ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 241 อยากของเปรี้ยวเขาว่าได้ลูกชาย
- Home
- All Mangas
- ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล)
- ตอนที่ 241 อยากของเปรี้ยวเขาว่าได้ลูกชาย
ตอนที่ 241 :อยากของเปรี้ยวเขาว่าได้ลูกชาย
“ฉันไม่แน่ใจ ! ”
ใบหน้าของหลินเจียอินเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ เธอพูดอย่างเขินอาย
หวังซิ่วจวี๋กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “มันจะต้องใช่แน่ ๆ ลูกเคยผ่านการมีลูกมาก่อน จะไม่รู้ได้อย่างไรว่ากำลังตั้งครรภ์หรือไม่ได้ตั้งครรภ์ ? ”
เธอมั่นใจว่าลูกสะใภ้ของเธอตั้งครรภ์
หลังจากที่เจียงเสี่ยวไป๋ตื่นเต้นจนเริ่มสงบสติอารมณ์ของตนเองได้แล้ว เขาก็พูดว่า “ท้องหรือเปล่านั้น เราไปตรวจสุขภาพที่โรงพยาบาลก็รู้แล้ว”
“อืม ! ”
หลินเจียอินพยักหน้า เธอยังต้องการยืนยันให้แน่ชัด เธอถึงจะวางใจ
หวังซิ่วจวี๋กล่าวว่า “กลับไปกินข้าวก่อน ตอนนี้ลูกไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวแล้ว ต้องกินให้มากกว่านี้”
เมื่อพูดเช่นนั้น เธอก็ก้าวไปข้างหน้าและช่วยพาหลินเจียอินเข้าไปในบ้าน
หลินเจียอินพูดอย่างเขินอายว่า “แม่ หนูเดินเองได้”
หวังซิ่วจวี๋มองปราดใส่ลูกสะใภ้ “ลูกกำลังท้อง ดังนั้นระวังเวลาเดินด้วย ลูกกำลังอุ้มหลานของแม่อยู่นะ”
และเมื่อมองไปที่ธรณีประตูของห้องอาหาร เธอก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วและดุเจียงเสี่ยวไป๋ “ตอนที่ลูกทำบ้าน ทำไมถึงออกแบบธรณีประตูสูงขนาดนี้ ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋ “……”
ธรณีประตูสูงแล้วจะโทษเขาได้อย่างไร ? บ้านเก่า ๆ ก็เป็นแบบนี้หมด !
หลินเจียอินอดไม่ได้ที่จะยิ้มอย่างขมขื่น เธอยังไม่รู้ว่าเธอท้องหรือไม่ แต่แม่สามีของเธอระมัดระวังมาก ถ้าเธอท้องจริง ๆ มีหวังในอนาคตไม่ต้องเดินไปไหนแน่ !
ปฏิกิริยาของแม่สามีของเธอนั้น มากเกินไปหน่อย
ตอนที่เธอท้องชานชาน เธอไม่เห็นว่าแม่สามีจะกังวลขนาดนี้
อย่างไรก็ตาม ตอนที่เธอตั้งท้องชานชาน ครอบครัวของเธอยากจน แม่สามีของเธอมัวกังวลว่าจะทำอย่างไรให้ครอบครัวได้มีข้าวกิน และเธอต้องทำงานมากขึ้น ทำให้แม่สามีไม่ได้สนใจเกี่ยวกับการตั้งท้องของเธอ
แต่ตอนนี้มันแตกต่างออกไป
ตอนนี้ครอบครัวมีเงิน งานในทุ่งนาก็น้อยลง แม่สามีของเธอไม่ได้ทำงานอะไรแล้ว จิตใจของเธอจึงจดจ่ออยู่กับลูกหลานของตระกูลเจียง
ตอนนี้เธอรู้ว่าลูกสะใภ้ของเธออาจจะตั้งครรภ์ จะให้เธอทำตัวว่างได้อย่างไร ?
ทั้งสามคนเข้าไปในห้องแล้วนั่งลงอีกครั้ง
หวังซิ่วจวี๋คีบไข่ในชามของตนเองใส่ชามของหลินเจียอิน “กินเร็วเข้า กินเยอะ ๆ หน่อย”
เจียงเสี่ยวเหลยและเจียงเสี่ยวหยูตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง แม่ของพวกเขาลำเอียงจนถึงกับเอาไข่ไก่ของตนเองให้พี่สะใภ้แล้ว
เจียงไห่หยางได้ยินการสนทนาระหว่างคนสามคนนอกบ้านอย่างคลุมเครือ ตอนนี้เขาเห็นการเคลื่อนไหวของหวังซิ่วจวี๋ ทันใดนั้นเขาก็แย้มยิ้มออกมา แล้วโน้มตัวไปกระซิบถาม “มีเรื่องมงคลหรือ ? ”
เจียงเสี่ยวหยูที่อยู่ด้านข้างได้ยินจึงพูดว่า “พ่อ พ่อกำลังพูดถึงเรื่องอะไรหรือ ? ”
เจียงไห่หยางไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไร จึงตอบกลับไปว่า “ลูกยังเป็นเด็ก ทำไมถึงถามคำถามมากมายขนาดนี้ กินบะหมี่เต้าหู้ไปเลย ! ”
หวังซิ่วจวี๋กลอกตาไปที่เจียงไห่หยาง “มีอะไรที่พูดไม่ได้กัน ? ”
เธอหันไปหาเจียงเสี่ยวหยู และพูดด้วยรอยยิ้ม “พี่สะใภ้ของลูกกำลังตั้งครรภ์ หนูจะมีหลานในเร็ว ๆ นี้แล้ว”
“ว้าว เยี่ยมเลย ! ” เจียงเสี่ยวหยูพูดอย่างมีความสุข
เจียงชานมองดูหม่าม๊าของเธออย่างสงสัย ราวกับว่าเธอกำลังมองหาว่าน้องของเธออยู่ที่ไหน
หวังซิ่วจวี๋เห็นการแสดงออกของเจียงชาน จึงถามด้วยรอยยิ้ม “ชานชาน หนูอยากได้น้องสาวหรือน้องชาย ? ”
“น้องชายค่ะ ! ”
เจียงชานตอบโดยไม่ต้องคิด
หวังซิ่วจวี๋ดีใจที่คำพูดของเด็กน้อยตรงกับที่เธอต้องการ ดังนั้นเธอจึงถามหลานสาวว่า “ทำไมชานชานถึงอยากได้น้องชายล่ะ ? ”
เจียงไห่หยาง หลินเจียอิน และเจียงเสี่ยวไป๋ต่างก็มองไปที่เจียงชาน อยากรู้ว่าเธอจะพูดอะไร
หนูน้อยไม่รู้สึกเขินอายเลย เธอพูดท่ามกลางสายตาของทุกคนว่า “ถ้าหม่าม๊าคลอดน้องชาย หนูก็ยังรังแกเขาได้ แต่ถ้าหม่าม๊าคลอดน้องสาว ป่าป๊าก็จะรักน้องมากขึ้น แล้วรักหนูน้อยลง คงจะไม่รักหนูเหมือนตอนนี้แล้ว”
“ฮ่าฮ่า ! ”
“อ่า ? ”
ไม่มีใครคาดคิดว่าหนูน้อยจะพูดแบบนี้
เหนือความคาดหมายไปมาก
เจียงเสี่ยวไป๋จึงรีบพูดว่า “ชานชาน ป่าป๊าจะรักหนูเหมือนเดิม”
เจียงชานยิ้มอย่างมีความสุข และมองดูหม่าม๊าของเธอด้วยความอยากรู้อยากเห็น “หม่าม๊าคะ เมื่อไหร่หนูจะได้เจอน้องชายของหนู ? ”
หลินเจียอินพูดด้วยรอยยิ้ม “ยังไม่ถึงเวลาจ้ะ อย่างน้อยก็น่าจะปีหน้า”
เจียงชานกระพริบตาและพูดด้วยสีหน้าคาดหวัง “หนูอยากเจอน้องชายของหนูเร็ว ๆ ”
ทั้งครอบครัวก็หัวเราะขึ้นมาเพราะคำพูดของหนูน้อย
แม้แต่หลินเจียอินก็รู้สึกว่าความอยากอาหารของเธอดีขึ้นมาก และเธอค่อย ๆ กินบะหมี่เส้นเต้าหู้
หวังซิ่วจวี๋เฝ้าดูเธอกินอาหารจากด้านข้าง ดวงตาของเธอจับจ้องอยู่ที่ลูกสะใภ้ เธอสังเกตเห็นว่าลูกสะใภ้ชอบคีบหัวไชเท้าดองมากินเป็นพิเศษ จึงถามว่า “เจียอิน ลูกอยากกินหัวไชเท้ารสเปรี้ยวเป็นพิเศษใช่ไหม ? ”
หลินเจียอินพยักหน้ารับ “ค่ะ”
หวังซิ่วจวี๋ยิ้มราวกับว่าใบหน้าของเธอกำลังเบ่งบาน เธอพูดซ้ำ ๆ ว่า “ดี ๆ ๆ อยากของเปรี้ยวเขาว่าได้ลูกชาย อยากของเผ็ดเขาว่าได้ลูกสาว ลูกคงตั้งท้องลูกชายแน่เลย”
หลินเจียอินอดยิ้มไม่ได้จริง ๆ แต่ว่าปกติเธอก็ชอบกินอาหารรสเปรี้ยวไม่ใช่หรือ ?
ขนาดก่อนท้องเธอก็ยังชอบกินหัวไชเท้าดอง ทำไมแม่สามีถึงบอกว่าเธอชอบกินเปรี้ยวแล้วจะได้ลูกชายล่ะ ?
ทันใดนั้นเธอก็เข้าใจได้ทันทีว่าแม่สามีอยากได้หลานชายมาโดยตลอด !
เมื่อดูการแสดงออกของเจียงไห่หยาง เธอก็รู้ว่าพ่อตาของเธอคิดแบบเดียวกัน
ผ่านไปครู่หนึ่ง เธอรู้สึกถึงความกดดันขึ้นมาในทันที
ไม่มีใครรู้ได้เลยว่าจะได้ลูกชายหรือลูกสาวจนกว่าจะคลอดออกมา ถ้าเกิดเป็นลูกสาวอีกคน พ่อแม่สามีจะไม่ผิดหวังมากหรือ ?
อาจจะ……
เธอยังอยากให้ตัวเองมีลูกอีกสามคนด้วย
เธอเคยได้ยินคนในเจียงวานพูดว่า: ถ้าไม่มีลูกชาย จะไม่เลิกทำลูก
คิดแล้วก็น่ากลัวเหมือนกัน !
หลังจากที่ครอบครัวกินอาหารเช้าแล้ว เจียงเสี่ยวไป๋ก็พาภรรยาและลูกสาวของเขาเข้าเมือง
วันนี้เขาขับรถช้ามาก
“ขับเร็วเข้า เดี๋ยวจะสาย”
หลินเจียอินอดไม่ได้ที่จะพูดเร่งเขา เมื่อเธอเห็นเจียงเสี่ยวไป๋ขับรถช้า ๆ
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “ตอนนี้คุณท้องแล้ว ผมต้องใส่ใจเรื่องความปลอดภัยให้มากขึ้น”
หลังจากหยุดพูดไปครู่หนึ่ง เขาก็กล่าวเสริมว่า “เราจะยังไม่เข้าร้าน แต่จะไปตรวจที่โรงพยาบาลก่อน”
หลินเจียอินพูดอย่างกังวลว่า “ไม่ได้ ฉันยังมีงานที่ต้องทำอีกมาก ฉันจะไปตรวจหลังจากที่ฉันทำงานทุกอย่างเสร็จแล้ว”
เธอตั้งครรภ์แล้ว แล้วทำไมเธอยังสนใจเรื่องงานอยู่ล่ะ ?
เจียงเสี่ยวไป๋ไม่ฟังเธอ หลังจากเข้าไปในเมือง เขาก็ขับรถตรงไปที่โรงพยาบาลท้องถิ่นชิงโจว
โรงพยาบาลในช่วงทศวรรษ 1980 ไม่แออัดเหมือนยุคสมัยใหม่ ภายในโรงพยาบาลเงียบสงบมาก
คนยุคนี้จะไปโรงพยาบาลก็ต่อเมื่อป่วยหนักเท่านั้น
อาการปวดศีรษะ เป็นไข้ และแม้แต่บาดแผลเล็ก ๆ น้อย ๆ ทั่วไปสามารถรักษาได้ด้วยวิธีการเฉพาะท้องถิ่น ซึ่งรักษาเองได้ที่บ้าน
เพราะท้ายที่สุดแล้ว การรักษาพยาบาลทั้งเสียเงินและมีราคาแพง
เจียงเสี่ยวไป๋ถามพยาบาลเกี่ยวกับที่ตั้งของแผนกสูตินรีเวช และพาหลินเจียอินและเจียงชาน ไปที่แผนกสูตินรีเวชด้วยความคาดหวัง
ไม่ต้องเข้าคิวก็เข้าพบหมอได้เลย
แพทย์หญิงในวัยสี่สิบปี สวมแว่นตาและเสื้อคลุมสีขาว มีใบหน้าที่เย็นชาและไม่ยิ้มแย้ม
เจียงเสี่ยวไป๋ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ดีนะที่ไม่ใช่หมอผู้ชาย
ในยุคนี้ สูตินรีแพทย์ยังคงเป็นแพทย์หญิงเป็นหลัก ท้ายที่สุดแล้วความคิดของผู้คนในยุคนี้ก็ยังมีความเป็นอนุรักษ์นิยมอย่างมาก
ไม่เหมือนในยุคสมัยใหม่ตรงที่มีแพทย์ชายจำนวนมาก
แม้ว่าเจียงเสี่ยวไป๋จะเกิดใหม่และได้รับประสบการณ์ในยุคสมัยใหม่ แต่เขาก็ยังไม่อยากให้หมอผู้ชายตรวจครรภ์ภรรยาของเขา
“หมอครับ ลองตรวจดูว่าภรรยาของผม เธอท้องหรือเปล่า ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวอย่างกระตือรือร้น
แพทย์หญิงเงยหน้าขึ้นและมองไปที่เจียงเสี่ยวไป๋ เธอไม่เคยเห็นสามีที่ดูเป็นกังวลเช่นนี้มาก่อน
เธอจึงให้หลินเจียอินนั่งลงอย่างใจเย็นและเริ่มถามคำถามบางอย่าง
จากนั้น เธอก็ตรวจชีพจรของหลินเจียอิน
ปัจจุบันสูติศาสตร์และนรีเวชวิทยาใช้เทคนิคการแพทย์แผนจีนในการตรวจหาการตั้งครรภ์เป็นหลัก ไม่เหมือนคนยุคสมัยใหม่ที่ใช้อุปกรณ์จำพวกการตรวจเลือด ปัสสาวะหรือตรวจอัลตราซาวด์
สาเหตุหลักมาจากเครื่องอัลตราซาวด์นำเข้าค่อนข้างช้าในประเทศ ในช่วงต้นทศวรรษ 1980 มีเพียงโรงพยาบาลในเมืองชายฝั่งทะเลและเมืองใหญ่บางแห่งเท่านั้นที่นำเข้าเครื่องอัลตราซาวด์ภาพขาวดำ แต่โรงพยาบาลท้องถิ่นชิงโจวยังไม่มีกำลังมากพอที่จะนำเข้ามาได้
จนกระทั่งปี 1984 ซานเฉิงได้ผลิตเครื่องอัลตราซาวด์ในประเทศเครื่องแรก และโรงพยาบาลในพื้นที่บางแห่งก็ค่อย ๆ ติดตั้งเครื่องดังกล่าว
ไม่นานหลังจากนั้น แพทย์หญิงก็ตรวจชีพจรของเธอเสร็จ
เจียงเสี่ยวไป๋เห็นแบบนั้นจึงถามอย่างกังวลใจ “คุณหมอ ภรรยาของผมท้องหรือเปล่า ? ”