ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 232 กุญแจไปสู่ความมั่งคั่ง
- Home
- All Mangas
- ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล)
- ตอนที่ 232 กุญแจไปสู่ความมั่งคั่ง
ตอนที่ 232 :กุญแจไปสู่ความมั่งคั่ง
บนโต๊ะอาหาร หลังจากคุยกันไปคุยกันมา สุดท้ายต่างฝ่ายต่างตกเป็นจำเลยของกันและกัน
ผลสุดท้ายไม่มีใครเอาเปรียบใครได้เลย
หลังจากงานเลี้ยงจบลง หลินต้าเหว่ยก็หยิบบุหรี่จงฮั๋วขึ้นมาและพูดกับเจียงเสี่ยวไป๋ว่า “ไปเดินเล่นในสวนหลังบ้านของลูก แล้วพูดคุยเรื่องนิคมอุตสาหกรรมกันเถอะ”
เจียงเสี่ยวไป๋กลับไม่อยากคุยแล้ว
“พ่อครับ พ่อมาเที่ยวบ้านผม ไม่ใช่มาดูงานนะครับ”
“หยุดพูดเรื่องงานได้แล้ว ! ”
จากนั้น เขาก็ชี้ไปที่หลิวอี้ถิง “ทำไมพ่อไม่พาแม่ไปเดินเล่นในสวนหลังบ้านล่ะ ? ! ”
หลังจากได้ยินคำพูดของเจียงเสี่ยวไป๋ เธอจึงพูดออกไปว่า “เสี่ยวไป๋ ลูกกับพ่อไปคุยเรื่องงานกันเถอะ แม่จะพาชานชานไปเดินเล่น”
เธอยังต้องการให้เจียงเสี่ยวไป๋ตั้งโรงงานที่เจี้ยนหยาง
เธอจึงสนับสนุนสามีของเธอ
เจียงเสี่ยวไป๋ได้ยินเช่นนี้ จึงรีบพูดว่า “แม่ครับ เรื่องเปิดโรงงานเมล็ดแตงยังไม่รีบร้อน”
เขาไม่รีบร้อน แต่หลินต้าเหว่ยร้อนใจ
เรื่องนี้ต้องได้ข้อสรุปก่อนที่พวกเขาจะกลับไปที่เจี้ยนหยาง ไม่เช่นนั้นหากจางอี้เต๋อรู้เรื่องนี้ มีหวังความฝันของเขาได้ถูกช่วงชิงไปแน่
เขาจึงเริ่มบ่นลูกเขยในใจ: เจ้าเด็กตัวเหม็น กล้าเอาเปรียบได้แม้กระทั่งคนแก่ !
เขามองไปที่เจียงเสี่ยวไป๋อยู่นาน เขาไม่รู้จริง ๆ ว่าทำไมลูกเขยคนนี้ถึงรู้วิธีการเจรจาตั้งแต่อายุยังน้อย
ไม่สิ !
เขาไม่เพียงแต่เชี่ยวชาญด้านการเจรจาเท่านั้น แต่เขายังมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับกฎหมายเศรษฐกิจที่ล้ำหน้าไปไกลมาก และเขายังเชี่ยวชาญ……..กุญแจไปสู่ความมั่งคั่งอีกด้วย
ถูก !
มันคือ ‘กุญแจสู่ความมั่งคั่ง ! ’
ทันใดนั้น หลินต้าเว่ยก็รู้สึกว่าคำนี้เหมาะสมที่สุด
เพราะไม่ว่าจะเป็นวิธีทำเมนูกุ้งเครย์ฟิช วิธีการทอดเมล็ดแตงโม 5 รส สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่นวัตกรรมทางเทคโนโลยีแล้ว แต่มันคือกุญแจสู่ความมั่งคั่ง
เมื่อพิจารณาถึงความนิยมของกุ้งอบน้ำมันในปัจจุบันและความสำเร็จของกิจการแฟรนไชส์ ล้วนสามารถนำไปสู่ความมั่งคั่งได้อีกเช่นกัน
ขนาดร้านขายกุ้งเครย์ฟิชยังทำได้ เมล็ดแตงโม 5 รสย่อมสามารถทำได้ด้วยเช่นกัน
หลินต้าเหว่ยมีความตั้งใจมากขึ้นเรื่อย ๆ ที่จะให้เจียงเสี่ยวไป๋ขยายกิจการไปที่เจี้ยนหยาง
“เอาล่ะ พื้นที่แค่ 5,000 เฮกตาร์ไม่ใช่หรือ ? ”
“ตราบใดที่แผนของลูกใช้งานได้จริงและเป็นไปได้ เราย่อมสามารถพูดถึงเรื่องนี้ได้”
“อืม เวลาคนอื่นต้องการพูดคุยหรือรายงานอะไรให้พ่อรู้ พวกเขาต้องนัดเวลาถึงจะได้พูดคุย แต่พ่อเป็นฝ่ายมาเจรจากับลูกก่อน แถมยังไม่ระบุเวลาด้วย ลูกยังไม่ยอมเจรจาอีกหรือ ! ”
หลินต้าเหว่ยยอมจำนนแล้ว เจียงเสี่ยวไป๋จึงเต็มใจที่จะคุย
อย่างไรก็ตาม เขาได้ถือโอกาสหยิบยกเงื่อนไขขึ้นมา
“พ่อครับ เหล้าข้าวโพดเจี้ยนหยางที่ผลิตในปี 1980 และปี 1981 จำนวน 5,000 ขวดนั้นขายให้กับผมทั้งหมดเลยได้ไหม ? ”
เหล้าข้าวโพดเจี้ยนหยางขวดละ 1.1 หยวนเท่านั้น ต่อให้มีเป็นหนึ่งหมื่นขวดก็แค่ 11,000 หยวนเท่านั้น
เงินจำนวนนี้ไม่ได้มากเกินไปสำหรับเจียงเสี่ยวไป๋
หลินต้าเหว่ยหนังตากระตุก ลูกเขยของเขาช่างรวยเสียจริง
เขาไม่เคยเห็นใครซื้อเหล้ามากมายในคราวเดียวขนาดนี้มาก่อน
เขาจะดื่มมันหมดหรือ ?
แต่เนื่องจากเจียงเสี่ยวไป๋จ่ายเงินซื้อ หลินต้าเหว่ยจึงตกลงที่จะช่วยประสานงานกับโรงกลั่นเหล้าเจี้ยนหยางให้ เพราะไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามที่มาซื้อ โรงกลั่นเหล้าล้วนได้เงิน ไม่ใช่ให้ฟรี ๆ เสียหน่อย
เมื่อพ่อตารับปากแล้ว เรื่องการซื้อเหล้าข้าวโพดเจี้ยนหยางจึงถือเป็นอันตกลงตามนี้
เจียงเสี่ยวไป๋อารมณ์ดีและให้คำแนะนำหลินต้าเหว่ยโดยตรง โดยขอให้เขาใช้นิคมอุตสาหกรรมเป็นช่องทางหลักในการพัฒนาเศรษฐกิจของอำเภอ และบอกนโยบายและวิธีการลงทุนบางอย่างในอนาคตให้เขาฟัง
เมื่อได้ยินดังนั้น หลินต้าเว่ยก็รู้สึกตื่นเต้น
ถูกต้องแล้วที่เขายืนกรานจะให้ลูกเขยของเขาขยายกิจการไปที่เจี้ยนหยาง !
เขามองเจียงเสี่ยวไป๋ด้วยสายตาที่ซับซ้อน เขาไม่รู้จริง ๆ ว่าในหัวของลูกเขยคนนี้มีอะไรอยู่ ทำไมเขาถึงได้มีความรู้มากมายขนาดนี้
เฮ้อ……ดูเหมือนว่าในตอนนั้นเขาจะเข้าใจลูกเขยผิดไปอย่างสิ้นเชิง
เขาคิดว่าลูกเขยของเขาเป็นเด็กยากจนที่ไม่มีอนาคต แต่เขาไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วลูกเขยของเขามีพรสวรรค์ที่ยอดเยี่ยม
การที่ลูกสาวได้แต่งงานกับลูกเขยคนนี้เปรียบเสมือนเขาเก็บสมบัติล้ำค่าได้
“หลังจากที่พ่อกลับไป พ่อจะจัดประชุมทีมงานเพื่อสรุปเรื่องของนิคมอุตสาหกรรมโดยเร็วที่สุด”
“สำหรับที่ดิน 5,000 เฮกตาร์ที่ลูกพูดถึง พ่อเห็นด้วย แต่การตัดสินใจขั้นสุดท้ายจะต้องผ่านที่ประชุมเท่านั้น” หลินต้าเหว่ยกล่าว
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้มและพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นผมจะรอข่าวดีของพ่อ”
ไม่มีคำพูดใดเพิ่มเติม
วันรุ่งขึ้น ครอบครัวของหลินต้าเหว่ยเข้าเมืองด้วยรถของเจียงเสี่ยวไป๋ จากนั้นคนขับรถก็จะมารับพวกเขาและพากลับไปที่อำเภอเจี้ยนหยาง
เจียงเสี่ยวไป๋และหลินเจียอินกลับมาทุ่มเทให้กับงานของตนเองเช่นกัน
ในด้านของหลินเจียอินนั้น งานหลักของเธอในตอนนี้คือการหานักลงทุนมาร่วมเปิดแฟรนไชส์กุ้งอบน้ำมันทั้งสองแบรนด์ ส่วนกิจการร้านขายพะโล้กำลังขยายตัวเช่นกัน
ในด้านของเจียงเสี่ยวไป๋ โรงงานฟิล์มพลาสติกกำลังเข้าที่เข้าทางแล้ว ส่วนโรงงานผลิตเครื่องปรุงรสได้นำถุงบรรจุภัณฑ์พลาสติกที่ผลิตโดยโรงงานฟิล์มพลาสติกชิงโจวมาใช้ ซึ่งช่วยแก้ปัญหาอายุการเก็บรักษาของเครื่องปรุงรสกุ้งอบน้ำมันสูตรลับ เตรียมพร้อมสำหรับการผลิตเป็นจำนวนมาก
อุปกรณ์และเครื่องจักรที่จำเป็นสำหรับโรงงานผลิตและแปรรูปผลิตภัณฑ์ถั่วเหลืองได้ถูกสั่งจองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว อุปกรณ์และเครื่องจักรจะถูกจัดส่งไปติดตั้งหลังจากสร้างโรงงานเสร็จ
ทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่น
เจียงเสี่ยวไป๋กำลังวิเคราะห์ความคิดของเขา สิ่งที่ต้องแก้ไขในปัจจุบันคือการขายถุงพลาสติกสะดวกซื้อ
อืม มีถุงบรรจุภัณฑ์อาหารด้วย สิ่งเหล่านี้ไม่เพียงแต่จะใช้ในโรงงานผลิตเครื่องปรุงรสของเขาเองเท่านั้น แต่เขายังต้องนำออกมาขายในตลาดอีกด้วย
เพราะกุ้งจะหมดฤดูกาลและขาดตลาดในอีกสองเดือนแล้ว
หากไม่มีคำสั่งซื้อใหม่ ไลน์ผลิตสามของโรงงานฟิล์มพลาสติกจะต้องหยุดการผลิตภายในสิ้นเดือนกันยายนนี้
เจียงเสี่ยวไป๋เรียกเฉินอันผิง หัวหน้าฝ่ายขายให้มาพบ
“หัวหน้าเฉิน คุณมีแผนอย่างไรในการขายผลิตภัณฑ์ใหม่ของเรา ? ”
เฉินอันผิงได้ยินคำถาม จึงตอบกลับไปว่า “ในเมืองชิงโจวมีกิจการอาหารไม่มากนัก ตลาดค่อนข้างเล็ก ผมได้ติดต่อกับบริษัทหลายแห่งแล้ว แต่พวกเขายังไม่ตอบกลับ”
“ส่วนถุงพลาสติกสะดวกซื้อ……” เฉินอันผิงส่ายหัว “ผมไม่รู้ว่าจะเริ่มจากตรงไหน”
เจียงเสี่ยวไป๋ไม่แปลกใจกับเรื่องนี้
ที่ผ่านมา ปกติฝ่ายขายจะทำหน้าที่แค่ติดต่อกับหน่วยงานต่าง ๆ คล้ายกับเครื่องส่งสาร พวกเขามักจะไม่มีทักษะการขาย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงกลยุทธ์การขายเลย
โชคดีที่เขาไม่คาดหวังให้คนจากแผนกขายมาวางแผน
เพราะเขามีแผนอยู่แล้ว
แต่การดำเนินการยังขึ้นอยู่กับคนในแผนกขาย
หลังจากมองไปที่เฉินอันผิง เจียงเสี่ยวไป๋ก็พูดว่า “คนทำแผนกขายจะต้องเล่าเรื่องเป็น”
เฉินอันผิงมองเขาด้วยความงุนงง: ? ? ?
เขาสับสนจริง ๆ ลูกค้าไม่ใช่เด็กอนุบาลและพนักงานขายก็ไม่ใช่ครูอนุบาล ฉะนั้นทำไมคนในแผนกขายจะต้องเล่าเรื่องเป็น ?
ลูกค้าจะมาฟังเรื่องเล่าของเราหรือ ?
“ผู้ช่วยเจียง แล้วพวกผมจะต้องเล่าเรื่องอะไร ? ” เฉินอันผิงอดถามไม่ได้
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้มโดยไม่พูดอะไร และพาเฉินอันผิงออกจากโรงงานฟิล์มพลาสติกไปกับเขา
ในไม่ช้า รถของเจียงเสี่ยวไป๋ก็มาถึงประตูสำนักข่าวรายวันชิงโจว
เฉินอันผิงยิ่งไม่เข้าใจเข้าไปใหญ่ เขาจะมาเล่าเรื่องที่นี่หรือ ? ทำไมถึงต้องพาผมมาสำนักข่าวรายวันชิงโจวด้วย ?
เขาเป็นนักอ่านหนังสือพิมพ์เช่นกัน แต่เขาเห็นแต่ข่าวในหนังสือพิมพ์และไม่เคยเห็นเรื่องเล่าในหนังสือพิมพ์มาก่อน
ชายชราที่เป็นยามเฝ้าประตูคุ้นเคยกับเจียงเสี่ยวไป๋ดี เมื่อเขาเห็นรถของเจียงเสี่ยวไป๋ เขาก็ปล่อยผ่านแล้วพูดทักทาย: “เถ้าแก่เจียง คุณมาอีกแล้วหรือ ! วันนี้คุณมาหาประธานฟู่หรือผู้จัดการเซี่ยงล่ะครับ ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋หยุดรถและยื่นบุหรี่ยี่ห้อจงฮั๋วให้ชายชรา “ผมมาหาประธานฟู่ เขาอยู่ที่นี่หรือเปล่า ? ”
“อยู่ครับ ! ”
“ขอบใจนะ ผมจะไปหาเขาก่อน”
เจียงเสี่ยวไป๋จอดรถแล้วพาเฉินอันผิงไปที่ห้องทำงานของฟู่เต๋อเจิง
“โอ้ เถ้าแก่เจียง แขกผู้หาตัวยากของฉัน ! ”
เมื่อเห็นเจียงเสี่ยวไป๋ ฟู่เต๋อเจิงจึงแซวและรู้สึกแปลกใจไปด้วย
เขาดื่มเหล้าไปมากเมื่อวันก่อน และวันนี้เขายังคงปวดหัวอยู่ ท้องไส้ของเขากำลังปั่นป่วนจนทำให้เขารู้สึกเหมือนกินถั่วลิสงมากเกินไป ตอนนี้เขากำลังรู้สึกไม่สบายตัวอย่างมาก
เจียงเสี่ยวไป๋ไม่ได้รู้สึกไม่พอใจ เขาดึงเก้าอี้ขึ้นมาแล้วนั่งลงหน้าโต๊ะของฟู่เต๋อเจิง แล้วพูดอย่างใจเย็นว่า “ที่ผมเป็นแขกที่หาตัวยากก็ต้องโทษคุณนั่นแหละ”
มุมปากของฟู่เต๋อเจิงกระตุก เขาหัวเราะแล้วพูดว่า “ทำไมคุณถึงมาที่นี่ได้ล่ะ ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “ผมไม่ได้บอกคุณก่อนหน้านี้หรือ ? เรื่องจัดจ้างให้ผมทำแผนกโฆษณา แต่คุณก็ยังไม่ยอมตอบตกลงผมสักที”
“หากผมเป็นหัวหน้าฝ่ายโฆษณาของคุณ ผมจะต้องรายงานความคืบหน้าของงานกับเจ้านายอย่างคุณทุกวันแน่นอน”