ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 324 ถอนเงิน
ตอนที่ 324 :ถอนเงิน
ตั้งแต่วินาทีที่เจียงเสี่ยวไป๋ออกจากสำนักงานคณะกรรมการเศรษฐกิจและการค้าประจำเจียงเฉิง เขาก็รู้สึกเวียนหัวเล็กน้อย
เขาเพียงยื่นใบเสร็จรับเงินให้กับพนักงานคนหนึ่งที่อยู่ในนั้น เซ็นชื่อในแบบฟอร์มซื้อยานยนต์ จากนั้นเจ้าหน้าที่ก็ดำเนินการขั้นตอนการรับรถให้เขาอย่างรวดเร็ว แล้วบอกให้เขาไปรับรถที่สำนักงานคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจและการค้าเมืองชิงโจวพร้อมเอกสารใน 10 วันให้หลัง
ทุกอย่างราบรื่นเกินไปแล้ว !
มันง่ายเกินไป !
ถังเสี่ยวโจวมาส่งเจียงเสี่ยวไป๋ที่เกสต์เฮาส์หงซานและพูด “ตอนเที่ยงผมยุ่งมาก แต่ผมจะมารับคุณไปทานอาหารเย็นหลังเลิกงานนะครับ”
เจียงเสี่ยวไป๋รีบพูดว่า “เลขาถัง คุณช่วยผมไว้มาก ผมควรจะเลี้ยงอาหารค่ำคุณมากกว่า”
ถังเสี่ยวโจวโบกมือ “คุณเป็นแขก ให้ผมเป็นคนเลี้ยงเถอะครับ”
เขาไม่ยอมให้เจียงเสี่ยวไป๋มีโอกาสปฏิเสธ หลังจากพูดจบ เขาก็ขึ้นรถแล้วจากไปทันที
เจียงเสี่ยวไป๋กลับมาที่ห้องอย่างช่วยไม่ได้
เจียงเสี่ยวไป๋นอนเหยียดอยู่บนเตียง จ้องมองไปที่เพดานห้องและจมอยู่กับความคิดของตัวเองไปชั่วขณะหนึ่ง
เดิมทีเขาคิดว่าการมาเยือนเจียงเฉิงของเขาจะใช้เวลาหลายวันเพื่อจัดการทุกอย่าง แต่ปรากฎว่าทุกอย่างเสร็จสิ้นภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง
เขาอดไม่ได้ที่จะสงสัยว่าพ่อตาของเขาใช้ความสัมพันธ์แบบไหน ? พวกเขาต้องมีอิทธิพลมากขนาดไหนกัน !
นอกจากนี้ ถังเสี่ยวโจวยังเรียกตัวเองว่าเป็นเลขานุการ เขาเป็นเลขาของใคร ?
ความสงสัยเหล่านี้ทำให้เขาสับสน
แต่พ่อตาเคยบอกเขาว่าอย่าถาม ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ซักถามอะไรมาก
เนื่องจากธุระทุกอย่างที่นี่เสร็จสิ้นแล้ว ในตอนแรกเขาจึงวางแผนที่จะกลับไปที่ชิงโจวทันที แต่ถังเสี่ยวโจวเชิญเขาไปทานอาหารเย็น ดังนั้นเขาจึงได้แต่รอจนถึงวันพรุ่งนี้ถึงจะเดินทางกลับได้
“เอาล่ะ ไปช้อปปิ้งดีกว่า ! ”
เมื่อยังไม่สามารถกลับบ้านได้ และการอยู่แต่เกสต์เฮาส์เป็นเรื่องน่าเบื่อ เจียงเสี่ยวไป๋พึมพำกับตัวเองและลุกขึ้นจากเตียงทันที
ในปี 1983 เจียงเฉิงมีศูนย์การค้าหลายแห่ง แต่ห้างสรรพสินค้าที่ใหญ่ที่สุดคือห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเจียงเฉิง
เจียงเฉิงแบ่งออกเป็นสามเขตอำเภอ ได้แก่ เจียงหยาง เจียงชาง และเจียงโข่ว
ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเจียงเฉิงตั้งอยู่บนถนนเจียงฮั่นอันพลุกพล่านในเจียงโข่ว ซึ่งเปิดดำเนินการมาเป็นเวลา 46 ปีแล้ว ก่อตั้งขึ้นครั้งแรกในวันที่ 1 เดือนธันวาคม ปี 1937 ซึ่งเป็นช่วงสงครามหนานจิงพอดี
ในเวลานั้น สินค้าของญี่ปุ่นหลั่งไหลเข้าสู่ตลาดภายในประเทศ ทำให้อุตสาหกรรมและธุรกิจระดับชาติประสบปัญหา เพื่อต่อต้านสินค้าญี่ปุ่นและส่งเสริมสินค้าภายในประเทศ ผู้รักชาติบางส่วนในภาคอุตสาหกรรมและการพาณิชย์แห่งชาติเซี่ยงไฮ้-ไห่อันได้ริเริ่มการก่อตั้งสมาคมการผลิตและการตลาดสินค้าแห่งชาติขึ้น พวกเขาสนับสนุนคนรักชาติจากภูมิภาคต่าง ๆ ให้ก่อตั้งบริษัทสินค้าภายในประเทศ
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการรุกรานของชาวญี่ปุ่น ในปี 1938 บริษัทสินค้าแห่งชาติเจียงเฉิงจึงต้องประกาศปิดตัวลง
หลังจากชัยชนะในสงครามต่อต้านญี่ปุ่น บริษัทสินค้าแห่งชาติเจียงเฉิงได้เปิดทำการอีกครั้งในวันที่ 10 ตุลาคม ค.ศ. 1946 โดยดำเนินธุรกิจหลักเกี่ยวกับผ้าไหม ผ้าฝ้าย ผลิตภัณฑ์ทางวัฒนธรรม เครื่องเคลือบ เครื่องสำอาง และอื่น ๆ อีกมากมาย บริษัทสินค้าแห่งชาติเจียงเฉิงมีเป้าหมายที่จะให้บริการตามคติที่ว่า “ส่งเสริมสินค้าภายในประเทศและเรียกคืนสิทธิและผลประโยชน์กลับสู่ตลาดในประเทศ” พวกเขายังสร้างหัวข้อข่าวในหนังสือพิมพ์ชื่อ “สินค้าโดดเด่นแห่งชาติ” ซึ่งพวกเขาส่งเสริมแนวคิดที่ว่าการใช้สินค้าในบ้านเป็นการแสดงออกถึงความรักชาติ สิ่งนี้ช่วยสร้างภาพลักษณ์ของบริษัทสินค้าแห่งชาติเจียงเฉิงในฐานะองค์กรรักชาติที่หยั่งรากลึกในหัวใจของผู้คน
หลังจากการก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีน บริษัทสินค้าแห่งชาติเจียงเฉิงได้ปรับโครงสร้างใหม่เป็นห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเจียงเฉิง โดยขยายจากหนึ่งชั้นเป็นแปดชั้นในปัจจุบันและกลายเป็นห้างสรรพสินค้าที่ใหญ่ที่สุดในภาคกลางของประเทศจีน
ขณะที่เจียงเสี่ยวไป๋ขับรถ เขาก็คิดถึงประวัติศาสตร์นี้ และรอยยิ้มก็ปรากฏบนริมฝีปากของเขา
ในปีต่อมา หลายบริษัทใช้สโลแกน เช่น “ใช้ผลิตภัณฑ์ภายในประเทศ รักษาความรุ่งโรจน์ของประเทศ” อย่างไรก็ตาม อาจกล่าวได้ว่าบริษัทสินค้าแห่งชาติเจียงเฉิงเป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกการส่งเสริมสินค้าภายในประเทศและความรักชาติ
ประมาณ 40 นาทีต่อมา เจียงเสี่ยวไป๋ก็มาถึงห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเจียงเฉิง
แม้ว่าเจียงเฉิงจะมีอาคารสูงหลายหลัง แต่ส่วนใหญ่มีความสูงเพียงสี่หรือห้าชั้นเท่านั้น ทำให้ห้างสรรพสินค้าที่มีแปดชั้นจึงโดดเด่นอย่างมาก
หลังจากจอดรถแล้ว เจียงเสี่ยวไป่ก็เข้าไปในร้านอย่างมั่นใจ
อันดับแรก เขาเดินชมทั่วทั้งห้าง โดยสังเกตเห็นว่ารูปแบบค่อนข้างคล้ายกับห้างสรรพสินค้าสมัยใหม่ มีสินค้าหลากหลายที่จัดหมวดหมู่อย่างประณีต และจำหน่ายในส่วนต่าง ๆ
“ของเยอะอยู่เหมือนกัน ! ”
หลังจากเดินไปรอบ ๆ เขาก็พอใจมาก แต่เขาออกจากร้านไปโดยไม่ได้ซื้ออะไรเลย
“ขอโทษครับ ธนาคารเพื่อการก่อสร้างแถว ๆ นี้อยู่ที่ไหน ? ”
หลังจากออกจากร้าน เจียงเสี่ยวไป๋ก็หยุดชายวัยกลางคน และยื่นบุหรี่ให้เขา ก่อนจะถามอย่างสุภาพ
ชายวัยกลางคนประหลาดใจเล็กน้อยและโบกมือ “คุณแค่ถามทาง ไม่จำเป็นต้องให้บุหรี่ ! ”
จากนั้น เขาก็ชี้บอกทางเจียงเสี่ยวไป๋
ในปี 1983 ไม่มีธนาคารอยู่ทุกที่เหมือนยุคหลัง ขนาดบริเวณที่ผู้คนพลุกพล่านอย่างห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเจียงเฉิงยังไม่มีธนาคารอยู่ในบริเวณใกล้เคียง
ตามคำแนะนำของชายคนนั้น เจียงเสี่ยวไป๋ต้องเดินเป็นระยะทางกว่า 1 กิโลเมตรกว่าจะไปถึงธนาคารเพื่อการก่อสร้าง
เดือนสิงหาคมและกันยายนเป็นเดือนที่ร้อนที่สุดของปี เขาไม่อยากเดินเลยตัดสินใจขับรถไป
เมื่อมาถึงธนาคาร ล็อบบี้ของสาขาก็เกือบจะว่างเปล่า เขาเดินตรงไปที่เคาน์เตอร์หนึ่ง ยื่นสมุดบัญชีเงินฝากแล้วพูดว่า “ผมต้องกการถอนเงิน 60,000 หยวน ! ”
“60,000 หยวน ? ”
หลังจากได้ยินสิ่งนี้ พนักงานธนาคารสาวสวยก็มองไปที่เจียงเสี่ยวไป๋ด้วยความประหลาดใจ เธอทำงานในธนาคารมาหลายปีแล้ว และเธอไม่เคยเห็นใครมาถอนเงินจำนวนมากขนาดนี้ในคราวเดียวมาก่อน
ต่อให้มีคนมาถอนเงินในจำนวนมาก แต่แทบทุกคนล้วนมาในนามของหน่วยงานหรือไม่ก็ภาคอุตสาหกรรมทั้งนั้น และส่วนใหญ่ยังเป็นคนที่เธอเคยพูดคุยด้วยมาก่อน ดังนั้นเธอจึงรู้จักคนกลุ่มนั้นเกือบทั้งหมด
และเห็นได้ชัดว่าเจียงเสี่ยวไป๋เป็นหน้าใหม่
เธอเปิดสมุดบัญชีเงินฝากด้วยความสับสนและยิ่งประหลาดใจมากขึ้นที่เห็นว่ายอดคงเหลือในสมุดบัญชีของเขาคือ: 5,200,000.00 หยวน
ยิ่งไปกว่านั้น ยังเป็นบัญชีส่วนตัวด้วย
ไม่ใช่บัญชีของหน่วยงานหรือบริษัทใด
นี่คือเศรษฐี !
ในยุคนี้ ครัวเรือนที่มีเงินหนึ่งหมื่นหยวนก็ถือว่าร่ำรวยแล้ว แล้วคนที่มีเงินในบัญชีเป็นล้านหยวนจะไม่เรียกว่าเศรษฐีได้อย่างไร ?
“คุณผู้ชาย รอสักครู่นะคะ ฉันจะรีบดำเนินการให้คุณทันที ! ”
พนักงานสาวมองเจียงเสี่ยวไป๋ด้วยแววตาที่ต่างออกไป พร้อมกับพูดอย่างสุภาพมาก
หลังจากตรวจสอบสมุดบัญชีเงินฝากของเจียงเสี่ยวไป๋และยืนยันว่าเป็นการถอนเงินออกนอกเมือง พนักงานสาวจึงพูดต่ออีกว่า “คุณผู้ชายคะ เนื่องจากเป็นการถอนเงินนอกเขตที่ทำการ และคุณถอนเงินก้อนใหญ่ในคราวเดียว ดังนั้นจึงมีค่าธรรมเนียมการถอนเงิน 50 หยวนนะคะ”
เจียงเสี่ยวไป๋พยักหน้า และนับธนบัตรสิบหยวน 5 ใบส่งให้เธอ
พนักงานสาวยิ้มและพูดว่า “คุณไม่ต้องจ่ายเงินเพิ่มก็ได้ค่ะ ฉันสามารถหักออกจากบัญชีของคุณได้โดยตรง ฉันแค่ต้องแจ้งให้คุณทราบก่อน”
“อย่างนั้นก็ได้ ขอบคุณครับ ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋ขอบคุณแล้วรออย่างเงียบ ๆ
การถอนเงินในยุคสมัยนี้จะใช้แค่สมุดธนาคารเท่านั้น และเป็นเพราะยังไม่มีการออกบัตรประจำตัวประชาชน จึงไม่จำเป็นต้องใช้บัตรประชาชนมายืนยันตัวตน
ยิ่งกว่านั้น ตอนนี้ยังไม่มีรหัสผ่านในการถอนเงินจากธนาคาร ซึ่งการใช้รหัสในการถอนเงินได้เริ่มต้นในปี 1987 เป็นต้นไป
พนักงานสาวยุ่งอยู่นานกว่า 10 นาที และนับเงินหกหมื่นหยวนอย่างพิถีพิถัน เธอเรียงปึกเงินไว้อย่างเรียบร้อยเป็น 60 ปึก ดูกองเต็มโต๊ะทำงานของเธอ
ตอนนี้สกุลเงินหลักคือธนบัตรสิบหยวน ธนบัตรปึกหนึ่งมีทั้งหมด 100 ใบ แต่ละปึกจึงมีมูลค่าแค่ 1,000 หยวนเท่านั้น
“คุณผู้ชาย เงินเยอะขนาดนี้ คุณจะนำกลับไปอย่างไรคะ ? ”
พนักงานสาวถามด้วยความกังวล
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้มและหยิบถุงพลาสติกหลายใบออกมาจากกระเป๋าของเขาแล้วพูดว่า “ช่วยใส่เงินลงในถุงเหล่านี้ให้ผมหน่อย”
ถุงพลาสติกถูกพับเก็บไว้ในกระเป๋าของเขาและขยายเป็นถุงเต็มเมื่อกางออก แต่ละใบสามารถใส่เงินได้สองถึงสามหมื่นหยวนอย่างง่ายดาย
“นี่คือถุงอะไรหรือคะ ? ใช้ใส่เงินสะดวกมากเลย ! ”
พนักงานสาวทำสีหน้าเหมือนเจอของล้ำค่า เธอจึงถามด้วยความสงสัย
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “นี่เรียกว่าถุงพลาสติกสะดวกซื้อ ทำมาจากพลาสติก”
“มีประโยชน์จริง ๆ ค่ะ ! ”
พนักงานสาวกล่าวชื่นชมขณะที่เธอนำเงินใส่ถุงสะดวกซื้อทีละปึก