ถ้าผมเกิดใหม่ใน RPG? (So What if it’s an RPG World !?) - ตอนที่ 2
ตอนที่ 2 อาณาจักรเอส
แม้ผมจะไม่รู้ว่าอาณาจักรเอสกับสถาบันมีระยะห่างกันเท่าไร แต่สิ่งที่ผมรู้ก็คือ ขณะที่ผมกําลังทอดถอนใจเรื่องการบินที่นิ่มนวลของเรือเหาะลํานี้ เราก็มาถึงเมืองหลวงขอ งอาณาจักรเอส ‘เมืองคริสตัลบลู’
มองออกไปนอกหน้าต่าง ผมก็รู้สึกตื่นเต้นอย่างสุดจะทน
มองไปยังเมืองหลวงที่แทบจะมองไม่เห็น ภาพที่สามารถเห็นได้แค่ในเกมกลับมาปรากฏอยู่ต่อหน้าผมในตอนนี้
ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมต้องยั้งตัวเองไม่อยู่ คงอยากจะเดินเล่นให้ทั่วเมืองแล้วเสาะหากล่องสมบัติ ในแต่ละที่แน่ แต่โลกใบนี้ในตอนนี้กลับดูสมจริงอย่างมาก ถ้าไปหากล่องสมบัติคงถูกมองว่าเป็นขโมยแน่
เรือเหาะบินอ้อมรอบเมืองแล้วค่อยๆ ลดระดับลงบนพื้นที่โล่งหลังเมืองหลวง เมื่อมองออกไปนอกประตูเรือเหาะ สิ่งที่เห็นก็คือทหารและสาวใช้ที่ทําหน้าที่ต้อนรับยืนอยู่สองด้าน และตรงหน้าก็มีพ่อบ้านอยู่หนึ่งคน
“ในที่สุดองค์หญิงองค์หญิงก็กลับมาแล้ว! ในที่สุดท่านก็ยอมกลับมา ช่างหาได้ยากจริงๆ”
พ่อบ้านชื่อว่า “โมชิเลียส” นักดาบเลเวล 34 พ่อบ้านเลเวล 50 ความดี รอบคอบ
“เพราะมีเหตุผลพิเศษเท่านั้นแหละ”
ตอนองค์หญิงสโนว์พูดแบบนี้ เธอก็หันหน้ากลับมามองผม แล้วพูดต่อไป
“พวกเขาเป็นเพื่อนที่สําคัญที่สุดของข้า ต้องปฏิบัติต่อพวกเขาให้เหมือนกับข้านะ! มิเช่นนั้นข้าได้ไล่พวกเจ้าออกแน่!”
“ขอรับ! ข้าทราบแล้วองค์หญิง!”
วิธีการข่มขู่คนอื่นขององค์หญิงสโนว์ช่างมีเอกลักษณ์จริงๆ…
ทหารที่ยืนด้านข้างมีเลเวลประมาณ 25 ส่วนสาวใช้ นอกจากอาชีพนักดาบเลเวล 20 คนอื่นก็ล้วนเป็นสาวใช้ธรรมดา
แต่ว่า…
ผมไม่เห็นนักเวทเลยสักคน!
อีกทั้งถึงแม้ไม่มองผ่านสกิล ผมก็รู้สึกได้ว่าธาตุเวทมนตร์แถวนี้ดูค่อนข้างยุ่งเหยิง แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรกันแน่
“เพื่อนทั้งหลายขององค์หญิงถึงส่วนมากพวกท่านจะเป็นนักดาบ แต่ขาก็ต้องอธิบายสัก หน่อย พระราชวังได้ถูกห้ามใช้เวทมนตร์ หากไม่ได้รับอนุญาตโดยเฉพาะ ก็ไม่อาจใช้เวทมนตร์ได้ ข้าต้องขออธิบายเรื่องนี้เป็นพิเศษ มิเช่นนั้นหากเกิดความเข้าใจผิดจะไม่สมควร”
“แบบนี้นี่เอง”
ผมคิดไปด้วย แล้วลองใช้เวทมนตร์ “โล่น้ําแข็ง
แต่ว่า แนวเวทมนตร์ก็ประกายขึ้น แล้วโล่นแข็งก็ปรากฏบนมือผม!
เมื่อเห็นภาพนี้ พ่อบ้านก็ตกใจจนพูดอะไรไม่ถูก ผ่านไปหลายวินาที ถึงมีทหารรู้สึกตัว แล้วหยิบอาวุธมาเล็งที่ผม
ทหารคนอื่นก็ยกอาวุธขึ้นกันทุกคนราวกับได้รับสัญญาณ
ขณะนี้องค์หญิงสโนว์จึงตอบสนอง แล้วตะโกนใส่พวกเขา
“พวกเจ้าจะทําอะไร! ไม่ได้ยินที่ข้าพูดเมื่อครูกันเลยเหรอ!”
“รีบวางอาวุธซะ! พวกเจ้าได้ยินองค์หญิงสโนว์แล้วนี่! อย่าเสียมารยาทกับแขก!”
พ่อบ้านพูดเสียงดัง
ขณะนี้ทหารเหล่านั้นจึงวางอาวุธลง
แต่องค์หญิงสโนว์ยังคงโกรธจัดอย่างชัดเจน
“ พวกเจ้านี่ไม่มีหูกันจริงๆ สินะ! พวกเจ้า ตัดหูของพวกเจ้าซะ!”
แม้แต่ผมก็ตกใจเมื่อได้ยินประโยคนี้
ทหารเหล่านั้นตัวสั่นเล็กน้อย จากนั้นก็จ้องมองอีกฝ่าย พลางยื่นมือไปหยิบมีดสั้นที่เหน็บไว้ข้างเอว
“องค์หญิงสโนว์ ไม่ต้องหรอก ผมผิดเองที่อัญเชิญโล่น้ําแข็ง คุณไม่ต้องลงโทษพวกเขาแบบนี้หรอกนะ”
ผมรีบพูดกับองค์หญิงสโนว์
กลางวันแสกๆ จะทําให้นองเลือดทําไม! นี่ผมกําลังดูหนังสยองขวัญอยู่เหรอเนี่ย
แม้ผมรู้ว่าอํานาจจักรพรรดิจะอยู่ในชนชั้นปกครอง แต่การให้คนอื่นตัดหูตัวเองมันก็เกินไปหน่อย
“แต่…พวกเขาเล็งอาวุธใส่เจ้านะ!”
องค์หญิงสโนว์พูด
“แต่พวกเขาทําเพื่อความปลอดภัยของคุณไม่ใช่เหรอ คุณปล่อยพวกเขาเถอะนะ”
“อืม…ก็ได้ พวกเจ้าฟังไว้ คราวนี้ฟิล นักเวทอาณาจักรเป็นคนขอร้องให้ปล่อยพวกเจ้า! ครั้งนี้ข้าจะปล่อยไปได้ยินไหม!”
“ขอรับ!”
ทุกคนตะโกนพร้อมกัน
ถึงท่าทางของพวกเขาดูไม่เปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด แต่ผมก็รู้สึกได้ว่าพวกเขาโล่งอกอย่างชัดเจน
“องค์หญิง ที่นี่ไม่ใช่ที่จะพูดคุย เชิญเข้าวังเถอะขอรับ”
“อืม ฟิล ไปเถอะ! ข้าจะให้เจ้าดูว่าอาณาจักรเอสของข้าแข็งแกร่งแค่ไหน!”
“อืม…”
ไม่ต้องบอกผมก็รู้น่า
ตอนอยู่บนเรือเหาะก่อนหน้านี้ก็เห็นหน้าตาทั่วทั้งเมืองหลวงแล้ว ก็ได้แต่รู้สึกว่าคงต้องใช้เวลาค่อนวันกว่าจะเดินจากฝั่งหนึ่งไปถึงอีกฝั่งได้ อีกทั้งแค่เมืองหลวงอย่างเดียว ก็ใหญ่กว่าสถาบันเกรย์เหลือเฟือแล้ว
พวกคุณสร้างเมืองใหญ่ขนาดนี้ไว้ออกกําลังกายเหรอ
คงเป็นเพราะอาณาจักรเอสมีธาตุสายน้ําแข็งอยู่ ไม่เพียงแค่เมืองหลวง แม้แต่นอกกําแพงเมืองก็ยังมีแสงสีครามระยิบระยับ
แม้เป็นเพราะฤดูร้อนทําให้ไม่เห็นหิมะตก แต่อากาศกลับหนาวจนเหลือแค่ไม่กี่องศา อากาศที่หายใจออกมาก็มีควันขาวลอยฟัง
แต่ภายในเมืองหลวงกลับทําให้ผมรู้สึกสบาย มันไม่หนาวเกินไปหรือร้อนเกินไป แต่รู้สึกกําลังพอดี
เพียงแต่…
ที่นี่กลับใหญ่เกินไป อีกทั้งยังไม่มีเครื่องมือเคลื่อนย้ายที่สะดวกสบายอะไรเลย เราเดินอยู่ยี่สิ บกว่านาทีเต็มกว่าจะถึงเป้าหมาย นั่นคือศูนย์กลางเมืองหลวง ‘หอประชุมสภาเมือง’
แค่เข้าประตู ก็เห็นจักรพรรดิเอส ‘เฮอ เอส อะฟังกัส’ นั่งอยู่ด้านบนสุด
เขาดูต่างจากหลายสัปดาห์ก่อนที่ผมเจอ เขาในตอนนี้มีออร่าของความแข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิม แผ่ออกมาไม่ต้องถามว่าทําไมผมถึงรู้สึกได้ ก็การแจ้งเตือนการโจมตีของผมสว่างจนแทบจะระเบิดแล้วน่ะสิ
แต่ความรู้สึกแบบนี้ก็ค่อยๆ หายไป ทําให้ผมโล่งอก
ด้านหลังจักรพรรดิ์ มีผู้หญิงสามคนกับผู้ชายสองคนยืนอยู่ แม้มองฉายาของพวกเขาได้ไม่ชัดแต่ดูจากเสื้อผ้าของพวกเขาก็รู้ว่าพวกเขาคงเป็นองค์ชายและองค์หญิงของจักรพรรดิเอส
ถัดลงมา คืออัศวินที่สวมชุดเกราะหนักแต่มองไม่เห็นเลเวล ซึ่งคงจะเป็นนายพลของอาณาจักรเอส ส่วนขุนนางอีกฝั่ง ก็คงเป็นคนประเภทสมุหนายก
แน่นอน มีขุนนางแต่ละฝ่ายได้ยืนเรียงแถวกันทั้งสองฝั่ง ดูแล้วพวกเขาคงให้ความสําคัญกับการกลับมาขององค์หญิงสโนว์ทีเดียว
เดินไปตรงกลางห้องโถง พวกเราก็คุกเข่าหนึ่งข้างแสดงความเคารพต่อจักรพรรดิ
‘อ้าๆๆ ฉันเกลียดการคุกเข่า!’
จู่ๆ ผมก็เห็นอารย์ย่าส่งข้อความมา
‘ที่นี่ไม่มีของอย่างประชาธิปไตย ทนไว้ซะ ท่องไว้ในใจว่า ‘หม่อมฉันน้อมทักทายฝ่าบาท’ ก็จะไม่ลําบากแล้ว’
“…”
แม้ไม่รู้ว่าอาร์ย่าแสดงออกยังไง แต่ผมเห็นร่างกายที่สั่นเทาเล็กน้อยของเธอ เธอคงเกือบจะหัวเราะออกมาแล้วแหละ
“ข้ากลับมาแล้ว”
องค์หญิงสโนว์พูดจบ จักรพรรดิยังไม่ทันได้พูดอะไร เธอก็ลุกขึ้นทันที
จักรพรรดิดจนปัญญา แล้วยิ้มขึ้นเล็กน้อย
“ลุกขึ้นเถอะ”
“งั้นข้าพาเพื่อนไปเที่ยวนะ”
พวกเราเพิ่งลุกขึ้น องค์หญิงสโนว์ก็พูดแบบนี้ แล้วเดินออกจากประตูทันที
คนรอบข้างดูคุ้นเคยจนเห็นเป็นปกติ จึงไม่ได้พูดอะไร
พวกคุณช่างทําตามใจจริงๆ เลย…
“ฟิล!”
จู่ๆ จักรพรรดิก็เรียกชื่อผม
“ฝ่าบาท มีเรื่องอะไรเหรอ”
“ถ้ามีเวลาก็ไปรายงานตัวที่หอคอยนักเวทสักหน่อย ข้าว่าเจ้าคงหาของดีจากที่นั่นได้ไม่น้อยแน่”
“ทราบแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
พูดจบ ผมก็ตามองค์หญิงสโนว์ออกไปจากหอประชุม