ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 226 ขวัญถุง
ตอนที่ 226 :ขวัญถุง
ในการดื่มด้วยกันครั้งนี้ ในที่สุดฟู่เต๋อเจิงและคนอื่นก็รู้แล้วว่าวัฒนธรรมการดื่มคืออะไร
จะเมามากเมาน้อยขึ้นอยู่กับศิลปะในการดื่มของแต่ละคน
แล้วแบบนี้จะโน้มน้าวหรือเผชิญหน้ากับความหน้าด้านของเจียงเสี่ยวไป๋ได้อย่างไร
ฟู่เต๋อเจิง หวังเต๋อคุน เฉียนฟางอี้ และคนอื่น ๆ ต่างยอมแพ้ และก็แอบสาบานในใจว่าจะต้องศึกษาศิลปะในการโน้มน้าวผู้อื่นให้ดื่มหลังจากที่กลับบ้านไปให้ได้
มิฉะนั้น หากมีการดื่มสังสรรค์กับเจียงเสี่ยวไป๋ในครั้งต่อไป เขาคงจะต่อรองอะไรไม่ได้เหมือนอย่างวันนี้
เจียงเสี่ยวไป๋ : คิดจะดื่มเหล้า ก็อย่ากลัวเสือ ?
หลังจากนั้นไม่นาน ฟู่เต๋อเจิงและคนอื่นก็รีบไปที่ห้องพิธีทันที เพื่อเขียนอวยพรและใส่ซองขวัญถุง หากว่าถ้าช้ากว่านี้อาจจะเมาหัวราน้ำ และคงดูไม่ดีหากว่าไปแอบหลับในห้องพิธี
คนกลุ่มใหญ่เดินไปที่ห้องพิธี เมื่อเข้ามาพวกเขาก็เห็นรองนายกเทศมนตรีจาง
รองนายกเทศมนตรีจางเมามากแล้ว เขายังพูดด้วยรอยยิ้มว่า “มองมาที่ฉันทำไม รีบเขียนคำอวยพรและใส่ซองสิ ! ”
หวังเต๋อคุนและคนอื่นยิ้มอย่างเขินอาย และพูดอะไรไม่ออก
รองนายกเทศมนตรีจางเดินไปที่โต๊ะบัญชี หยิบธนบัติสิบหยวน 20 ใบที่เขาเตรียมไว้ออกมา แล้วพูดว่า “จางอี้เต๋อ สองร้อย ! ”
ช่างไม้ถานที่เขียนบัญชีรู้สึกตกใจที่ได้เงิน 200 หยวน นี่เป็นเงินขวัญถุงที่มากที่สุดที่เคยเจอมา
อย่างไรก็ตาม เขารู้จักตัวตนของรองนายกเทศมนตรีจางมาเป็นเวลานาน แม้ว่าเขาจะแปลกใจ แต่เขาก็รีบเขียนมันลงไปในบัญชีรายชื่อทันที: เงินขวัญถุงจางอี้เต๋อ 200 หยวน !
ตัวชื่อถูกเขียนเป็นแนวตั้งลงมา โดยมีเลข 200 เขียนเป็นตัวเล็ก ๆ อยู่ด้านล่าง
เจียงเสี่ยวฉินรับเงินและยื่นบุหรี่ต้าเฉียนเหมินหนึ่งซองให้กับเขา
นี่คือของขวัญสำหรับแขกที่นำเงินขวัญถุงมาให้
ตามมารยาท เมื่อแขกที่มาร่วมงานเลี้ยงให้ขวัญถุง เจ้าบ้านจะมอบสิ่งของเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่น เมล็ดแตงโมหนึ่งซอง ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัว บุหรี่เป็นต้น เพื่อขอบคุณแขกที่มาร่วมงาน
โดยทั่วไปแล้ว ของขวัญที่จะนำมาแจกจะขึ้นอยู่กับสถานะของแขกที่มาร่วมงาน
ตัวอย่างเช่น ผู้ที่มีสถานะใหญ่โตทางสังคมก็จะได้รับของขวัญชิ้นใหญ่ ผู้ที่มีสถานะปานกลางก็จะได้รับของขวัญที่น้อยกว่า และบางรายอาจจะไม่ได้รับของขวัญเลย
รองนายกเทศมนตรีจางหยิบบุหรี่ขึ้นมา จากนั้นก็รีบเดินออกจากห้องพิธีโดยไม่รอฟู่เต๋อเจิงและคนอื่น
เพราะมันเป็นของขวัญที่เขาสมควรได้รับ
หากเขายังอยู่ที่นี่ ฟู่เต๋อเจิง หวังเต๋อคุน และเฉียนฟางอี้อาจจะรู้สึกอิจฉาที่เห็นเขาได้ของขวัญชิ้นนี้
ทันทีที่เขาจากไป หวังเต๋อคุนและคนอื่นก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ถ้ารองนายกเทศมนตรีจางอยู่ที่นี่ คงไม่เหมาะสมหากว่าจะใส่ซองมากกว่าเขา
ฟู่เต๋อเจิงมอบขวัญถุงให้ 200 หยวนเช่นกัน
เมื่อถึงคราวของหวังเต๋อคุน เขาก็หยิบธนบัตรสิบหยวนออกมาหนึ่งปึก และพูดกับช่างไม้ถาน “หวังเต๋อคุน 200 หยวน”
ช่างไม้ถานเขียนลงไปตามนั้น
หวังเต๋อคุนยังพูดต่ออีกว่า “หวังเต๋อเฉียน 500 หยวน ! ”
ช่างไม้ถานรู้สึกประหลาดใจขึ้นมาทันที มีคนใส่ซองมาถึง 500 หยวน และดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้มาร่วมงานด้วย นี่ถือเป็นเงินขวัญถุงที่มากที่สุดเชียวนะ
หลังจากที่ช่างไม้ถานเขียนเสร็จแล้ว หวังเต๋อคุนก็ตรวจสอบว่าเขียนถูกต้องไหม และมอบเงิน 700 หยวนที่เตรียมไว้ให้กับเจียงเสี่ยวฉินซึ่งเป็นผู้ดูแลเงิน
เจียงเสี่ยวฉินนับเงินอย่างรวดเร็ว ก่อนจะยืนยันว่าถูกต้องและยื่นของขวัญสองชิ้นให้กับหวังเต๋อคุน
หลังจากนั้น เฉียนฟางอี้ จูกั๋วฟู่ และคนอื่นก็มาทยอยลงชื่อมอบเงินขวัญถุง
ทุกคนเองก็ไม่ต่างจากหวังเต๋อคุน พวกเขาต่างมอบเงินขวัญถุงก้อนใหญ่ให้ เฉียนฟางอี้นำเงินมา 600 หยวน เพราะจูโหยวปินพี่เขยของเขาก็ฝากเงินให้เขามาใส่ซองด้วย ส่วนจูกั๋วฟู่นำเงินมา 500 หยวน เนื่องจากหลี่ผิงก็ฝากเงินเขามาเช่นกัน
หวังเต๋อเฉียน จูโหยวปิน และหลี่ผิงต่างก็ซื้อแฟรนไชส์กุ้งอบน้ำมันชิงเหอของเจียงเสี่ยวไป๋ ที่พวกเขาสามารถซื้อแฟรนไซส์ได้ เนื่องจากมีความสัมพันธ์ที่ดีกับหวังเต๋อคุนและคนอื่น ถึงได้รับคำแนะนำในการชิงสิทธิ์แฟรนไชส์มาจากเจียงเสี่ยวไป๋
ตั้งแต่ที่พวกเขาซื้อแฟรนไชส์กุ้งอบน้ำมันชิงเหอมาก็สามารถสร้างรายได้ได้หลายพันหยวนต่อวัน ดังนั้นเมื่อพวกเขารู้ว่าที่บ้านของเจียงเสี่ยวไป๋จะมีงานเลี้ยงฉลอง จึงฝากเงินเพื่อนมาใส่ซอง
มีคำกล่าวในชนบทบอกว่า ‘ผู้คนควรมีน้ำใจต่อกัน’ และการจะให้ของขวัญหรือไม่นั้นเป็นเรื่องรอง แต่นั่นเป็นเพียงคำพูดเท่านั้น
ความจริงก็คือต้องมีสินน้ำใจ แม้ว่าเจ้าตัวจะมาหรือไม่ก็ตาม
ถัดมาก็เป็นติงจวิ้นเจี๋ย ชิวเสี่ยวหยุน เหลียงซือฮุย หลี่หงจวิน เฉินเหมย โจวฉางซง และคนอื่น โดยที่พวกเขาใส่ซองตั้งแต่หนึ่งร้อยหยวนไปจนถึงสองร้อยหยวน ซึ่งทั้งหมดนี้ถือว่าเยอะไม่ต่างกัน
ในบรรดาคนกลุ่มนี้ เซี่ยงเฉียนจิ้นเป็นคนสุดท้ายที่ใส่ซอง
“เซี่ยงเฉียนจิ้น 1,200 หยวน”
ปากกาในมือของช่างไม้ถานสั่นกึก ๆ เล็กน้อย ชายคนนี้ช่างมีน้ำใจดีเหลือเกิน !
เจียงเสี่ยวฉินเองก็ตกใจเช่นกัน หากนับเงินขวัญถุงของคนกลุ่มนี้รวมกันคงมีมากถึง 7,000 หยวน
จนอดไม่ได้ที่จะแอบคิดในใจว่าลุงไห่หยางจะรู้สึกอย่างไร เมื่อรู้ว่าแขกที่มาร่วมงานใส่ซองให้เขาเยอะขนาดนี้ แค่เงินขวัญถุงเพียงอย่างเดียวก็เยอะมากพอแล้ว
หลังจากที่เซี่ยงเฉียนจิ้นจากไป แขกคนอื่นก็ทยอยเข้ามา
“คุณเขียนไปกี่รายชื่อแล้ว ? ”
ชายชราอายุหกสิบเศษเดินเข้ามาช้า ๆ แล้วถาม
ช่างไม้ถานเหลือบมองเขา เมื่อเห็นว่าเขาไม่ใช่คนในเจียงวาน เขาจึงยิ้มและพูดว่า “36 รายชื่อแล้วครับ ! ”
คนแรกที่มาใส่ซองจะเป็นรายชื่อที่หนึ่ง คนที่สองคือรายชื่อที่สอง จะเรียงลำดับกันไปตามนี้
โดยทั่วไป หนึ่งหน้ากระดาษจะเขียนได้ทั้งหมด 12 รายชื่อ
แต่บางคนนั้นถือเรื่องลำดับในบัญชีรายชื่อมาก
ตัวอย่างเช่น อย่าใส่ซองเป็นคนที่ 36
เพราะมีคำพูดตามชนบทว่า “สามสิบหกหัวติดอ่าง”
ความหมายตรงตัวของมันอยู่แล้ว มันสื่อความหมายไม่ดีนั่นเอง
ช่างไม้ถานเขียนบัญชีมานาน ย่อมรู้ดีเกี่ยวกับความเชื่อนี้ ทันทีที่ชายชราถาม เขาก็รู้ว่าแขกต้องการถามอะไร
ชายชราพยักหน้าแล้วพูดว่า “ขอฉันดูบัญชีรายชื่อหน่อยได้ไหม”
ไม่ใช่ว่าเขาไม่เชื่อใจช่างไม้ถาน แต่ผู้เฒ่าผู้แก่หลายคนชอบขอดูสมุดบัญชี เพื่อต้องการทราบว่าคนอื่นใส่ซองไปเท่าไหร่ ที่จะเอามาตัดสินใจว่าควรใส่ซองเท่าไหร่ดี โดยเฉพาะกับคนที่พวกเขารู้จัก เพื่อจะได้นำไปเปรียบเทียบกันได้
ช่างไม้ถานไม่ปฏิเสธ เพราะเห็นเป็นเรื่องปกติ เอายื่นสมุดบัญชีให้กับชายชราด้วยรอยยิ้ม
ชายชราเปิดดูสมุดบัญชี โดยเริ่มจากหน้าแรกแล้วพลิกดูหน้าต่อไปอย่างระมัดระวัง คนแรกใส่ซอง 12 หยวน คนต่อไปใส่ซอง 5 หยวน และยังมีคนที่ใส่มากถึง 20 หยวน
แน่นอนว่ายังมีคนที่ไม่ให้เงิน แต่ให้ข้าวโพด 100 ชั่ง ข้าวสาร 60 ชั่งเป็นต้น
“ให้ขวัญถุงกันเยอะขนาดนี้เชียวหรือ ? ”
ชายชราอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง
ชายชรายื่นสมุดบัญชีให้ช่างไม้ถานอย่างเงียบ ๆ และหยิบเงินสองสามหยวนออกมาและพูดอย่างประชดประชันว่า “หวังกุย 2 หยวน”
“ได้ ! ”
ช่างไม้ถานตอบและถามว่า “กุยตัวไหน ? ”
ชายชรากล่าวว่า “สะกดยังไงก็ได้”
เขาเป็นลูกพี่ลูกน้องของหวังซิ่วจวี๋ ที่มีอายุประมาณ 60 ปี คนในรุ่นของเขาอ่านหนังสือไม่ค่อยออก เพราะการศึกษาต่ำ บ้างก็ไม่มีการศึกษาและเขียนชื่อของตัวเองไม่ได้ด้วยซ้ำ ทุกคนเรียกเขาว่า ‘หวังกุย หวังกุย’ ตั้งแต่ยังเด็ก เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าชื่อของเขาสะกดคำว่ากุยแบบไหน ขอแค่ออกเสียงให้ถูกก็พอ
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ช่างไม้ถานเจอเรื่องแบบนี้ เขายิ้มและเขียนชื่อหวังกุยลงไปพร้อมกับจำนวนเงินที่ใส่ซอง
ด้วยความกังวลว่าชายชราจะไม่เข้าใจตัวพิมพ์ใหญ่ เขาจึงเขียนเลขอารบิค 2 ไว้ข้าง ๆ อย่างสวยงาม
หวังกุยพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ และมอบธนบัตรห้าเหมาสี่ใบให้กับเจียงเสี่ยวฉิน
เดิมทีเขาตั้งใจจะให้เพียง 1 หยวน แต่หลังจากดูสมุดบัญชีแล้ว เขาก็รู้สึกว่า 1 หยวนนั้นน้อยไป เขาจึงเพิ่มอีก 1 หยวน เป็น 2 หยวน
แม้ว่าเงินที่เขาใส่ซองจะน้อยสุดในบรรดาคนที่มาใส่ซอง แต่เขาก็รู้สึกว่าเขาได้พยายามอย่างดีที่สุดแล้วและรู้สึกสบายใจมากขึ้น
หลังจากรับของตอบแทนแล้ว หวังกุยจึงจากไปอย่างเงียบ ๆ