ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 235 จัดการใหม่
ตอนที่ 235 :จัดการใหม่
ในใจของเฉินอันผิงยังมีความสงสัย เขาจึงถามออกไป “ทำไมเราไม่ขายให้กับประชาชนโดยตรงเลยล่ะครับ ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋หัวเราะและพูดว่า “โดยทั่วไปแล้ว คนที่ใช้ถุงสะดวกซื้อคือประชาชนทั่วไป เราควรขายให้กับพวกเขา”
“แต่การขายแบบนี้มันช้าเกินไป”
“แต่การขายให้กับห้างสรรพสินค้ากับสหกรณ์จำหน่ายเครื่องบริโภคอุปโภคนั้นแตกต่างออกไป พวกเขาสามารถซื้อได้ครั้งละหลายหมื่นใบ หลายแสนใบหรืออาจสูงถึงหลายล้านใบ”
หลังจากหยุดไปสักพัก เจียงเสี่ยวไป๋ก็พูดต่อ “กลับมาที่ประเด็นหลัก ปัญหาที่พนักงานขายต้องแก้ไขคือ พวกคุณจะทำอย่างไรให้ห้างสรรพสินค้าซื้อถุงพลาสติกสะดวกซื้อของเรา ? ”
“เพราะฉะนั้นเราถึงต้องแต่งเรื่องราวขึ้นมา การสร้างเรื่องราวเป็นวิธีหนึ่งในการแก้ปัญหานี้ แต่ถ้าเราแต่งเรื่องราวไม่เป็นขึ้นมาล่ะ ? ”
“เรื่องที่ต้องใช้ทักษะเฉพาะควรหาผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านมาแก้ไข”
“เราแต่งเรื่องแต่งบทความไม่เป็น แต่บรรณาธิการสำนักพิมพ์ทำได้”
“ดังนั้นผมถึงได้พาคุณไปที่สำนักข่าวรายวันชิงโจวไงล่ะ”
เฉินอันผิงพิจารณาจากคำพูดของเจียงเสี่ยวไป๋ เขาตระหนักได้แล้วว่าตนเองต้องไปแจกแจงปัญหาเหล่านี้ให้พนักงานขายรู้ แล้วค่อยช่วยกันแก้ปัญหาไปทีละเรื่อง
ดูเหมือนเขาจะเริ่มเข้าใจแล้ว
“ผู้ช่วยเจียง ต่อไปนี้ผมจะเรียนรู้จากคุณให้มาก” เฉินอันผิงกล่าวอย่างจริงใจ
เจียงเสี่ยวไป๋พยักหน้า เขาเต็มใจที่จะเป็นผู้นำให้กับพนักงานที่เต็มใจเรียนรู้จากเขา
เขานำแผนการขายที่เขาคิดให้เฉินอันผิง
“คุณดูนี่สิ ! ”
เฉินอันผิงรับมันมาและมองดูอย่างตั้งใจ
“ผู้ช่วยเจียง คุณจะแจกถุงพลาสติกสะดวกซื้อให้กับห้างสรรพสินค้าและสหกรณ์จำหน่ายเครื่องบริโภคอุปโภคหรือ ? ”
หลังจากอ่านแล้ว เฉินอันผิงก็พูดด้วยความเหลือเชื่อ
เจียงเสี่ยวไป๋พยักหน้า “ใช่ เราจะแจกฟรี”
เฉินอันผิงประหลาดใจ “ถ้าอย่างนั้น… เราจะทำเงินจากมันได้อย่างไร ? ”
แม้ว่าต้นทุนของถุงพลาสติกสะดวกซื้อจะไม่สูงนัก แม้ต้นทุนจะอยู่ที่ใบละไม่ถึง 2 หลี แต่ถ้าแจกในปริมาณมาก เช่นนั้นจะต้องขาดทุนอย่างแน่นอน !
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้มและพูดว่า “หัวหน้าเฉิน ของฟรีคือของที่แพงที่สุด”
เฉินอันผิงยิ้มเจื่อนและมึนงงไปในขณะเดียวกัน
คำว่า ‘ของฟรีคือของที่แพงที่สุด’ นี้ คนในยุคปี 1983 ไม่เข้าใจหรอก
ในฐานะคนที่กลับมาเกิดใหม่ เจียงเสี่ยวไป๋เข้าใจมันอย่างถ่องแท้
เพราะถ้าไม่ยอมจ่ายต้นทุนให้สินค้า ผู้ใช้จะมองเห็นประโยชน์จากมันได้อย่างไร ? กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ผู้ใช้คิดว่าพวกเขากำลังใช้ประโยชน์จากผลิตภัณฑ์ฟรี แต่พวกเขาไม่รู้ว่ากำลังถูกโน้มน้าวให้ซื้อ กระทั่งกลายเป็นผู้ซื้อสินค้านั้น ๆ ไป
แต่เจียงเสี่ยวไป๋ไม่ได้อธิบายหลักการเหล่านี้ให้เฉินอันผิงฟัง เพียงแค่ขอให้เขาเตรียมตัวเท่านั้น
รอให้หนังสือพิมพ์ตีพิมพ์บทความโฆษณาออกมา รอให้เรื่องราวเหล่านั้นกลายเป็นประเด็นร้อน ก็ถึงเวลาที่พนักงานขายของโรงงานฟิล์มพลาสติกจะต้องออกโรงแล้ว
หลังออกจากโรงงานฟิล์มพลาสติก เจียงเสี่ยวไป๋ก็กลับมาที่ร้านกุ้งอบน้ำมันชิงเจียงบนถนนชิงโจว
“เมียจ๋า เลิกงานแล้ว เรากลับบ้านกันเถอะ”
หลินเจียอินดูนาฬิกาของเธอ ตอนนี้เพิ่งกี่โมงเอง ?
ยังไม่ถึงสี่โมงเย็นด้วยซ้ำ
“ยังไม่เย็นมากเลย มีงานกองรออยู่มากมายในช่วงที่เราไม่ได้เข้าร้าน ฉันยังจัดการไม่เสร็จเลย” หลินเจียอินบอก
เจียงเสี่ยวไป๋พูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “ไว้พรุ่งนี้ค่อยมาเคลียร์ทีหลัง”
หลินเจียอินลังเล เมื่อเช้าพ่อแม่ของเธออยู่กินข้าวที่บ้าน กว่าจะได้เข้าเมืองก็ปาไปสิบโมงกว่าแล้ว ตอนนี้เธอยังกลับบ้านก่อนสี่โมงเย็นอีก แบบนี้จะให้เธอสะสางงานเสร็จได้อย่างไร ?
“พรุ่งนี้ก็ยังมีเรื่องที่ต้องจัดการอีกมากมาย ! ”
หลินเจียอินพึมพำ “ฉันต้องทำให้เสร็จในวันนี้”
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ และพูดว่า “งานวันนี้เสร็จวันนี้เป็นข้อกำหนดสำหรับพนักงาน ไม่เกี่ยวอะไรกับคุณในฐานะเจ้านาย”
ได้ยินแบบนี้ พนักงานทั้งหลายคงพากันคิดว่า: ผู้ช่วยเจียง คุณช่วยหยุดเป็นคนสองมาตรฐานได้ไหม ?
หลินเจียอิน: ใช่ ใช่ คุณพูดถูก !
เจียงเสี่ยวไป๋: ใครใช้ให้คุณเป็นภรรยาของผมกันล่ะ ?
ท้ายที่สุด หลินเจียอินก็ต้องตามเจียงเสี่ยวไป๋กลับไปที่เจียงวานอย่างไม่เต็มใจ
ตอนนี้ เจียงเสี่ยวเฟิงย้ายสถานที่รับซื้อกุ้งเครย์ฟิชมาเป็นบนถนนกว้างที่เจียงเสี่ยวไป๋สร้าง ปกติไม่ค่อยมีรถผ่านอยู่แล้ว ฉะนั้นจึงเหมาะกับเป็นสถานที่รับซื้อกุ้ง
หวังผิงเพิ่งจะบรรทุกของขึ้นรถและกำลังคุยกับเจียงเสี่ยวเฟิง เขาก็เห็นรถของเจียงเสี่ยวไป๋ขับเข้ามาพอดี
“ทำไมวันนี้นายกลับมาเร็วขนาดนี้ล่ะ” หวังผิงถาม
“มีธุระนิดหน่อยน่ะ” เจียงเสี่ยวไป๋พูด และเขาก็หันไปพูดกับเจียงเสี่ยวเฟิงว่า “เสี่ยวเฟิง นายอยากเรียนทำเมล็ดแตงโม 5 รสจากพี่ไหม ? ”
เจียงเสี่ยวเฟิงตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง และพูดว่า “พี่ตัดสินใจที่จะตั้งโรงงานเมล็ดแตงโม 5 รสแล้วหรือ ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋พยักหน้า
เจียงเสี่ยวเฟิงกล่าวว่า “ผมไม่มีปัญหาหรอก แล้วเรื่องรับซื้อกุ้งเครย์ฟิชล่ะ ? ”
“ถ้านายอยากเรียนจากฉัน ตั้งแต่พรุ่งนี้ไปก็ให้พ่อเป็นคนรับซื้อกุ้งเครย์ฟิชแทนไปก่อน” เจียงเสี่ยวไป๋ตอบ
หวังผิงยิ้มและพูดว่า “ลุงของฉันเอาแต่บ่นว่าเขาว่างเกินไป อีกอย่างเรื่องรับซื้อกุ้งเครย์ฟิชไม่ใช่เรื่องยุ่งยาก ลุงของฉันทำได้ ไม่มีปัญหาแน่นอน”
เจียงเสี่ยวเฟิงก็คิดเช่นนั้น ดังนั้นเขาจึงพูดว่า “พี่รอง ผมจะทำตามที่พี่บอก”
เมื่อเขากลับถึงบ้าน เขาก็หารือกับเจียงไห่หยางถึงเรื่องนี้
เจียงไห่หยางทำหน้าบูดบึ้งและพูดว่า “ที่จริงควรให้พ่อทำตั้งนานแล้ว เสี่ยวเฟิงเป็นคนมีความสามารถมาก มัวแต่เสียเวลารับซื้อกุ้งเครย์ฟิชตลอดทั้งวัน เสียดายความสามารถจริง ๆ ”
หลังจากพูดจบ เขาก็พูดอย่างตื่นเต้น “เสี่ยวไป๋ แกขอให้เสี่ยวเฟิงเรียนรู้วิธีทำเมล็ดแตงโม 5 รส แกวางแผนที่จะให้น้องเป็นผู้จัดการโรงงานเมล็ดแตงโมใช่ไหม ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋มีความตั้งใจเช่นนี้จริง
ตอนนี้ ประเทศกำลังขาดแคลนคนมีความสามารถ เขาจึงวางแผนที่จะฝึกคนมีความสามารถออกมาให้ได้มากที่สุด โดยเริ่มจากญาติและคนในครอบครัวของเขาก่อน
มีคำกล่าวที่ว่า: อย่ากลัวรากฐานที่ไม่ดี เพราะทุกคนล้วนมาจากจุดเริ่มต้นเดียวกัน ตราบใดที่พวกเขาเต็มใจเรียนรู้และได้รับโอกาส ทุกคนย่อมสามารถโดดเด่นขึ้นมาได้
เจียงเสี่ยวไป๋มองไปที่เจียงเสี่ยวเฟิง เจียงเสี่ยวเฟิงรีบโบกมือปัดและพูดว่า “ผมจะเรียนรู้วิธีทำเมล็ดแตงโม 5 รส แต่ผมไม่สามารถเป็นผู้จัดการโรงงานได้หรอก”
เจียงไห่หยางได้ยินสิ่งนี้ก็โกรธ เขาจึงพูดตำหนิลูกชายไปว่า “ทำไมจะเป็นผู้จัดการโรงงานไม่ได้ ? เฉินหยวนเฉา พี่เขยของแกยังทำได้เลยไม่ใช่หรือ ? ”
เขามองค้อนเจียงเสี่ยวเฟิง และพูดต่อ “ทำไม่เป็นก็เรียนรู้สิ มีใครบ้างที่เกิดมาก็ทำทุกอย่างเป็นเลย ? ”
เมื่อรู้ว่าเจียงเสี่ยวไป๋จะก่อตั้งโรงงานผลิตเมล็ดแตงโมไปที่อำเภอเจี้ยนหยาง เขาไม่สามารถเป็นผู้จัดการโรงงานได้ ดังนั้นเขาจึงต้องการให้เจียงเสี่ยวเฟิงเป็นผู้จัดการโรงงานแทน
แต่เขาไม่อยากให้เจียงเสี่ยวเฟิงกลัวนู่นกลัวนี่ทั้งที่ยังไม่ได้ลงมือทำ ดังนั้นเขาจึงอดโกรธไม่ได้
เจียงเสี่ยวไป๋ยกนิ้วให้พ่อของเขาอย่างเงียบ ๆ เป็นการดีกว่าสำหรับพ่อที่จะพูดกับเจียงเสี่ยวเฟิงมากกว่าให้เขาพูดด้วยตัวเอง
ในอีกไม่กี่วันถัดมา เจียงเสี่ยวไป๋ไปในเมืองทุกเช้าและกลับมาตอนเที่ยงเพื่อสอนเจียงเสี่ยวเฟิงทำเมล็ดแตงโม 5 รส
“พี่รอง การทำเมล็ดแตงโม 5 รสไม่จำเป็นต้องมีอุปกรณ์อะไรเลยหรือ ? ” เจียงเสี่ยวเฟิงถาม
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “ไม่จำเป็นต้องมีอุปกรณ์มากนักในการเปิดโรงงานเมล็ดแตงโม 5 รส ซึ่งอุปกรณ์หลักส่วนใหญ่ก็จะเป็นพวกเครื่องอบแห้งและเครื่องบรรจุภัณฑ์”
“หลังจากสร้างโรงงานแล้ว เราเน้นไปที่เมล็ดแตงโมคั่วด้วยมือเป็นหลัก”
เจียงเสี่ยวเฟิงตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งและพูดด้วยความสับสนว่า “งั้นพี่ต้องการที่ดินจำนวนมากจากนายอำเภอหลินไปทำไม ผมคิดว่าการสร้างโรงงานเมล็ดแตงโมจะต้องใช้อุปกรณ์จำนวนมากเสียอีก”
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้มและพูดว่า “ฉันต้องการที่ดินจำนวนมากเพื่อสร้างนิคมอุตสาหกรรมเป็นหลัก โรงงานเมล็ดแตงโมเป็นเพียงส่วนหนึ่งของนิคมอุตสาหกรรมเท่านั้น”
เมื่อคิดได้ว่าบอกเรื่องพวกนี้ให้เจียงเสี่ยวเฟิงรู้ไป เขาก็ไม่เข้าใจ ดังนั้นเจียงเสี่ยวไป๋จึงพูดว่า “สรุปก็คือถึงตอนนั้นนายจะต้องไปที่เจี้ยนหยาง แล้วสร้างโรงงานตามพิมพ์เขียวของฉัน จากนั้นนายก็ต้องฝึกทำเมล็ดแตงโม 5 รสให้เชี่ยวชาญตามสูตรที่ฉันสอนนายไป แล้วนำคนงานคั่วมัน”
ตอนนี้ในตลาดยังไม่มีเมล็ดแตงโม 5 รสขาย หากพวกเขาผลิตมันออกไปขาย พวกเขาจะกลายเป็นเจ้าแรกและเจ้าเดียวในตลาด
สิ่งที่เจียงเสี่ยวไป๋ต้องทำคือ สร้างแบรนด์และยึดตลาด
เหตุผลที่เขาขอให้เจียงเสี่ยวเฟิงนำคนงานคั่วเมล็ดแตงโมด้วยตนเองนั่นเป็นเพราะในยุคนี้ อุปกรณ์ที่ใช้สำหรับคั่วเมล็ดแตงโมโดยเฉพาะยังไม่ได้รับการพัฒนา เป็นเวลานานแล้วที่การคั่วเมล็ดแตงโมในประเทศยังคงใช้มือเป็นหลัก
แต่มันเป็นไปไม่ได้สำหรับเขาที่จะบอกเจียงเสี่ยวเฟิงว่ายังไม่มีอุปกรณ์พิเศษสำหรับการคั่วเมล็ดแตงโม
นี่เป็นวิธีเดียวที่จะจัดการกับมันได้
โชคดีที่เจียงเสี่ยวเฟิงไม่ใช่คนช่างซักไซ้ ดังนั้นเขาจึงหยุดกังวลและไม่ถามอะไรต่อ
อย่างไรก็ตาม เขาจะทำทุกอย่างตามที่เจียงเสี่ยวไป๋บอกเขา
การคั่วเมล็ดแตงโม 5 รสนั้นเรียนรู้ได้ไม่ยาก หลังจากผ่านไป 3-4 วัน เจียงเสี่ยวเฟิงก็เชี่ยวชาญเรื่องนี้
เจียงเสี่ยวไป๋ลองชิมดู รสชาติยังพอไปได้
ในขณะเดียวกัน บทความโฆษณาที่ตีพิมพ์โดยสำนักข่าวรายวันชิงโจวเป็นเวลาหลายวันติดต่อกันก็เริ่มเผยให้เห็นผลบ้างแล้ว