ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 263 ไม่ใช่ข่าวดี
ตอนที่ 263 :ไม่ใช่ข่าวดี
แม้จะต้องเผชิญกับความเป็นความตาย โลกนี้มักไม่เคยขาดแคลนผู้กล้า
จงเฉยเมยต่อเรื่องความเป็นความตาย ถ้าไม่ยอมรับก็จงทำมัน
แต่เมื่อผู้คนต้องเผชิญกับทางเลือก พวกเขามักจะกังวลเกี่ยวกับผลกำไรและขาดทุน และพบว่าการตัดสินใจเป็นเรื่องยาก
อย่างน้อยตอนนี้เย่กวงโต้วก็เป็นเช่นนั้น
เขากำลังลังเลระหว่างอุดมคติกับความเป็นจริง แม้ใจจะไม่อยากละทิ้งอุดมคติ แต่ก็ไม่อยากพลาดโอกาส
เจียงเสี่ยวไป๋รอสักพัก แล้วตัดสินใจช่วยเด็กหนุ่มคนนี้เป็นครั้งสุดท้าย
หากไม่มีวาสนาต่อกัน เช่นนั้นก็ถือเป็นการสอนบทเรียนแรกและบทเรียนสุดท้ายของชีวิตให้เจ้าหนุ่มคนนี้
“เมื่อคนเราไม่รู้ว่าควรเลือกอย่างไร วิธีที่ดีที่สุดคือการอยู่ในจุดเดิมของตนเอง”
เจียงเสี่ยวไป๋พูดอย่างช้า ๆ สบาย ๆ
มาดูกันว่าเย่กวงโต้วจะเข้าใจคำพูดนี้อย่างไร
จุดเดิมของเขาเป็นได้ทั้งแผนกบรรณาธิการ ซึ่งสัมพันธ์กับตำแหน่งของเขา
หรืออาจเป็นแผนกโฆษณา เพราะตอนนี้ตัวเขาอยู่แผนกโฆษณานั่นเอง
เย่กวงโต้วค่อย ๆ หันมามองเจียงเสี่ยวไป๋ แล้วถามว่า “หัวหน้าเจียง คุณไว้ใจในตัวผมไหม ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋ส่ายหน้า “ไม่ ! ”
เย่กวงโต้วหน้าเหวอ แล้วถามด้วยความสงสัยว่า “เพราะอะไรล่ะ ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋หัวเราะเสียงเบา “ความไว้วางใจไม่ใช่แค่คำพูด ไม่ใช่แค่คำสัญญา และไม่ใช่คำตอบ ความไว้วางใจคือการตัดสินทางอารมณ์บนพื้นฐานของเหตุผลระหว่างผู้คน หลังจากที่พวกเขาได้ประสบกับแต่ละสิ่งด้วยกัน”
“พวกเรายังไม่เคยผ่านอะไรมาด้วยกัน ดังนั้นจึงยังบอกไม่ได้ว่าไว้วางใจไหม”
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง เย่กวงโต้วก็เดินไปที่โต๊ะอย่างเงียบ ๆ และนั่งลงแล้วพูดว่า “หัวหน้าเจียง ผมจะทำงานกับคุณ ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้ม แต่ไม่ได้ถามว่าเพราะอะไร
“เอาล่ะ มาเริ่มงานแรกกันดีกว่า”
“ตอนนี้ฉันตั้งโรงงานเมล็ดแตงโมจินเคอที่อำเภอเจี้ยนหยาง ผลิตภัณฑ์หลักของโรงงานคือเมล็ดแตงโม 5 รส เป็นสูตรลับเฉพาะที่ฉันคิดค้นขึ้นมาเอง รสชาติอร่อยมาก ใครที่เคยกินต่างก็บอกว่าชอบทั้งนั้น”
“ตอนนี้ฉันเปิดร้านที่ชิงโจวหนึ่งร้าน ชื่อร้านโยวผิ่น ขายแค่เมล็ดแตงโม 5 รสอย่างเดียว”
“ฉันต้องการให้นายเขียนโฆษณาให้ฉันชุดหนึ่ง”
เย่กวงโต้วไม่คาดคิดว่าเจียงเสี่ยวไป๋จะให้เขาเริ่มงานเร็วขนาดนี้ เขาไม่มีความรู้เรื่องการเขียนโฆษณามาก่อน จึงยอมรับออกไปตามตรง “ผมไม่มีความรู้เรื่องโฆษณา ชุดโฆษณาที่หัวหน้าเจียงพูดถึงคืออะไร ? ทำไมโรงงานผลิตชื่อจินเคอ แต่ร้านค้ากลับชื่อร้านโยวผิ่นล่ะ ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋อธิบายอย่างอดทนว่า “ชุดโฆษณาคือกลุ่มโฆษณาที่สร้างขึ้นตามรูปแบบการโฆษณาหรือธีมการโฆษณาเดียวกัน”
“ด้วยเนื้อหาและความคิดสร้างสรรค์ที่แตกต่างกันของโฆษณาแต่ละรายการ ทำให้สามารถสร้างเอฟเฟกต์โฆษณาที่สมบูรณ์และหลากหลายมากขึ้นได้”
พูดแล้ว เขาก็ยกตัวอย่างให้ฟัง “มันก็เหมือนกับที่นายบอกว่านายเก่งมาก แต่ฉันไม่เห็นด้วย นายก็เลยแสดงความสามารถวาดรูปให้ฉันดู แต่ฉันกลับคิดว่านายก็แค่จิตรกรคนหนึ่ง ไม่นับว่ายอดเยี่ยมอะไร”
“จากนั้น นายก็แสดงความสามารถด้านการเขียนพู่กันจีน การร้องเพลง แสดงสถิติการวิ่ง 100 เมตรในเวลา 11 วินาที……”
“ทำให้ฉันรู้ว่านายไม่ได้เป็นแค่จิตรกรคนหนึ่งเท่านั้น แต่ยังเป็นนักเขียนพู่กันจีน นักดนตรี นักร้องเพลง นักแสดงและนักกีฬาอีกด้วย”
“สิ่งเหล่านี้ล้วนพิสูจน์ได้ว่านายเก่งขนาดไหน”
“ชุดโฆษณาก็เป็นแบบนี้แหละ หากโฆษณารายการหนึ่งไม่สามารถสื่อถึงข้อดีและจุดขายของผลิตภัณฑ์ได้ โฆษณาเชิงสร้างสรรค์ก็ควรสร้างสรรค์จากจุดต่าง ๆ เพื่อให้ผู้ชมเข้าใจถึงข้อดีของผลิตภัณฑ์จากหลายระดับ”
“เหตุผลมันง่ายแค่นี้เอง”
เย่กวงโต้วพยักหน้าบ่งบอกว่าเข้าใจ
เจียงเสี่ยวไป๋พูดต่ออีกว่า “ส่วนสาเหตุที่ชื่อผู้ผลิตแตกต่างจากชื่อร้าน ก็เพราะการผลิตและการขายแบ่งออกเป็นสองระบบ ฉันใช้ชื่อร้านโยวผิ่นมาเพื่อสร้างแบรนด์ขนมขบเคี้ยว ในอนาคต ร้านโยวผิ่นจะจำหน่ายขนมหลายประเภท เมล็ดแตงโม 5 รสเป็นเพียงผลิตภัณฑ์อย่างหนึ่งเท่านั้น”
“……”
เจียงเสี่ยวไป๋ใช้เวลามากกว่าหนึ่งชั่วโมงในการเริ่มต้นสอนเย่กวงโต้วด้วยความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับการสร้างแบรนด์ การโฆษณา การตลาด การส่งเสริมการขาย และยังสอนวิธีพื้นฐานในการสร้างสรรค์งานโฆษณาอีกด้วย
เย่กวงโต้วที่ได้ฟังเขาสอนแบบนั้นยังตกตะลึงอ้าปากค้าง
ความรู้นี้เปิดประตูสู่ความเข้าใจเรื่องการโฆษณา ราวกับว่าเขาได้เห็นโลกใหม่
“หัวหน้าเจียง คุณรู้อะไรมากมายขนาดนี้ได้อย่างไร ? ”
เย่กวงโต้วถามอย่างสงสัย
เจียงเสี่ยวไป๋ “ซ่งฮุ่ยจงบอกมา ! ”
เย่กวงโต้วชะงักไป ซ่งฮุ่ยจงอยู่ในยุคสมัยราชวงศ์ซ่งไม่ใช่หรือ ? ซ่งฮุ่ยจงจะเข้าใจความรู้และแนวคิดขั้นสูงสมัยใหม่เหล่านี้ตั้งแต่เมื่อพันปีก่อนได้อย่างไร ?
เจียงเสี่ยวไป๋หลุดขำออกมา “หญิงงาม ทองคำ และบ้านช่องล้วนหาได้จากตำรา”
เย่กวงโต้วเข้าใจได้ในทันที ที่แท้เจียงเสี่ยวไป๋ต้องการบอกให้เขาอ่านหนังสือเยอะ ๆ นั่นเอง
ความรู้ทั้งหมดไม่สามารถออกมาจากอากาศบาง ๆ ได้ การอ่านหนังสือมากขึ้นเป็นวิธีเดียวที่จะทำให้เราได้ความรู้
แต่แล้วเขาก็แสดงสีหน้าสงสัย ในหนังสือจะมีสิ่งที่เจียงเสี่ยวไป๋อธิบายไว้จริงหรือ ?
เขาไม่เคยเห็นหนังสือที่เกี่ยวกับเรื่องนี้ในห้องสมุดของมหาวิทยาลัยเจียงเฉิง
“หัวหน้าเจียง ที่คุณพูดมาทั้งหมดนั้นอยู่ในหนังสือเล่มไหนหรือ ? ”
เย่กวงโต้วอดถามไม่ได้
เจียงเสี่ยวไป๋ตอบ “จากหนังสือคำสารภาพของคนโฆษณาที่โอกิลวีเขียนไว้ ตีพิมพ์ตั้งแต่ปี 1963 แล้ว”
เย่กวงโต้วยิ้มเจื่อน เขาไม่รู้จริง ๆ ว่าโอกิลวีคือใคร ?
แต่ฟังแล้วเหมือนชื่อของชาวต่างชาติเลย
นี่หัวหน้าเจียงอ่านหนังสือของชาวต่างชาติด้วยหรือ !
ต้องรู้ว่าในปี 1983 มีหนังสือต่างประเทศฉบับแปลน้อยมาก และคุณจะสามารถอ่านได้เฉพาะเวอร์ชั่นต้นฉบับเท่านั้น
เย่กวงโต้วมองเจียงเสี่ยวไป๋ด้วยสายตาที่ต่างออกไป เขารู้สึกเหมือนกับว่าตนเองที่เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยได้กลายเป็นผู้ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเมื่ออยู่ต่อหน้าเจียงเสี่ยวไป๋
ในตอนนี้ เขาเริ่มรู้สึกว่าตัวเองโชคดีมากที่เลือกอยู่ในแผนกโฆษณาต่อ
บางทีอาจจะเป็นอย่างที่เจียงเสี่ยวไป๋พูดจริง แม้การเข้ามาอยู่ในแผนกโฆษณาจะไม่ถือว่าเป็นการเปิดประตูสู่โลกกว้าง แต่อย่างน้อยก็ถือว่าได้แง้มประตูไว้
“เอาล่ะ ยังมีอะไรให้เรียนรู้อีกมาก”
“ไหนทำตามที่ฉันสอนนายไปก่อน ลองเขียนชุดโฆษณาเมล็ดแตงโม 5 รสออกมาสิ”
เจียงเสี่ยวไป๋ขัดจังหวะความคิดของเย่กวงโต้วแล้วยื่นข้อมูลเกี่ยวกับโรงงานผลิตเมล็ดแตงโมจินเคอและร้านโยวผิ่นให้
โฆษณาทางหนังสือพิมพ์ในยุคนี้เป็นโฆษณาแบบข้อความขาวดำล้วน ๆ ต่างจากโรงพิมพ์ยุคหลังที่ใช้เทคโนโลยีการพิมพ์แบบเลเซอร์ ด้วยการโฆษณาในรูปแบบกราฟิกสี
เมื่อเทียบกันแล้ว ความคิดสร้างสรรค์ในการเขียนโฆษณาของยุคนี้ค่อนข้างเรียบง่าย การที่พวกเขาเขียนโฆษณาออกมาได้สักชุดก็ถือว่ายอดเยี่ยมมากแล้ว
เจียงเสี่ยวไป๋มอบหมายเรื่องนี้ให้เย่กวงโต้วจัดการ โดยที่เขาไม่กังวลเลยแม้แต่น้อย
“หัวหน้าเจียง ผมจะทำอย่างสุดความสามารถ ! ”
เย่กวงโต้วถือข้อมูลชุดนั้นไว้ แล้วพูดอย่างหนักแน่น
เจียงเสี่ยวไป๋พยักหน้าด้วยอย่างพอใจและให้คำแนะนำเล็กน้อย จากนั้นเขาออกจากแผนกโฆษณาและไปที่โรงพิมพ์
ปัจจุบัน จำนวนหนังสือพิมพ์รายวันชิงโจวมีไม่มากนัก กลุ่มที่อ่านหนังสือพิมพ์ถูกจำกัดไว้เฉพาะผู้ที่อยู่ในหน่วยงานและปัญญาชนกลุ่มเล็ก ๆ ผู้คนในวงกว้างไม่มีนิสัยชอบอ่านหนังสือพิมพ์
ซึ่งหมายความว่าคนส่วนใหญ่จะไม่สามารถมองเห็นโฆษณาในหนังสือพิมพ์ได้
เขาจึงต้องการสื่อในรูปแบบใหม่ ๆ
สื่อกลางในการสื่อสารที่ทำให้คนทั่วไปได้เห็นโฆษณาเมล็ดแตงโม 5 รส
“น้องชาย ตอนนี้ฉันต้องเรียกนายว่าหัวหน้าเจียงหรือเปล่า ! ”
เมื่อเห็นเจียงเสี่ยวไป๋ เซี่ยงเฉียนจิ้นจึงกล่าวแซว
เจียงเสี่ยวไป๋กลอกตามาที่เขาและพูดติดตลกว่า “พี่เซี่ยง คุณแกล้งแซวผมแบบนี้ ระวังผมเอาคืนนะ ! ”
เซี่ยงเฉียนจิ้นหัวเราะทันที “นายเอาคืนเลย แล้วมาดูกันว่าฉันจะกลัวไหม ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋ยื่นบุหรี่จงฮว๋าให้หนึ่งมวนแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ไม่กลัวจริงหรือ ? ”
เซี่ยงเฉียนจิ้นตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง และทันใดนั้นก็รู้สึกว่าน้ำเสียงของเจียงเสี่ยวไป๋ไม่ได้ดูเหมือนกำลังล้อเล่น
“น้องชาย มีเรื่องอะไรหรือเปล่า ? ” เซี่ยงเฉียนจิ้นรับบุหรี่มา
เจียงเสี่ยวไป๋พยักหน้า “ผมมีเรื่องจะมาคุยด้วยสองเรื่อง”
เซี่ยงเฉียนจิ้นมองไปยังเจียงเสี่ยวไป๋แล้วกล่าวว่า “งั้นก็นั่งลงคุยกันก่อนสิ ! ”
ทั้งสองนั่งลงแล้วจุดบุหรี่สูบ
เจียงเสี่ยวไป๋พ่นควันออกมาแล้วถึงได้พูดว่า “เรื่องแรกอาจไม่ใช่ข่าวดีสำหรับพี่”
เซี่ยงเฉียนจิ้นรู้สึกประหม่าเล็กน้อย เขากล่าวว่า “พูดมาสิ สรุปแล้วมันคือเรื่องอะไร ? ”