ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 270 บาดหมางกัน
ตอนที่ 270 :บาดหมางกัน
“พี่รอง พี่สะใภ้ กลับมาแล้วหรือ ! ”
“พี่ใหญ่กับพี่สะใภ้กำลังรอพี่อยู่เลย ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋กับหลินเจียอินเพิ่งเข้าไปในห้องครัวเก่าหลังร้าน เพิ่งจะนั่งลงได้ไม่นาน ก็ได้ยินเสียงของเจียงเสี่ยวชิงดังขึ้นที่ด้านหน้าร้าน
“ในที่สุดก็กลับมาเสียที ! ”
หลินเจียอินใจเต้นแรง เธอลุกขึ้นยืนแล้วจะวิ่งออกไปด้านนอก
เจียงเสี่ยวไป๋รีบหยุดเธอ “เมียจ๋า คุณกำลังท้อง อย่าวิ่งเลย”
ในตอนนี้เอง ได้มีเสียงของเจียงเสี่ยวเฟิงดังขึ้นอีก “พวกเขายังไม่กลับบ้านหรือ ? ”
“พวกเขากำลังรอชานชาน มาสิ ให้ฉันอุ้มเอง ทำไมหลานถึงหลับล่ะ ? ”
“เสี่ยวเหลย นายช่วยไปรับถิงถิงมาจากพี่สะใภ้ที”
ประโยคหลังเป็นคำพูดของเจียงเสี่ยวชิง
หลินเจียอินได้ยินก็รู้สึกโล่งใจ เพราะชานชานกับถิงถิงไม่เป็นไร พวกเธอกลับมาแล้ว
“คุณดูสิ ผมบอกแล้วว่าไม่เป็นไร”
“คุณเดินช้า ๆ หน่อย ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋พูดปลอบใจและมองย้อนกลับไป อันที่จริงเขากังวลไม่น้อยไปกว่าหลินเจียอิน เขาแค่ระงับมันไว้เพื่อไม่ให้ภรรยากังวลมากขึ้น
เมื่อทั้งสองเข้าไปในร้านก็เห็นเจียงเสี่ยวชิงและเจียงเสี่ยวเหลยกำลังอุ้มเจียงชานกับเจียงถิง เด็กน้อยทั้งสองคนหลับไปแล้ว มองก็รู้ว่าพวกเธอถูกแบกขึ้นหลังกลับมา มีแค่หวังกังคนเดียวที่นั่งหอบอยู่บนเก้าอี้ด้วยใบหน้าแดงก่ำ
“พวกนายไปเที่ยวที่ไหนกันมา ทำไมถึงเพิ่งกลับเอาป่านนี้ ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋เห็นเจียงเสี่ยวเฟิงจึงถามอย่างไม่สบอารมณ์
เจียงเสี่ยวเฟิงปาดเหงื่อจากหน้าผากแล้วพูดว่า “พวกเรากลับไปที่หลัวเจียหานมา”
บ้านแม่ของหลัวเจาตี้อยู่ที่หลัวเจียหาน เป็นส่วนหนึ่งของอำเภอชิงซานเช่นเดียวกัน ห่างออกไปจากเมืองชิงโจวประมาณ 14-15 ลี้
เจียงเสี่ยวไป๋ไม่คาดคิดเลยว่าเจียงเสี่ยวเฟิงจะพาเด็ก ๆ กลับไปที่บ้านของหลัวเจาตี้
ถ้ารู้แบบนี้ตั้งแต่แรก ให้เขาขับรถไปส่งยังดีกว่า
เจียงเสี่ยวเฟิงพูดด้วยรอยยิ้มเจื่อนว่า “ฉันไม่รู้ว่าพี่กับพี่สะใภ้ยังรอพวกเราอยู่ ตอนแรกนึกว่าพวกพี่กลับไปแล้ว”
เจียงเสี่ยวไป๋จึงพูดขึ้นว่า “ก็ตอนนายไปไม่บอกอะไรสักคำ ฉันรอชานชาน”
เจียงเสี่ยวเฟิงชะงักไปเล็กน้อย เขาพูดอย่างไม่พอใจว่า “ชานชานไปกับฉัน พี่ยังไม่วางใจอีกหรือ ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋รีบพูดขึ้นว่า “ไม่ใช่ไม่วางใจ เพียงแต่นายไม่ได้บอกก่อน ฉันก็แค่รอลูกฉันเอง”
เจียงเสี่ยวเฟิงพูดขึ้นว่า “พี่ไม่วางใจต่างหาก ! ”
คราวนี้เจียงเสี่ยวไป๋ไม่ได้ตอบอะไร
เพราะตอนที่เขาได้ยินว่ามีเด็กน้อยจมน้ำตาย ตอนนั้นเขารู้สึกเป็นกังวลจริง ๆ
แต่เขาไม่อยากทะเลาะกับเจียงเสี่ยวเฟิงเพราะเรื่องนี้ เขาจึงพูดว่า “เอาล่ะ พวกนายเดินกลับมาไกลขนาดนั้นคงลำบากไม่น้อย พักผ่อนเร็ว ๆ เข้าล่ะ เดี๋ยวฉันจะพาชานชานกลับบ้าน”
จากนั้น เขาก็หันไปพูดกับหลินเจียอิน “คุณโทรหาหวังผิง บอกเขาว่าเสี่ยวกังกลับมาแล้ว”
“อืม ! ”
หลินเจียอินรีบไปโทรหาหวังผิง เพราะเธอรู้ดีว่าเฝิงเยี่ยนหงก็กำลังรออย่างใจจดใจจ่อเช่นกัน
เจียงเสี่ยวเฟิงได้ยินว่าหวังผิงกำลังรออยู่เช่นกัน เขาก็ยิ่งรู้สึกอึดอัดใจ
คนหนึ่งเป็นพี่ชายคนโตของตนเอง อีกคนเป็นลูกพี่ลูกน้องที่สนิทกัน เขาพาลูก ๆ ของทั้งสองออกไปเที่ยวเล่น แต่พวกเขาทุกคนก็ยังคงรอรับลูกของตนเอง กลัวเขาทำลูก ๆ หายหรือไง ?
“เอาล่ะ ฉันพาลูกของพวกพี่กลับมาแล้ว”
“คราวนี้ก็คงวางใจแล้วสินะ ! ”
เจียงเสี่ยวเฟิงพูดเสียงดังด้วยความโมโห
เจียงเสี่ยวไป๋พูดขึ้นว่า “เราไม่ได้ว่าอะไรนายเสียหน่อย ทำไมนายต้องใส่อารมณ์ด้วย ? ”
เจียงเสี่ยวเฟิงพูดขึ้นว่า “ถึงแม้ว่าพี่จะไม่ได้พูด แต่พี่ก็ไม่วางใจอยู่ดี หรือคิดว่าฉันจะทำหลานสาวหลานชายของตนเองหาย ? ”
หลัวเจาตี้เห็นว่าทั้งสองเริ่มมีปากเสียงกัน เธอจึงรีบเข้ามาอธิบายว่า “ตอนที่พวกเรากลับไป เดิมทีพวกเราจะกินข้าวกลางวันเสร็จแล้วก็กลับ แต่แม่บอกว่าวันมะรืนนี้ก็จะเป็นวันสารทจีนแล้ว จึงขอให้พวกเราอยู่กินข้าวเย็นด้วย”
เจียงเสี่ยวไป๋เพิ่งนึกได้ว่าวันนี้ก็วันที่ 21 เดือนสิงหาคมแล้ว ถ้านับตามปฏิทินจันทรคติก็คือวันที่ 13 เดือน 7 และวันมะรืนนี้ก็คือวันที่ 15 เดือน 7 ตามปฏิทินจันทรคติ
วันที่ 15 เดือน 7 ตามปฏิทินจันทรคตินี้เป็นวันที่ผู้คนมักจะกราบไหว้บูชาบรรพบุรุษ พระพุทธศาสนานิกายมหายานเรียกว่า ‘เทศกาลอุลลัมพน’ ส่วนศาสนาเต๋าเรียกว่า “เทศกาลสารทจีน” และคนท้องถิ่นเรียกว่าเทศกาลพระจันทร์ครึ่งเสี้ยว
มีแม้กระทั่งคำกล่าวพื้นบ้านที่ว่า “ตรุษจีนงานเลี้ยง สารทจีนงานใหญ่” นั่นหมายความว่าวันนี้มีความสำคัญยิ่งกว่าวันตรุษจีนเสียอีก
ดังนั้น เมื่อเจียงเสี่ยวเฟิงพาหลัวเจาตี้กลับไปเยี่ยมครอบครัวของเธอ การที่พ่อตาแม่ยายให้พวกเขาอยู่กินข้าวเย็นต่อถือว่าเป็นเรื่องที่ปกติมาก
เพียงแต่พอพวกเขากินข้าวเย็นเสร็จแล้ว แล้วต้องเดินทางจากหลัวเจียหานกลับมายังเมืองชิงโจวต่อ มันจึงทำให้พวกเขาใช้เวลานานและกลับมาช้า
เจียงเสี่ยวไป๋เห็นว่าเจียงชานและเจียงถิงต่างหลับไปแล้ว คาดว่าเจียงเสี่ยวเฟิงและหลัวเจาตี้คงแบกพวกเธอขึ้นหลังกลับมา และแม้ว่าหวังกังจะยังเด็ก แต่เขาก็เป็นเด็กผู้ชาย ให้เขาเดินกลับมาด้วยคงไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
เมื่อรู้ว่าก่อนหน้านี้ตัวเองเข้าใจเจียงเสี่ยวเฟิงผิดไปแล้ว เจียงเสี่ยวไป๋จึงพูดอย่างรู้สึกผิด “เสี่ยวเฟิง ฉันควรจะเชื่อมั่นนายจริง ๆ นั่นแหละ”
เจียงเสี่ยวเฟิงหันหน้าหนี ไม่พูดไม่จา เขารับเจียงถิงมาจากเจียงเสี่ยวเหลยแล้วอุ้มลูกออกไป
หลัวเจาตี้เห็นแบบนั้นก็รีบพูดขึ้นว่า “พี่ใหญ่ เขาแค่อารมณ์ไม่ดี ขี้น้อยใจ อย่าไปใส่ใจ”
เจียงเสี่ยวไป๋โบกมือปัด “ไม่เป็นไร ไม่ใช่ความผิดของเขา เธอเองก็ควรไปพักผ่อนได้แล้ว”
หลัวเจาตี้พูด “อีกเดี๋ยวฉันจะไปคุยกับเขาเอง ! ”
พูดจบ เธอก็รีบเดินออกไป
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้มเจื่อน เขาไม่คิดเลยว่าเรื่องเล็กน้อยแค่นี้จะทำให้เขามีปัญหากับเจียงเสี่ยวเฟิง
หลินเจียอินกลับมาจากโทรศัพท์เสร็จก็เห็นว่าเจียงเสี่ยวเฟิงและหลัวเจาตี้ต่างกลับไปหมดแล้ว เธอจึงถามว่า “ทำไมพวกเสี่ยวเฟิงกลับไปเร็วนักล่ะ ? ”
เจียงเสี่ยวเหลยพูดขึ้นว่า “พี่รองเหมือนจะโกรธนะ”
จากนั้น เขาก็ส่ายหัว “ไม่รู้ว่าอะไรทำให้เขาโกรธ เดิมทีเขาก็ควรจะ……”
เจียงเสี่ยวไป๋ไม่อยากร่ำไรถึงหัวข้อนี้ เขาจึงขัดจังหวะเจียงเสี่ยวเหลย “เอาล่ะ พวกนายไปพักผ่อนได้แล้ว พรุ่งนี้ยังต้องแจกใบปลิวนะ”
หลังจากพูดจบ เขาก็ให้เจียงเสี่ยวชิงพาเจียงเสี่ยวเหลย เจียงเสี่ยวหยู หลี่ลี่และคนอื่นกลับไปที่บ้านพักพนักงาน
พนักงานพาร์ทไทม์คนอื่นกินนอาหารเสร็จแล้วก็แยกย้ายกันไป
ไม่นานนัก หวังผิงและเฝิงเยี่ยนหงก็รีบมาที่ร้าน
แต่เมื่อไม่เห็นเจียงเสี่ยวเฟิงและหลัวเจาตี้ หวังผิงจึงถามว่า “พวกเสี่ยวเฟิงล่ะ ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋ไม่อยากให้หวังผิงรู้เรื่องก่อนหน้านี้ เขาจึงบอกแค่ว่าพวกเจียงเสี่ยวเฟิงกลับไปพักผ่อนที่บ้านพักแล้ว
หวังผิงเป็นคนซื่อ ไม่คิดอะไรมาก เขาจึงไม่ได้ถามเซ้าซี้ แต่พาหวังกังกลับบ้านแทน
รอจนกระทั่งทุกคนกลับไปหมดแล้ว หลินเจียอินถึงได้ถามขึ้นว่า “ทำไมเสี่ยวเฟิงถึงโกรธล่ะ ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋ตอบกลับ “บางทีอาจเป็นเพราะคิดว่าพวกเราไม่เชื่อมั่นในตัวเขา หรือบางทีอาจเป็นเพราะเขานึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้”
เขาไม่อยากพูดมากไปกว่านี้ จึงอุ้มเจียงชานเดินออกไปข้างนอกพลางพูดว่า: “พวกเรากลับเร็วหน่อยเถอะ วันนี้เรากลับช้ามากแล้ว”
หลินเจียอินอยากถามต่อว่าเจียงเสี่ยวเฟิงนึกถึงเรื่องอะไรขึ้นมา แต่เมื่อเธอเห็นว่าเจียงเสี่ยวไป๋ไม่อยากพูด เธอจึงไม่ถามเซ้าซี้แล้วรีบเดินตามไป
ทางด้านนั้น เจียงเสี่ยวเฟิงกลับมาที่บ้านพักพนักงานด้วยความหงุดหงิด
หลัวเจาตี้รอให้เขาอุ้มเจียงถิงไปวางไว้บนเตียงแล้ว จึงพูดว่า “ทำไมคุณถึงโมโหขนาดนั้นล่ะ เรื่องแค่นี้เอง มันคุ้มแล้วหรือ ? ”
เจียงเสี่ยวเฟิงตอบกลับ “ใช่ ผมกลับบ้านดึก แต่ผมไม่ได้ตั้งใจสักหน่อย”
“เรากลับมาช้าขนาดนี้ พวกเขาจะเป็นห่วงลูก ๆ ของตนเองก็เป็นเรื่องปกติ คุณไม่เห็นต้องไปโมโหพวกเขาเลย” หลัวเจาตี้ยังคงไม่เข้าใจ
เจียงเสี่ยวเฟิงพูดขึ้นว่า “แต่พวกเขาไม่วางใจในตัวผม กลัวว่าผมจะทำลูกของพวกเขาหาย”
หลัวเจาตี้พูดอย่างประหลาดใจ “ทำไมคุณถึงคิดแปลก ๆ แบบนั้น พี่ใหญ่ พี่สะใภ้ดีกับเรามากนะ”
เจียงเสี่ยวเฟิงพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “ทำดีกับเราก็เรื่องหนึ่ง เชื่อในตัวผมหรือไม่ก็อีกเรื่องหนึ่ง”
หลัวเจาตี้หมดคำจะพูด เธอเองก็เริ่มไม่สบอารมณ์กับเขาแล้ว “ดูคุณคิดเข้าสิ ! ”
เจียงเสี่ยวเฟิงทำเสียงฟึดฟัด “คุณจะไปเข้าใจอะไร ? ”
“เมื่อ 10 กว่าปีก่อน เคยเกิดโศกนาฏกรรมขึ้นในเจียงวาน”
“มีลูกพี่ลูกน้องที่เป็นญาติห่าง ๆ ของผมชื่อเจียงเสี่ยวกุ้ย เวลาที่เขาออกไปทำนามักจะฝากเจียงฮ่าว ลูกชายไว้ 12 ปีไว้กับเจียงไห่จางพ่อของเขา ปรากฏว่าเจียงฮ่าวที่เป็นเด็กซุกซนแอบหนีไปจับปลาที่แม่น้ำชิงเจียงเพียงลำพัง สุดท้ายเขาก็จมน้ำตาย”
“เจียงเสี่ยวกุ้ยและภรรยาของเขาเถียนเหวินหงต่างโทษว่าเป็นเพราะเจียงไห่จางไม่ดูแลหลานให้ดี พวกเขาด่าทอเจียงไห่จาง และถึงขั้นลงไม้ลงมือกับชายชราด้วย”
เจียงไห่จางเสียใจที่สูญเสียหลานชายไปไม่พอ ยังต้องมาเสียใจที่ถูกลูกชายและลูกสะใภ้ด่าทอ เขารับไม่ไหวจึงกินยาฆ่าหญ้าตายในคืนวันเดียวกัน”
เมื่อสิบกว่าปีก่อน หลัวเจาตี้ยังไม่แต่งงานกับเขา เธอจึงไม่รู้เรื่องนี้
เมื่อได้ยินแบบนี้ เธอก็เข้าใจทันทีว่าทำไมสามีถึงได้โมโหขนาดนั้น เธอพูดอย่างทอดถอนใจว่า “พี่ใหญ่เป็นกังวลเพราะเรื่องนี้ด้วยใช่ไหม ? ”
เจียงเสี่ยวเฟิงทำเสียงฮึดฮัด “ใครจะไปรู้ล่ะ ? แต่ต่อไปผมจะไม่ช่วยเขาดูแลชานชานแล้ว จะได้ไม่ต้องมากลืนไม่เข้าคายไม่ออกเวลาที่เกิดเรื่องอะไรขึ้นมา”