่อไม่นานมานี้คุณชายสามลงจากเขามาเพราะฮูหยินหมิงหานสุขภาพไม่สู้ดีนัก ไม่เช่นนั้นด้วยความช่วยเหลือของท่านเซียนและท่านตันชิวก็น่าจะ…”
“เขาจะบรรลุเป็นเซียนรึ”
จี้หลินพยักหน้า “จัวลู่มีผู้บำเพ็ญเพียรมากมาย แต่ส่วนใหญ่เป็นพวกหยาบคายและป่าเถื่อน ขาดวินัย หลังจากสิ้นท่านหลิงกุยแล้ว นับวันความยับยั้งชั่งใจของผู้คนที่นี่ก็น้อยลงทุกที นักพรตเต๋าทั้งหมดที่มาฝึกตนที่นี่จะต้องผ่านการทดสอบของศิษย์พี่ นอกจากศิษย์พี่กับคุณชายสามก็ยังมีศิษย์พี่เสวียนอวี๋กับข้า นอกนั้นก็ไม่มีคนแซ่จี้อีก”
ซ่งฉือพยักหน้า
เมื่อก้าวเดินต่อไปข้างหน้าก็มีน้ำตกสูงนับพันฉื่อ[2] มีหอคอยตั้งอยู่หน้าน้ำตก หินที่เชิงเขาแบ่งน้ำตกออกเป็นสองส่วน กลายเป็นลำธารให้ความชุ่มชื้นหล่อเลี้ยงจัวลู่
น้ำตกแห่งนี้ไหลลงมาจากเขาอู่หลิง ดังนั้นจึงเป็นน้ำตกที่มีพลังปราณมากเป็นพิเศษ
“ผู้บำเพ็ญเพียรเกือบทั้งหมดมีแนวโน้มว่าจะเดินทางไปยังสถานที่ชุมนุมหลิงชี่[3] ถึงแม้ว่าที่นี่จะดูเหมือนคนน้อย แต่ในความเป็นจริงพวกเขากระจายตัวออกไปอยู่ทุกมุมในจัวลู่โดยที่ไม่รบกวนซึ่งกันและกัน”
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้”
ระหว่างทางที่เดินมาซ่งฉือยังไม่เห็นเงาของมนุษย์เลยสักคนเดียว
“พวกเขาส่วนใหญ่มีพรสวรรค์พิเศษและเป็นผู้ที่เหมาะสม” จี้หลินชี้ไปที่ภูเขาอู่หลิงด้วยท่าทีจริงจังอย่างหาได้น้อยครั้งที่จะมี
“เขาอู่หลิงเป็นสถานที่สำหรับฝึกเซียน ดังนั้นบรรดาศิษย์ที่จัวลู่จึงไม่สามารถรบกวนพวกเขาได้ มีน้ำตกเป็นเขตแดน ใครก็ตามเข้าไปจะต้องถูกท่านตันชิวและศิษย์พี่ลงโทษอย่างหนัก”
“เท่านี้รึ”
“พวกเราไม่ได้มีกฎเกณฑ์อะไร พวกเราฝึกฝนอย่างอิสระในวันธรรมดา บางครั้งศิษย์พี่กับเสวียนอวี๋ก็จะนำฝึกหนึ่งครั้ง เวลาที่เหลือก็ให้พวกเขาฝึกด้วยตัวเอง” จี้หลินเกาศีรษะอย่างเขินอายแล้วกล่าวว่า “ดังนั้นข้าก็เลย…”
“ดังนั้นการฝึกของเจ้าก็ยังไม่สูง แต่เจ้าทำอาหารอร่อย” ซ่งฉือเม้มริมฝีปาก “ถ้าข้ามีฝีมือได้สักครึ่งหนึ่งของเจ้า ข้าจะไปเปิดร้านอาหารเป็นพ่อครัวที่เจียงอิน”
“จริงหรือ ข้าไม่อยากบรรลุขั้นเซียน อยากเปิดโรงเตี๊ยมที่โลกมนุษย์เพราะผู้คนมองว่าอาหารคือสวรรค์ เป็นเซียนไม่เห็นน่าสนุกเลย”
จี้หลินยิ่งพูดยิ่งมีวาทศิลป์ขึ้นเรื่อยๆ “อีกทั้งข้ายังพบว่าการบรรลุเป็นเซียนจะทำให้ความรู้สึกแบบมนุษย์ลดน้อยลงอีกด้วย ตอนที่คุณชายสามเพิ่งลงจากภูเขาได้นำแมวกลับมาตัวหนึ่ง ชื่อว่าเอ้อเฉิน ข้าลูบมันเพียงสองสามครั้ง เขาก็โกรธจนสั่งกักบริเวณข้า ทำให้ข้าถูกหัวเราะเยาะไปเป็นเดือน สุดท้ายศิษย์พี่เป็นคนมาปล่อยข้าออกจากห้องเล็กๆ มืดๆ นั่น ไม่เช่นนั้นข้าคงหิวตายอยู่ในนั้น”
ซ่งฉือฟังแล้วก็หัวเราะ ที่แท้จี้ชิงก็ชอบแมวมากนี่เอง
“ด้านหน้าคือหอหลิงจิง ข้าเข้าไปไม่ได้” จี้หลินลูบแขนของตนเอง “ที่นั่นหนาวเกินไป”
“อือ” ซ่งฉือกระชับกระบี่ซุ่ยหานในมือแน่น
“คุณชายซ่ง คุณชายสามบอกว่าไม่ว่าศิษย์พี่จะพูดอะไรกับท่านก็ขอให้ท่านอย่าเก็บมาใส่ใจ ศิษย์พี่ดูแลลูกศิษย์วัยเยาว์ของจัวลู่มาหลายปี เป็นทั้งพ่อและแม่ พร่ำบ่นมากมายแต่ใจดี ท่านค่อยๆ ทำความรู้จักกับเขา แล้วจะพบว่าศิษย์พี่มีมนุษยธรรมกว่าคุณชายสาม ศิษย์พี่เป็นคนดีมาก”
ซ่งฉือหัวเราะเล็กน้อย “เข้าใจแล้ว ข้าพอจะแยกแยะได้”
จี้หลินพยักหน้าแล้วหมุนตัวเดินลงไปจากหอ
ซ่งฉือเงยหน้าขึ้นมองหอหลิงจิงที่ตั้งตระหง่านอยู่ใต้น้ำตก ความจริงแล้วมันหนาวกว่าที่อื่นมาก อีกทั้งยังย้อนแสง มืดและหนาวเย็นเป็นอย่างมาก
ซ่งฉือกระแอมสองทีเพื่อสงบจิตสงบใจ เคาะประตู
“คุณชายจี้”
“เข้ามาสิ”
ซ่งฉือผลักประตูเข้าไป เทียนสามเล่มถูกจุดไว้ในห้อง จี้หลิงอู้นั่งอยู่ที่โต๊ะแล้วโบกมือให้เขา ซ่งฉือจัดเสื้อผ้าให้เข้าที่เข้าทางแล้วนั่งลงก่อนจะยืดตัว
จี้หลิงอู้ยื่นสมุดบัญชีรายชื่อไปตรงหน้าเขา หัวเราะเล็กน้อย
“ถูกใจสตรีนางใด ข้าจะเป็นพ่อสื่อให้”
[1] ‘ปู้จิ้ง’ แปลว่าไม่สงบ
[2] หน่วยวัดความยาวของจีนในสมัยโบราณ เทียบเท่า 0.333 เมตร หรือ 1.094 ฟุต
[3] พลังวิญญาณ