ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 291 ชีวิตตอนนี้มันดีจริง ๆ
- Home
- All Mangas
- ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล)
- ตอนที่ 291 ชีวิตตอนนี้มันดีจริง ๆ
ตอนที่ 291 :ชีวิตตอนนี้มันดีจริง ๆ
หลังจากอดหลับอดนอนมาทั้งคืน กว่าเจียงเสี่ยวไป๋จะตื่นก็เป็นเวลาบ่ายแก่แล้ว
หลังจากกินข้าวเสร็จแล้ว เจียงเสี่ยวไป๋ไปเดินย่อยเป็นเพื่อนหลินเจียอิน
บนถนนซีเมนต์อันกว้างขวาง ทั้งสองจับมือกันเดินช้า ๆ ราวกับคู่รักข้าวใหม่ปลามัน
“ชีวิตตอนนี้มันดีจริง ๆ ! ”
หลินเจียอินพูดอย่างมีความสุขด้วยใบหน้าที่อิ่มเอมใจ
เจียงเสี่ยวไป๋ก็ถอนหายใจ “ใช่ เยี่ยมมาก ! ”
จู่ ๆ หลินเจียอินก็หยุดเดิน เธอหันมาถามเจียงเสี่ยวไป๋ว่า “คุณว่าชีวิตของเราจะเป็นแบบนี้ไปตลอดไหม ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋คลี่ยิ้ม “ไม่หรอก ! ”
ห๊ะ ?
หลินเจียอินตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ดวงตาคู่งามของเธอหม่นหมองลงทันที ความปรารถนาอันแรงกล้าในใจเลือนหายวับไป
เธอชอบชีวิตในตอนนี้ของเธอมาก และหวังว่าชีวิตจะสวยงามเช่นนี้ตลอดไป
และเธอก็หวังว่าคนรักจะเป็นเหมือนเธอเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม คำตอบของเจียงเสี่ยวไป๋นั้นเหมือนกับมีน้ำเย็นที่ราดลงบนหัวของเธอ ทำให้เธอดูผิดหวัง
“ทำไมถึงไม่ล่ะ ? ”
หลินเจียอินยังคงถามอย่างไม่ยอม
เจียงเสี่ยวไป๋บีบปลายจมูกของหลินเจียอินเบา ๆ แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม: “เพราะ……ชีวิตของเราจะดีขึ้นเรื่อย ๆ ยังไงล่ะ ! ”
หลินเจียอินตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถึงบางอ้อ
ที่แท้เขาก็แกล้งฉันนี่เอง !
เธอมองค้อนเขา แล้วสะบัดหน้าหนี “ทำไมคุณถึงนิสัยไม่ดีขนาดนี้ ! ”
พูดแล้ว หญิงสาวก็ยกหมัดนุ่มของตัวเองชกอกเขาไปเบา ๆ
เจียงเสี่ยวไป๋หัวเราะ
ทั้งสองแกล้งกันสักพักแล้วเดินต่อไป
ฟ้าหลังฝนช่างสวยงามเหลือเกิน มันช่างสดชื่นราวกับฝนได้ชำระล้างท้องฟ้าให้สดใส บนพื้นยังมีความชื้นอยู่บ้าง ต้นไม้ข้างทางเป็นสีเขียวสดหลังโดนฝน สายลมที่พัดโชยมาเบา ๆ ให้ความรู้สึกเย็นสบาย
เจียงเสี่ยวไป๋สูดอากาศบริสุทธิ์ ด้วยความรู้สึกสดชื่น
อย่างที่เขาบอก ชีวิตของพวกเขาจะดีขึ้นเรื่อย ๆ เพราะเขาต้องการนำชีวิตที่ดีที่สุดมาสู่ครอบครัวของเขา
เขาจำได้ว่าหลินเจียอินฝันอยากไปทะเลมาโดยตลอด เธออยากไปเที่ยวชายหาด
น่าเสียดายที่ตอนนี้เธอตั้งท้อง ไม่เช่นนั้นปีนี้เธอคงจะเดินทางโดยรถยนต์ได้
แม้จะเสียดาย แต่ก็ไม่เป็นไร เพราะวันเวลาข้างหน้ายังอีกยาวไกล รอให้เจ้าตัวน้อยคลอดออกมาแล้ว พวกเขาค่อยไปเที่ยวด้วยกันสี่คนพ่อแม่ลูกก็ไม่เลวเหมือนกัน
ขณะที่ฉันคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ รอยยิ้มก็ปรากฏบนริมฝีปากของฉัน
“คุณยิ้มอะไร ? ”
หลินเจียอินถามอย่างสงสัยหลังจากสังเกตเห็นเขายิ้ม
“ไม่มีอะไร ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋ปฏิเสธด้วยรอยยิ้ม
หลินเจียอินไม่เชื่อ: เห็นกันอยู่ว่าเขายิ้ม !
ทั้งสองได้หยอกล้อกันตามประสาสามีภรรยาอีกครั้ง จนกระทั่งพระอาทิตย์ตกดินและท้องฟ้าเริ่มมืดลง พวกเขาถึงกลับบ้าน
คืนแห่งความเงียบงันผ่านพ้นไป
วันรุ่งขึ้น ทั้งสามคนพ่อแม่ลูกเข้าเมืองไปทำงานตามปกติ เจี่ยงชุ่ยหยูและเจียงเสี่ยวเฟิ่งก็ตามมาด้วย
ความเจ็บปวดจากการสูญเสียหลานชายยังคงอยู่ แต่ชีวิตยังต้องดำเนินต่อไป
“พี่เสี่ยวไป๋ ได้ยินพ่อบอกว่าพี่จะช่วยหางานให้พี่สะใภ้ พี่จะให้เธอทำงานอะไรหรือ ? ”
เจียงเสี่ยวเฟิ่งถามขณะนั่งในรถ
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “รอให้ผ่านช่วงเจ็ดวันแรกไปก่อนแล้วค่อยว่ากัน ตอนนี้ให้พวกเขาฟื้นฟูสภาพจิตใจก่อน”
“อืม ! ขอบคุณนะพี่เสี่ยวไป๋ ! ”
เจียงเสี่ยวเฟิ่งพยักหน้า เธอคิดว่าตนเองรีบร้อนเกินไปถึงได้ถามแบบนั้น เพราะพี่เสี่ยวไป๋ได้คิดเผื่อและเตรียมการไว้แต่แรกแล้ว
เจี่ยงชุ่ยหยูขอบคุณเขาเช่นกัน “เสี่ยวไป๋ ทำให้หลานต้องลำบากแล้ว ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้มรับ “อาสะใภ้ พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกัน ไม่ต้องเกรงใจผมหรอก”
เจี่ยงชุ่ยหยูพยักหน้าอย่างมีความสุข
ตั้งแต่เจียงเสี่ยวไป๋เปลี่ยนแปลงตัวเองให้ดีขึ้น เขาไม่เพียงแต่ทำให้ครอบครัวเล็ก ๆ ของเขามีชีวิตที่มีความสุขเท่านั้น แต่เขายังนำพาความสุขมาสู่ชีวิตของญาติพี่น้องเขาอีกด้วย แม้แต่ชาวบ้านในเจียงวานก็ยังมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นเพราะเขา ชาวบ้านไม่เพียงแต่ได้กินอิ่มท้องเท่านั้น แต่ยังมีหลายครอบครัวมีเงินซื้อโทรทัศน์ดูแล้วด้วย
“จริงสิ ยังมีตั๋วซื้อโทรทัศน์อยู่ไหม ? ”
เจี่ยงชุ่ยหยูดูเหมือนเพิ่งนึกเรื่องนี้ขึ้นได้จึงเอ่ยถาม
เจียงเสี่ยวไป๋ชะงักไปเล็กน้อย ถ้าอาสะใภ้ไม่พูดถึงเรื่องนี้ เขาก็คงเกือบลืมไปแล้วว่าเขาได้ขอตั๋วซื้อโทรทัศน์จากรองนายกเทศมนตรีจางมา 100 ใบ เขาเพิ่งแจกชาวบ้านไป 40 ใบเท่านั้น ตอนนี้ยังเหลืออยู่ในมืออีกราว ๆ 60 ใบ
“อาสะใภ้อยากได้ตั๋วซื้อโทรทัศน์ ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋ถามด้วยด้วยสงสัย เพราะเขาจำได้ว่าครั้งที่แล้วเขาได้ให้ตั๋วซื้อโทรทัศน์กับอาสามไปแล้ว และอาสามก็น่าจะไปซื้อโทรทัศน์มาแล้วด้วย
เจี่ยงชุ่ยหยูตอบกลับ “อาอยากซื้อโทรทัศน์ให้พี่ใหญ่ของอาสักเครื่อง ให้พวกเขาเอาไว้ดูละครตอนเย็น จะได้ไม่คิดอะไรฟุงซ่านตอนไม่มีอะไรทำ”
แบบนี้นี่เอง !
เจียงเสี่ยวไป๋พยักหน้าแล้วพูดว่า “เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมเอามาให้”
ตอนนี้ตั๋วซื้อโทรทัศน์อยู่ที่บ้าน คงต้องรอพรุ่งนี้ถึงจะไปเอามาได้
“ขอบคุณนะ อาสร้างปัญหาให้เสี่ยวไป๋อีกแล้ว ! ” เจี่ยงชุ่ยหยูขอโทษ
เจียงเสี่ยวไป๋ไม่ได้พูดอะไรอีก เพราะหากพูดต่อไป มีหวังได้เกรงใจกันไปเกรงใจกันมาแน่นอน
เขาคิดว่าญาติพี่น้องกันไม่ควรต้องเกรงใจกันไปเกรงใจกันมาแบบนี้
เข้าเมืองมาแล้ว เขาขับรถไปส่งเจี่ยงชุ่ยหยูและเจียงเสี่ยวเฟิ่งที่ร้านของแต่ละคนก่อน แล้วพวกเขาสามคนพ่อแม่ลูกถึงไปที่ห้องทำงานในโรงงานผลิตเครื่องปรุงรส
“พี่ชานชาน ในที่สุดพี่ก็มาแล้ว ! ”
หวังกังมีความสุขมากที่ได้เห็นเจียงชาน เด็กน้อยจึงกล่าวทักทายเธออย่างดีใจ
เมื่อวานเจียงชานไม่ได้มาที่นี่ เขาเล่นอยู่ที่ห้องทำงานคนเดียวแล้วเหงามาก
เจียงชานไม่ได้ตื่นเต้นมากนัก เพราะเธอมีเจียงถิงอยู่เป็นเพื่อนเล่นที่บ้าน พอเข้าเมืองมาก็มีหวังกังเป็นเพื่อนเล่น เธอจึงไม่รู้สึกขาดเพื่อน
“มาเร็ว พวกเรามาเล่นหมากรุกกัน” หวังกังจับมือของเจียงชาน เด็กน้อยแทบรอไม่ไหวที่จะเดินไปที่โต๊ะหมากรุก
เมื่อวานไม่มีใครเล่นหมากรุกกับเขา ตอนนี้เขาคันมือมาก
“ได้สิ มาดูกันว่าฉันจะรุกฆาตนายกี่ครั้ง ! ” เจียงชานพูดอย่างไม่ใส่ใจ
“ใครแพ้ใครชนะ ต้องลองเล่นก่อนถึงจะรู้” หวังกังไม่ยอมเช่นกัน
เจียงเสี่ยวไป๋มองดูเด็กน้อยสองคนคุยข่มกันก็หัวเราะ แล้วเขาก็เดินออกจากห้องทำงานไปที่โรงอาหารของพนักงาน
เนื่องจากตอนนี้โรงงานผลิตเครื่องปรุงรสยังเป็นแค่ไลน์ผลิตชั่วคราว โรงอาหารของพนักงานจึงสร้างไว้อย่างเรียบง่าย มีเพียงห้องที่มีพื้นที่ 40 กว่าตารางเมตร ฝั่งครึ่งหนึ่งเป็นห้องครัวและอีกครึ่งหนึ่งมีโต๊ะกินอาหาร 2 ตัวและม้านั่ง
ตั้งแต่มีโรงอาหาร เจียงเสี่ยวไป๋เคยมาที่นี่ 2 ครั้ง แต่ไม่เคยกินอาหารที่นี่เลย
“เถ้าแก่เจียง คุณมาด้วยหรือ ช่างเป็นแขกที่หาตัวยากจริง ๆ ! ”
พ่อครัวหลิวเห็นเจียงเสี่ยวไป๋เลยทักทายเขาด้วยรอยยิ้ม
เจียงเสี่ยวไป๋ทำทีเป็นพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “ที่นี่มันถิ่นของผมนะ ผมไม่ใช่แขกที่หาตัวยากเสียหน่อย ! ”
พ่อครัวหลิวยิ้มรับ
เจียงเสี่ยวไป๋ยื่นบุหรี่ให้เขาหนึ่งมวนแล้วพูดว่า “คุณไปซื้อหัวปลามา แล้วผมจะสอนวิธีทำข้าวต้มหัวปลาเสฉวนให้”
คราวก่อนเขาสัญญากับเฝิงเยี่ยนหงว่าจะเลี้ยงเมนูข้าวต้มหัวปลาเสฉวน วันนี้เขามีเวลาว่างพอดี
พ่อครัวหลิวได้ยินเช่นนี้ก็ดีใจมาก เขาได้ยินมาว่าฝีมือการทำอาหารของเถ้าแก่เจียงนั้นยอดเยี่ยมมาก ได้เรียนรู้จากคนมีฝีมือแบบนี้ เป็นใครก็ต้องดีใจเป็นธรรมดา
อย่างไรก็ตาม เขามีสีหน้าขมขื่นขณะพูดว่า “เถ้าแก่เจียง คุณล้อเล่นแล้ว ใครเขาจะขายแค่หัวปลาอย่างเดียว ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง มันก็จริงอย่างที่พ่อครัวหลิวบอก เพราะตอนนี้เพิ่งปี 1983 เท่านั้น ไม่มีร้านที่ขายเฉพาะหัวปลาเหมือนในยุคหลัง
สมัยนี้ ถ้าจะซื้อปลาก็ต้องซื้อทั้งตัว
“ถ้าอย่างนั้นก็ซื้อปลามาสักหลาย ๆ ตัว แค่นี้ก็ได้หัวปลามาแล้ว”
พ่อครัวหลิวถามต่อ “ถ้ากินแค่หัว แล้วตัวล่ะครับ ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋มองค้อนเขา “งั้นคุณก็ไปซื้อผักดองมาเพิ่ม แล้วผัดผักดองใส่ปลาให้พนักงานกินสิ”
“อ้อ ครับ ! ”
พ่อครัวหลิวรีบตอบตกลงแล้วออกไปซื้อปลาอย่างรวดเร็ว
เจียงเสี่ยวไป๋เองก็เดินออกจากโรงงาน แล้วไปยังโรงงานผลิตและแปรรูปผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลืองที่อยู่ข้างกัน
เมื่อมองไปรอบ ๆ อาคารโรงงานตามมาตรฐานสมัยใหม่ได้ผุดขึ้นทีละหลัง ผนังสีขาวและกระเบื้องสีฟ้าที่ถูกจัดเรียงไว้ดูเป็นระเบียบและสะอาดตา ถนนซีเมนต์ในตัวโรงงานที่เชื่อมสถานที่ต่าง ๆ เสร็จสิ้นแล้วเช่นกัน เหลือก็แต่ปลูกต้นไม้สีเขียวริมถนน
นับได้ว่าตอนนี้อาคารหลักของโรงงานในเฟสแรกสร้างเสร็จแล้ว รออีกแค่ 2 วันให้อุปกรณ์และเครื่องจักรมาส่งก็สามารถติดตั้งในโรงงานได้แล้ว
โรงงานผลิตและแปรรูปผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลืองจะสามารถเริ่มผลิตได้ตามกำหนดในเดือนกันยายน