ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 233 เซ็นสัญญาจัดจ้าง
ตอนที่ 233 :เซ็นสัญญาจัดจ้าง
พูดถึงเรื่องนี้ เจียงเสี่ยวไป๋ได้พูดคุยกับเขาเรื่องจัดจ้างแผนกโฆษณาของภายนอกมาระยะหนึ่งแล้ว และเขายังพูดถึงเรื่องนี้กับรองนายกเทศมนตรีจาง รองนายกเทศมนตรีจางไม่เพียงแต่เห็นด้วยเท่านั้น แต่ยังสนับสนุนให้เขาจัดจ้างเจียงเสี่ยวไป๋มาทำแผนกโฆษณาด้วย เพราะวิธีการของเจียงเสี่ยวไป๋นั้นไม่ธรรมดา บางทีอาจมีอะไรใหม่ ๆ เกิดขึ้นได้
อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน และเนื่องจากทั้งคู่ต่างงานยุ่ง พวกเขาจึงระงับเรื่องนี้ไว้ชั่วคราว
ในเวลานี้ เจียงเสี่ยวไป๋พูดถึงมันและฟู่เต๋อเจิงก็จำได้
เขามองเจียงเสี่ยวไป๋ และทันใดนั้นเขาก็พูดว่า “เอาล่ะ วันนี้ฉันจะจัดจ้างแผนกโฆษณาจากภายนอก หากคุณทำได้ไม่ดี อย่ามาโทษฉันทีหลังนะ ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋ชะงักไปเล็กน้อย แล้วถึงดีใจ
ถึงแม้ว่าเขามักจะชอบปะทะฝีปากกับฟู่เต๋อเจิง แต่นับว่าวันนี้เขาได้รับข่าวดี
ที่ผ่านมาเขาคิดว่าทางสำนักพิมพ์ของฟู่เต๋อเจิงคงไม่จัดจ้างแผนกโฆษณาจากภายนอกแล้ว
แต่ไม่คาดคิดว่าฟู่เต๋อเจิงจะเห็นด้วยจริง ๆ
“เอาล่ะ เรามาคุยเรื่องสัญญากันดีกว่า”
เจียงเสี่ยวไป๋สงบอารมณ์ของเขาลง
เขามักจะทำทุกอย่างที่เขาต้องการและพิถีพิถันในการทำงาน นี่คือสไตล์การทำงานของเจียงเสี่ยวไป๋ และสิ่งนี้เองที่เป็นเหตุผลให้ฟู่เต๋อเจิงและรองนายกเทศมนตรีจางทั้งรักทั้งหมั่นไส้เขาเช่นกัน
ฟู่เต๋อเจิงยิ้มและพูดว่า “เราไม่สามารถทำสัญญาจัดจ้างให้แล้วเสร็จได้ในระยะเวลาอันสั้น ทำไมคุณไม่บอกฉันก่อนล่ะว่ามาหาฉันมีธุระอะไร”
เจียงเสี่ยวไป๋พูดตัดบทว่า “ไม่มีธุระอะไรแล้วครับ ! ”
ฟู่เต๋อเจิงตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง: ไม่มีธุระอะไรแล้วหมายความว่าตอนแรกมีธุระน่ะสิ !
เมื่อมองไปที่เฉินอันผิงที่ตามเจียงเสี่ยวไป๋มา เขาเดาว่าผู้ชายคนนี้น่าจะมาพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องธุรกิจโฆษณาแน่นอน
เพียงแต่พอได้ยินเรื่องจัดจ้างแผนกโฆษณาจากภายนอก เขาจึงเปลี่ยนความสนใจไปชั่วคราว
เขาพูดด้วยรอยยิ้มเหยเกว่า “คุณทำเงินได้มากมายขนาดนั้น ยังจะมาปกป้องธุรกิจโฆษณาเล็ก ๆ เหมือนเด็กน้อยไปทำไม ไม่อย่างนั้นเรา……” เขาชี้ไปที่เฉินอันผิง แล้วพูดต่อ “เรามาคุยเรื่องธุรกิจโฆษณาของคุณผู้ชายท่านนี้ก่อน แล้วค่อยคุยเรื่องเซ็นสัญญาดีไหม ? ”
“ไม่มีธุรกิจโฆษณาอะไรทั้งนั้นครับ ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋เห็นว่าฟู่เต๋อเจิงมองออกถึงจุดประสงค์ของเขา จึงปฏิเสธไปอย่างเด็ดขาด
เขาทำทีเป็นตบหน้าผากตัวเองด้วยสีหน้าใสซื่อ แล้วพูดว่า “อ้อ ผมลืมแนะนำคุณให้รู้จัก นี่เฉินอันผิงจากโรงงานฟิล์มพลาสติก เขาไม่ได้มาที่นี่เพื่อคุยธุรกิจโฆษณา ผมแค่เล่าเรื่องบางอย่างให้เขาฟัง แต่เขายังฟังไม่จบเลยตามผมมาที่นี่ก็เท่านั้น”
พูดจบ เขาก็ยักไหล่
เฉินอันผิง: “……”
ฟู่เต๋อเจิงกลอกตาใส่เจียงเสี่ยวไป๋: นี่คิดว่าฉันรู้จักคุณเป็นวันแรกงั้นหรือ ?
อย่างไรก็ตาม เขาขี้เกียจเกินกว่าจะคุยกับเจียงเสี่ยวไป๋แล้ว
ท้ายที่สุดแล้วมันเป็นเพียงธุรกิจโฆษณา แม้หลังจากเซ็นสัญญากับเจียงเสี่ยวไป๋เพื่อจัดจ้างแผนกโฆษณาจากภายนอกแล้ว มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหากแผนกโฆษณาจะมอบธุรกิจให้กับทางสำนักพิมพ์
ดังนั้น ทั้งสองจึงเจรจากันเรื่องสัญญาจัดจ้างแผนกโฆษณา
ในระหว่างนี้ เจียงเสี่ยวไป๋ได้อธิบายให้ฟู่เต๋อเจิงฟังถึงเลย์เอาต์ ข้อมูลจำเพาะ ลักษณะและรูปแบบของโฆษณาในหนังสือพิมพ์ที่แตกต่างกันทีละประเด็น และยังกำหนดราคาตามสถานการณ์ปัจจุบันด้วย
แน่นอนว่าราคาที่เขาพูดถึงนี้ เป็นราคาที่แผนกโฆษณาจะจ่ายให้กับสำนักพิมพ์
ส่วนราคาที่แผนกโฆษณาคิดลูกค้าให้ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของแผนกโฆษณาเอง
สิ่งนี้ทำให้เจียงเสี่ยวไป๋มีช่องว่างในการทำสิ่งต่าง ๆ ได้มากมาย
แต่ฟู่เต๋อเจิงไม่ยอมอ่อนให้เช่นกัน เขาเสนอให้เซ็นสัญญาจัดจ้างเป็นรายปี และเจรจาราคาโฆษณาปีต่อปี
แต่เจียงเสี่ยวไป๋จะไม่ทำอย่างนั้นแน่นอน
การโฆษณาทางหนังสือพิมพ์ไม่สามารถทำกำไรได้มากนักในช่วง 2-3 ปีแรก และเขาไม่ได้คาดหวังว่าจะทำเงินได้มากมายขนาดนั้น เหตุผลที่เขาอยากทำแผนกโฆษณา เพราะเขามองเห็นพลังของสื่อโฆษณาในอนาคต ฟู่เต๋อเจิงต้องการเซ็นสัญญาจัดจ้างแผนกโฆษณาภายนอกกับเขาเป็นเวลา 1 ปี ดังนั้นเขาอาจรอให้ดำเนินการไปก่อนสัก 2-3 ปี แล้วค่อยเซ็นสัญญาแบบนั้น
“ประธานฟู่ การตีตลาดต้องใช้เวลานะครับ ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋พูดด้วยสีหน้าขมขื่นว่า “คุณคงไม่รอให้ผมปลุกกระแสตลาดโฆษณาขึ้นมาได้แล้ว สำนักพิมพ์ก็จะเหยียบผมขึ้นไปหรอกนะ ! ”
ฟู่เต๋อเจิงพูดอย่างใจเย็นว่า “มันจะไม่เกิดขึ้นแน่นอน ! ”
เขารู้นิสัยของเจียงเสี่ยวไป๋เป็นอย่างดี
คนหนุ่มคนหนึ่งที่หากไม่มีผลประโยชน์จะไม่ยอมทำอะไรได้พุ่งเป้าอยากเข้ามาดูแลแผนกโฆษณาของสำนักพิมพ์แบบนี้ นั่นหมายความว่าภายในนั้นจะต้องมีผลกำไรมหาศาลแน่นอน
นอกจากนี้ เขาคิดว่าหลังจากการปฏิรูปและเปิดตลาดแล้ว ตลาดจะมีความกระตือรือร้นมากขึ้นเรื่อย ๆ และเศรษฐกิจในประเทศก็จะขยายตัวใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ เขาจึงเสนอว่าจะเซ็นสัญญาจัดจ้างหน่วยงานภายนอกเป็นรายปี เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของสำนักพิมพ์เอง และเขาไม่ต้องการที่จะติดกับดักของเจียงเสี่ยวไป๋ด้วย
ทั้งสองเถียงกันอยู่พักหนึ่ง ในที่สุดพวกเขาก็ได้ข้อสรุปเซ็นสัญญาจัดจ้างแผนกโฆษณาจากภายนอก โดยจะเซ็นสัญญาราย 10 ปี อย่างไรก็ตาม ราคายุติที่แผนกโฆษณาเสนอจ่ายให้กับสำนักพิมพ์จะปรับตามสัดส่วนการจำหน่ายหนังสือพิมพ์ของทุกปี โดยอิงจากกระแสราคาในปัจจุบัน ในขณะเดียวกัน หากแผนกโฆษณามีรายได้เกิน 1 เท่าของจำนวนเงินที่แผนกโฆษณาจ่ายเป็นค่าธรรมเนียมให้กับสำนักพิมพ์ เงินรายได้ส่วนเกินนั้น ให้แผนกโฆษณาแบ่งกับสำนักพิมพ์ในอัตราส่วน 70-30
เจียงเสี่ยวไป๋อดไม่ได้ที่จะด่าทอฟู่เต๋อเจิงอยู่ในใจ โทษฐานที่จิ้งจอกเฒ่าคนนี้กระชับเงื่อนไขของสัญญาอย่างเข้มงวด
ฟู่เต๋อเจิงรู้สึกดีใจอย่างลับ ๆ: จิ้งจอกหนุ่มจะมาสู้จิ้งจอกเฒ่าได้อย่างไร เขายังเด็กนัก
อืม ฉันยอมให้คุณทำกำไรจากเรื่องเหล่านี้ได้ จะทำรายได้เป็นกอบเป็นกำก็ไม่ว่า แต่อย่าคิดอุบไว้กินคนเดียวเด็ดขาด
หลังจากเหตุการณ์นี้ เจียงเสี่ยวไป๋ก็เริ่มตื่นตัวเช่นกัน
เหตุผลที่การเจรจาเรื่องสัญญาจัดจ้างแผนกโฆษณาจากภายนอกเป็นเรื่องยากนั้น เพราะฟู่เต๋อเจิงรู้จักเขาดีเกินไป
มันไม่ใช่เรื่องดีเลยที่คู่ต่อสู้จะรู้จักคุณดีเกินไป
ในอนาคต เราต้องทำสิ่งต่าง ๆ ด้วยความละเอียดอ่อนและอย่าให้คู่ต่อสู้รู้มากเกินไปเกี่ยวกับนิสัย บุคลิกภาพ และแม้แต่ความคิดของเราเอง
แม้ว่าเขาจะได้รับสัญญาจ้าง แต่เจียงเสี่ยวไป๋ก็ไม่สนใจและพูดกับฟู่เต๋อเจิงว่า “งานแรกของแผนกโฆษณาคือ การทำคอนเทนต์แฝงโฆษณาให้กับโรงงานฟิล์มพลาสติก”
ปากของฟู่เต๋อเจิงกระตุกอย่างรุนแรง
ก่อนหน้านี้ใครบอกว่าไม่ได้มาที่นี่เพื่อหารือเกี่ยวกับธุรกิจโฆษณา ?
สัญญาจ้างแผนกโฆษณาภายนอกเพิ่งได้ข้อสรุปไป เจ้าเด็กหนุ่มคนนี้กลับเปลี่ยนคำพูดแล้วหรือ ช่างกล้านะ !
เขามองไปที่เจียงเสี่ยวไป๋อย่างหมดคำจะพูด แล้วถามว่า “คุณจะทำโฆษณาอะไร ? ”
ก่อนหน้านี้ ตอนที่เจียงเสี่ยวไป๋บอกเขาเกี่ยวกับการจำแนกประเภทโฆษณา เจียงเสี่ยวไป๋ได้พูดถึงคอนเทนต์แฝงโฆษณากับการโฆษณาโดยตรง เพียงแต่เขาไม่รู้จริง ๆ ว่าทั้งสองประเภทนี้มีความแตกต่างกันอย่างไร
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “คุณช่วยผมแต่งบทความสัก 2-3 เรื่องก็ได้ ประเด็นสำคัญคือผู้คนไม่สะดวกเวลานำของที่ซื้อมาแล้วกลับบ้าน แล้วลงหนังสือพิมพ์ในรูปแบบข่าวหรือหัวข้อพิเศษ จุดประสงค์คือ เพื่อสร้างกระทู้หรือคอนเทนต์ให้เกิดการถกเถียงกันอย่างดุเดือด กระตุ้นให้ผู้ค้าเหล่านั้นปรับปรุงการรับรู้ด้านบริการและคุณภาพการบริการทั้งทางตรงและทางอ้อม จนสามารถแก้ปัญหาเรื่องคนซื้อของแล้วนำกลับบ้านไม่สะดวกได้ในที่สุด”
ฟู่เต๋อเจิงตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง แล้วอุทานออกมาว่า “ยอดเลย ! ”
ที่แท้การโฆษณาก็สามารถเล่นลูกเล่นแบบนี้ได้ด้วย
รองนายกเทศมนตรีจางพูดไม่ผิด การจัดจ้างแผนกโฆษณาภายนอกของเจียงเสี่ยวไป๋สามารถทำให้พวกเขาเห็นสิ่งที่แตกต่างออกไป
เขาเกิดความสนใจและอยากรู้มาก “โรงงานฟิล์มพลาสติกของคุณมีผลิตภัณฑ์ตัวใหม่อะไร ? ทำไมถึงสามารถแก้ปัญหาเวลาลูกค้าซื้อของแล้วไม่สะดวกนำกลับบ้านได้”
เจียงเสี่ยวไป๋มองไปที่เฉินอันผิง เฉินอันผิงจึงหยิบตัวอย่างถุงพลาสติกสะดวกซื้อออกมา แล้วมอบให้ฟู่เต๋อเจิง
“ประธานฟู่ นี่คือผลิตภัณฑ์ใหม่ของเรา มันคือถุงพลาสติกสะดวกซื้อ ! ”
ฟู่เต๋อเจิงหยิบมันขึ้นมาดูแล้วก็ตกตะลึง
ถุงพลาสติกสะดวกซื้อมีน้ำหนักเบา จับนุ่มมือ ถ้าขยำเป็นลูกบอลก็จะมีขนาดประมาณกระดาษแผ่นหนึ่ง เมื่อกางออกจะกลายเป็นถุงใสที่มีความยาวประมาณ 30 เซนติเมตร กว้างประมาณ 10 กว่าเซนติเมตร สูงประมาณ 40 กว่าเซนติเมตร สามารถมองเห็นสิ่งของที่อยู่ข้างในถุงพลาสติกสะดวกซื้อได้
“ใส่ของได้หนักแค่ไหน ? ”
ฟู่เต๋อเจิงอดไม่ได้ที่จะสงสัย สาเหตุหลักมาจากถุงพลาสติกสะดวกซื้อดูบางและเบาเกินไป
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้มและพูดว่า “ใส่ของไปเป็นสิบชั่งก็ไม่มีปัญหา”
ฟู่เต๋อเจิงดูจะไม่เชื่อ ดังนั้นเขาจึงหยิบหนังสือสิบกว่าเล่มออกจากตู้หนังสือของเขา แล้วใส่ลงในถุงพลาสติกสะดวกซื้อ จากนั้นเขาลองยกมันขึ้นมาแล้ว ปรากฏว่ามันไม่มีปัญหาอะไรจริง ๆ
ดวงตาของเขาเปล่งประกายขึ้นมาในทันที ถุงใบนี้เรียกว่าถุงพลาสติกสะดวกซื้อ ซึ่งมันสะดวกมากจริง ๆ