ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 322 เย่กวงโต้วผู้น่าสงสาร
ตอนที่ 322 :เย่กวงโต้วผู้น่าสงสาร
เย่กวงโต้วตื่นแต่เช้า อาบน้ำอย่างรวดเร็ว ใช้หวีจัดแต่งทรงผมอย่างเรียบร้อยแล้ววิ่งออกไปนอกบ้าน
“เฮ้ ลูกยังไม่ได้กินข้าวเช้าเลย ทำไมลูกถึงรีบขนาดนี้ ? ”
แม่ของเขาตะโกนเสียงดังเมื่อเห็นลูกชายออกจากบ้าน
“แม่ครับ วันนี้ผมไม่ทานอาหารเช้า ผมมีเรื่องสำคัญต้องทำ ! ” เย่กวงโต้วตอบในขณะที่เขารีบออกไป
“มีอะไรสำคัญขนาดนั้น ? ”
“ขนาดไม่ยอมกินอาหารเช้าเนี่ยนะ ! ”
แม่ของเขาบ่นอย่างไม่พอใจ
ใช้เวลาไม่นานนัก เย่กวงโต้วก็มาถึงสถานีขนส่งอย่างรวดเร็ว แต่ในเวลานี้ ร้านโหยวผิ่นยังไม่เปิดทำการ
“มาเร็วไปหน่อยแล้ว ! ”
เย่กวงโต้วยิ้มขำตัวเอง แต่แล้วเขาก็คิดในแง่ดีว่าการมาเร็วจะทำให้เขาได้พบเธอโดยเร็วที่สุด !
เขารู้สึกมีความสุขมาก จึงยืนรอที่หน้าประตูร้าน
การรอใครสักคนมักจะรู้สึกเจ็บปวดเสมอ เวลาดูเหมือนจะผ่านไปอย่างช้า ๆ อย่างไม่น่าเชื่อ
“ทำไมคุณยังไม่มาที่นี่อีก ? ”
“เธอควรมาแจกใบปลิวในตอนเช้าไม่ใช่หรือ ? ”
เย่กวงโต้วไม่รู้ว่าเขารอมานานแค่ไหน แต่รู้สึกเหมือนเป็นเวลานาน จนเขาเริ่มวิตกกังวล
หลังจากนั้นประมาณ 10 นาที ในที่สุดพนักงานพาร์ทไทม์ก็มาแจกใบปลิว
พวกเขาเป็นชายหนุ่มสองคนที่ทำงานในวันแรกที่พวกเขาแจกใบปลิว ต่างคนต่างเคยทำงานร่วมกันมาแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงคุ้นเคยกันดี ชายหนุ่มร่างอวบเล็กน้อยคนหนึ่งถามว่า “นักข่าวเย่ ทำไมวันนี้ถึงอยู่ที่นี่ได้ล่ะ ? ”
เย่กวงโต้วยิ้มและพูดว่า “ฉันมาช่วยแจกใบปลิว ! ”
ชายหนุ่มถามด้วยความงุนงง “นักข่าวเย่ เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา เราได้แจกใบปลิวที่ชานเมืองและต้องเดินค่อนข้างไกล เป็นงานที่หนักมากเลยนะ ! ”
เย่กวงโต้วหัวเราะอย่างเต็มที่ “ฉันยินดี งานหนักน่ะไม่กลัวหรอก ! ”
ชายหนุ่มทั้งสองสบตากัน ทั้งคู่มองกันด้วยความสับสนและสงสัยว่าเหตุใดเย่กวงโต้วจึงมีความสุขกับการทำงานหนักขนาดนี้ ?
ขณะที่พวกเขากำลังคุยกัน พนักงานพาร์ทไทม์ก็ทยอยมาถึง เจียงเสี่ยวเหลยและคนอื่น ๆ ก็เดินเข้ามาจากถนนชิงโจว และเดินมาหาพวกเขาเช่นกัน
เย่กวงโต้วมองสำรวจฝูงชนทันที
เจียงเสี่ยวเหลย หลี่ลี่ หลี่เจีย หวังฉิน หวังเจี้ยน……ทุกคนที่ควรจะอยู่ที่นี่ก็อยู่กันหมดแล้ว ยกเว้นหญิงสาวที่เขารอคอยอย่างกระตือรือร้น
“ทำไมเธอไม่อยู่ที่นี่ล่ะ ? ”
เย่กวงโต้วอดไม่ได้ที่จะกังวลและร้อนใจ
“อืม เธอน่าจะอยู่ด้านหลัง เธอเป็นหัวหน้าทีม เธอจะต้องมาอย่างแน่นอน ! ”
เขาปลอบใจตัวเองอีกครั้งและมองไกลออกไป
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทำให้เขาผิดหวังก็คือ เขาไม่เห็นร่างของธอเลย
“นักข่าวเย่ คุณมีอะไรหรือเปล่า ? ”
เจียงเสี่ยวเหลยซึ่งเดินเข้ามาใกล้ทางเข้าร้านสังเกตเห็นเย่กวงโต้ว จึงถามด้วยความประหลาดใจ
เย่กวงโตวซึ่งกำลังหมกมุ่นอยู่จึงตอบว่า “หัวหน้าเจียงขอให้ฉันมาช่วยแจกใบปลิว”
“โอ้ ! ลำบากคุณแล้ว”
ทันทีที่เขาได้ยินว่าพี่ชายขอให้มาช่วย เจียงเสี่ยวเหลยก็ไม่ปฏิเสธ
หลังจากที่หลี่ลี่เปิดประตู ทุกคนก็เข้าไปในร้าน
เย่กวงโต้วเป็นคนสุดท้ายที่เข้าไป เขาเดินไปจนสุดทางและมองไปรอบ ๆ
“นักข่าวเย่ คุณกำลังหาอะไรอยู่หรือเปล่า ? ” เจียงเสี่ยวเหลยสังเกตเห็นว่าเย่กวงโต้วทำตัวแปลก ๆ จึงถามด้วยความสงสัย
เย่กวงโต้วกล่าวอย่างเขินอายว่า “เรากำลังจะมอบหมายงานไม่ใช่หรือ ฉันกำลังมองหา……เอ่อ มองหาหัวหน้าทีมน่ะ ทำไมเธอยังไม่มา ? ”
เดิมทีเขาอยากจะพูดว่า “พี่สาวของคุณ” แต่แล้วเขาก็รู้สึกว่ามันไม่เหมาะสมจึงแก้เป็น “หัวหน้าทีม”
เจียงเสี่ยวเหลยยิ้ม “หัวหน้าทีมอยู่ที่นี่แล้วไง ! ”
ฮะ ?
เย่กวงโต้วคิดว่าเขาได้ยินผิดไป !
หลังจากยืนยันว่าเขาได้ยินถูกต้อง เขาก็ปรับแว่นตาและมองดูฝูงชนมากกว่า 20 คนอย่างระมัดระวัง เขาไม่เห็นเจียงเสี่ยวชิง ดังนั้นเขาจึงอดไม่ได้ที่จะถามด้วยความตกใจว่า “อยู่……อยู่ที่ไหนล่ะ ? ”
เจียงเสี่ยวเหลยแสดงสีหน้าตื่นเต้นและตะโกนบอกทุกคน “ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ผมคือหัวหน้าทีม ! ”
คนอื่นดูเหมือนจะไม่สนใจมากนัก เนื่องจากพวกเขาแค่มาทำงานแจกใบปลิว และพวกเขาก็ไม่สนใจจริง ๆ ว่าใครเป็นหัวหน้าทีม
มีเพียงเย่กวงโต้วคนเดียวเท่านั้นที่รู้สึกเหมือนมีเสียงฟ้าร้องดังก้องอยู่ในหูของเขาอย่างไม่หยุดหย่อน
หลังจากจมอยู่กับความคิดอยู่พักหนึ่ง ในที่สุดเขาก็รวบรวมความกล้าที่จะถามว่า “หัวหน้าทีมไม่ใช่พี่สาวของคุณหรือ ? พี่สาวของคุณอยู่ที่ไหน ? ”
เจียงเสี่ยวเหลยตอบเสียงดังว่า “พี่สาวของผมไปเป็นนักศึกษาใหม่ที่มหาวิทยาลัยเจียงเฉิงแล้ว วันนี้เธอเดินทางไปที่เจียงเฉิง ดังนั้นพี่รองของผม ผมหมายถึงผู้ช่วยเจียงน่ะ เขาได้ขอให้ผมมารับหน้าที่ต่อจากพี่สาว ! ”
“ตอนนี้ใบปลิวเหลือไม่มากแล้ว เรา……”
เย่กวงโต้วไม่ได้ยินสิ่งที่เจียงเสี่ยวเหลยพูดเลย เขาได้ยินเพียงคำว่า “กำลังไปเจียงเฉิง…… กำลังไปเจียงเฉิง……” ดังก้องอยู่ในหูของเขา
……
ขณะที่เย่กวงโต้วต้องอดทนต่อแสงแดดที่แผดจ้าและแจกใบปลิวด้วยความหงุดหงิด ประมาณบ่ายสามโมงของวันนี้ เจียงเสี่ยวไป๋ก็มาถึงเจียงเฉิงแล้ว
แม้ว่าตอนนี้จะยังเป็นปี 1983 แต่เจียงเฉิงซึ่งเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในภาคกลางของจีนมีความเจริญรุ่งเรืองกว่าชิงโจวมาก
อาคารสูงเรียงรายตามถนน มียานพาหนะมากมาย และคนเดินถนนอยู่ทุกหนทุกแห่ง เป็นภาพแห่งความคึกคัก
เจียงเสี่ยวชิงตื่นเต้นมาก นี่คือสถานที่ที่เธอใฝ่ฝันเลยนะ
เมื่อมาถึงที่มหาวิทยาลัยเจียงเฉิง เจียงเสี่ยวไปก็พาเจียงเสี่ยวชิงไปลงทะเบียนเป็นนักศึกษาใหม่ และส่งกระเป๋าเดินทางทั้งสองใบไปที่หอพักของเธอ เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “ในช่วงสองวันนี้ มหา’ลัยยังไม่เปิด เธออยากจะเที่ยวเล่นกับพี่ข้างนอกไหม ? ”
เจียงเสี่ยวชิงกล่าวว่า “ไม่ล่ะ ฉันจะอยู่ในมหาวิทยาลัยและทำความคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมของมหาวิทยาลัยก่อน”
เมื่อเห็นว่าเธอมีแผนของตัวเอง เจียงเสี่ยวไป๋ก็ไม่ได้พูดอะไรมาก
“ขอให้เธอได้ใช้ชีวิตตามที่เธอต้องการ และกลายเป็นคนที่เธอปรารถนาจะเป็น ! ”
หลังจากอวยพรแล้ว เจียงเสี่ยวไป๋ก็จากไป
ทุกคนมีชีวิตของตัวเอง และแม้แต่สมาชิกในครอบครัวก็ไม่สามารถอยู่กับพวกเขาได้ตลอดเวลา
ตอนที่เจียงเสี่ยวไป๋ออกจากมหาวิทยาลัยเจียงเฉิง ก็เป็นเวลาหกโมงกว่าแล้ว
เมื่อพระอาทิตย์ตกดิน แสงไฟนีออนเริ่มส่องสว่างขึ้น ร้านคาราโอเกะ โรงน้ำชา ลานดนตรี ห้างสรรพสินค้าและแผงลอยริมถนนสามารถพบเห็นได้ทุกที่
ในตอนแรก เจียงเสี่ยวไป๋ได้วางแผนที่จะหาโรงแรมเพื่อพักค้างคืน
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ไปเยี่ยมชมโรงแรมหลายแห่ง เขาก็ไม่พอใจกับโรงแรมทั้งหมด
ในยุคนี้ เงื่อนไขของโรงแรมโดยทั่วไปส่วนใหญ่มีที่พักสไตล์หอพัก และบางแห่งมีเตียงสองชั้นด้วยซ้ำ
แม้ว่าจะมีห้องเดี่ยวและห้องคู่ แต่ไม่มีห้องน้ำในตัว
โรงแรมเหล่านี้รองรับลูกค้าได้หลากหลาย และเนื่องจากเจียงเสี่ยวไป๋กำลังขับรถและถือสมุดบัญชีธนาคารและมีเงินสดติดตัวมากถึง 1,000 หยวน เขาจึงไม่อยากเป็นจุดสนใจที่ไม่พึงประสงค์
แม้ว่าเขาจะไม่กลัว แต่มันก็ไม่จำเป็นเลย
เขาตัดสินใจไปที่เกสต์เฮาส์หงซาน
เหตุผลที่เขาไม่ไปที่นั่นในตอนแรกก็ เพราะว่าเขากังวลว่าพวกเขาจะไม่รองรับเขา
ก่อนต้นทศวรรษ 1980 การเข้าพักในเกสต์เฮาส์จำเป็นต้องมีจดหมายแนะนำอย่างเป็นทางการ
หากไม่มีจดหมายดังกล่าว คุณจะไม่สามารถอยู่ที่นั่นได้ และคุณอาจถูกมองว่าเป็น “คนเร่ร่อน” และถูกควบคุมตัวและส่งกลับ
นอกจากนี้ เกสต์เฮาส์ยังมีกฎเกณฑ์มากมายในสมัยนั้น รวมถึงตารางมื้ออาหาร น้ำประปาและการล็อคประตูที่เข้มงวด บางคนถึงกับกำหนดให้แขกต้องแสดงบัตรประจำตัวเมื่อเข้าและออกจากที่พัก
แนวทางดำเนินการเช่นนี้มีจนถึงปี 1984 เมื่อประเทศจีนเริ่มออกบัตรประจำตัวประชาชนรุ่นแรก และจดหมายแนะนำตัวก็ค่อย ๆ หายไปจากประวัติศาสตร์อย่างสิ้นเชิง
แต่หลังจากติดต่อกับโรงแรมหลายแห่ง เจียงเสี่ยวไป๋ก็ได้เรียนรู้ว่าปัจจุบันในเจียงเฉิง คุณสามารถพักที่ใดก็ได้โดยไม่ต้องมีจดหมายแนะนำตัว ไม่ว่าจะเป็นโรงแรมหรือเกสต์เฮาส์
ตราบใดที่คุณมีเงิน คุณก็สามารถอยู่ได้ทุกที่ที่คุณต้องการ
เจียงเสี่ยวไป๋อดไม่ได้ที่จะประหลาดใจกับความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วและการเปิดกว้างของเจียงเฉิง
เกสต์เฮาส์หงซานอยู่ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยเจียงเฉิง ติดกับจัตุรัสหงซาน และใกล้กับหน่วยงานราชการประจำท้องถิ่น เป็นเกสต์เฮาส์ภายใต้รัฐบาลท้องถิ่น จึงมีสิ่งอำนวยความสะดวกที่แทบจะเทียบได้กับโรงแรมระดับสองดาวในอนาคต ห้องพักมีเครื่องปรับอากาศ โทรทัศน์ ห้องน้ำส่วนตัว และยังมีแม้กระทั่งน้ำร้อนคอยบริการตลอด 24 ชั่วโมง
แน่นอนว่าคุณภาพมาพร้อมกับราคาที่แพงแสนแพง
การเข้าพักในโรงแรมเล็ก ๆ ริมถนนหนึ่งคืนมีราคาเพียง 5 เหมาสำหรับเตียงแบบหอพัก ราคา 1 หยวนสำหรับห้องที่พักหลายคน และราคา 2 หยวนสำหรับห้องเดี่ยว
ในทางตรงกันข้าม ที่เกสต์เฮาส์หงซานนั้น ราคาห้องพักมาตรฐานอยู่ที่ 12 หยวน และห้องดีลักซ์อยู่ที่ 15 หยวน มีแม้กระทั่งห้องสวีทที่มีราคาหลายสิบหยวนเช่นกัน
ซึ่งเจียงเสี่ยวไป๋เลือกพักห้องดีลักซ์
หลังจากเข้าไปในห้อง เขาก็อาบน้ำให้สดชื่นและคาดว่าพ่อตาของเขาน่าจะกลับบ้านได้แล้ว เจียงเสี่ยวไป๋ลงไปที่แผนกต้อนรับของเกสต์เฮาส์ชั้นล่าง เพื่อขอยืมโทรศัพท์โทรหาพ่อตาของเขา