จอมเวทอหังการ - ตอนที่ 272
บทที่ 272: การฝึกที่เมืองร้าง
“มันเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้อยู่แล้วว่ากลุ่มวาติกันได้กระทําการที่ชั่วร้าย พวกมันกําลังสร้างปีศาจที่เป็นภัยต่อมนุษยชาติ พวกเรานั้นมีกฏลงโทษที่ชัดเจนและรุนแรงถึงขั้นประหารชีวิตพวกมันทั้งหมดเช่นกัน แม้ว่าจะมีบางอย่างที่อยู่เหนือการควบคุมไปบ้าง แต่สุดท้ายแล้วพวกเราก็ทําการเก็บกวาดมันอยู่แล้ว มันจะไม่เป็นอันตรายต่ อมนุษย์ทุกคนเฉียนอวี้ฮัวคุณจะดื้อด้านไปทําไมกัน ในเมื่อสิ่งที่เราทํากําลังสร้างนี้มันจะเป็นกําลังสําคัญให้กับ เราในอนาคตในสมัยโบราณกาลนั้นเมื่อพลังเวทมนตร์ได้ตื่นขึ้น ไม่ใช่ว่าทุกคนจะมีศักยภาพพอที่จะควบคุม หรือครอบครองมันได้ทั้งหมด พวกเราล้วนแต่ผ่านการเรียนรู้และพัฒนาจนได้พบกับสิ่งที่ยิ่งใหญ่ พวกคุณจะมัว รีรออะไรอีกงั้นเหรอ รอให้อสูรเวทด้านนอกแข็งแกร่งหรือพัฒนาไปไกลเกินกว่าที่เราจะต้านทานไหวงั้นเหรอ เช่นนี้พวกเราทั้งหมดจึงจะตระหนักได้ว่ามนุษยชาติอ่อนแอแค่ไหนงั้นหรือ? สิ่งที่คุณได้กล่าวมาทั้งหมดนี้ ผมไม่ได้จะบอกว่ามันไม่ใช่ความจริง แต่สิ่งที่ผมกําลังพูดถึงก็คือความจริงที่พวกเราต้องยอมรับด้วยเช่นกัน ความเสียสละเป็นสิ่งที่พวกเราพึงกระทําในตอนนี้เพื่อสิ่งที่ดีและยั่งยืนกว่าในอนาคต!”
“เฉียนอ ฮัว คุณน่ะหัวแข็งเกินไปแล้ว คุณจะสามารถตัดสินว่าพวกเราชั่วช้าราวกับปีศาจได้อย่างไร? พวกเรากําลังทํางาน กําลังคิดค้นอย่างหนัก! ในอดีตที่ผ่านมานั้นมีเพียงไม่กี่องค์ประกอบเท่านั้นที่มนุษยชาติมี แต่โชคดีที่บรรพบุรุษของเรานั้นได้ทําการคิดค้นอย่างหนัก พวกเขาทํางานหนักก็เพื่อค้นหาสิ่งใหม่ๆ ซึ่งจะได้นํามาพัฒนาและช่วยเหลือประเทศชาติของเราให้มั่นคงเป็นปึกแผ่นหรือคุณต้องการที่จะรอคอยวันที่อสูรเวทกลืนกินมนุษย์ไปจนหมดสิ้นจึงจะยอมรับว่ามนุษย์อ่อนแอมากขนาดไหนงั้นเหรอ? มันคือคุณรึเปล่าที่กําลังไร้เหตุผลในตอนนี้! แล้วอีกอย่างเราจะต้องสูญเสียนักเวทมากมายขนาดไหนเพื่อปกป้องประเทศของเราปกป้องจนกว่า คุณจะพอใจ!” ลู่เหยียนกล่าวออกมาด้วยอารมณ์ที่ดุเดือด
“ไม่ว่าอะไรก็ตามที่พวกคุณพูดทั้งหมดในวันนี้ ฉันรู้เพียงแค่เขาไม่ได้เป็นทหาร พวกคุณไม่มีสิทธิ์สั่งให้เขาทํานี่นั่นโดยเด็ดขาด อีกทั้งฉันได้บอกเรื่องนี้กับอธิการบดีเซียวแล้ว แน่นอนว่าเขาไม่เห็นด้วย!” เฉียนอวี้ฮัวก ล่าวตัดบทอย่างไม่สนใจข้อเสนอของลู่เหยียน
“เอาล่ะ พอได้แล้ว มันเป็นเรื่องที่ยากแหละนะกับการที่จะให้พวกคุณทั้งสองสามารถเจรจาตกลงกันได้ อีกทั้งเรายังมีเวลามากมายเพื่อโต้แย้งเกี่ยวกับเรื่องนี้ ตอนนี้เรามาดื่มกับชาตรงหน้าเถอะ ส่วนเรื่องอื่นค่อยตัดสินใจกันภายหลัง” อธิการบดีซ่งเห่อจากมหาวิทยาลัยจักรพรรดิกล่าวออกมาเขานั่งคั่นกลางระหว่างสองฝ่ายอย่างชัดเจน
“อธิการบดีซ่งเห่อ เราควรจะหารือเกี่ยวกับการฝึกของเด็กๆเสียมากกว่า!” เฉียนอวี้ฮัวกล่าวออกมาโดยไม่สนใจว่าลู่เหยียนจะกล่าวอะไรกับซ่งเห่อต่อ
“อ้อ เรื่องนั้นฉันเตรียมการไว้หมดแล้ว คุณจําเกี่ยวกับเมืองจูหลินได้ไหม?”
“ทําไมต้องเป็นที่นั่นด้วย…”
ภารกิจสําหรับฝึกฝนนั้นเป็นสิ่งที่สําคัญอย่างมากสําหรับนักเวทผู้ซึ่งกําลังเรียนอยู่ แม้ว่าสถาบันจะไม่ได้ บังคับให้พวกเขาจําเป็นจะต้องเข้าร่วม แต่ทว่าผู้ที่ต้องการจะเป็นอัจฉริยะและเชี่ยวชาญย่อมต้องการประสบการ ณ์เหลือเชื่อ พวกเขาจะไม่พยายามที่จะเข้ารับสิ่งเหล่านี้ได้อย่างไร? การจะเป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านเวทมนตร์จะ ต้องเสียสละหลายอย่าง พวกเขานั้นรู้ดีอยู่แล้ว
ในระหว่างการประชุมโครงการนักเรียนแลกเปลี่ยน อธิการบดีซ่งเห่อนั้นเป็นตัวแทนจากมหาวิทยาลัยจัก รพรรดิเพื่อที่จะบอกรายละเอียดเกี่ยวกับการอบรมในครั้งนี้
นักเรียนจากมหาวิทยาลัยจักรพรรดิและสถาบันเมิงจู่จําเป็นจะต้องเข้าฝึกในสถานที่เดียวกัน ทั้งสองจึงต้อง เข้าร่วมการประชุมพร้อมกันในวันนี้
“การอบรมครั้งนี้จัดขึ้นที่เมืองจี้หลิน ซึ่งจําแหน่งของมันคือที่ราบลุ่มแม่น้ําแยงซี” อธิการบดีซ่งเห่อกล่าว ออกมากับพวกเขาทั้งหมด
“เมืองจี้หลินงั้นเหรอ? ทําไมฉันไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อนเลยหละ?” ชิงชิงโพล่งออกมาดังลั่นเพราะว่าเธอนั้น เป็นผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับภูมิศาสตร์
แน่นอนว่าเธอเป็นอัจฉริยะและมีความจําที่ยอดเยี่ยมอย่างมาก เธอสามารถจดชื่อเมืองและสถานที่ต่างๆได้ มากมาย แต่ทว่าเธอไม่เคยได้ยินถึงสถานที่ที่อธิการบดีซ่งเห่อกล่าวออกมาเมื่อครู่เลยแม้แต่น้อย
“เมืองจี้หลินนี่เป็นพื้นที่พิเศษ มันถูกลบออกจากแผนที่ไปแล้วกว่าห้าสิบปี” เฉียนอวี้ฮัวกล่าวออกมาอย่างสงบ
“ถูกลบออกไปจากแผนที่!!!???” เด็กนักเรียนทุกคนร้องออกมาพร้อมกับ พวกเขาไม่เคยได้ยินชื่อเมืองที่ถู กลบทิ้งนี้เลย
นอกจากนี้แล้วมันมีเหตุผลอะไรกันที่ทําให้เมืองนี้ต้องถูกลบเลือนออกไปด้วย?
“เมื่อห้าสิบปีที่แล้ว ทะเลสาปตงติงนั้นถูกจมอยู่ภายใต้หายนะครั้งใหญ่ อสูรเวทมากมายมุ่งหน้าไปที่เมือง จี้หลินเพื่อหลบหนีน้ําท่วม แน่นอนว่าเมืองนี้ใกล้ที่สุด โชคดีของมนุษยชาตซึ่งนักเวทที่ฝึกฝนอยู่ในป่าได้พบเจอ กับสถานการณ์ในครั้งนี้ พวกเขาแจ้งให้กับผู้นําของเมืองทราบและอพยพผู้คนจากเมืองจีหลินออกมาทั้งหมด”
“วันต่อมาทั้งเมืองได้พบเจอกับหายนะครั้งใหญ่เมื่ออสูรเวทเข้าครอบครอง ใครก็ตามที่ไม่สามารถอพยพได้ ทันเวลาก็จะติดอยู่ในเมืองนั้นตลอดไป…” อธิการบดีซ่งเห่อกล่าวออกมาด้วยน้ําเสียงสั่นเครือเล็กน้อย เขากําลัง เก็บอารมณ์โศกเศร้าจากสถานการณ์ในวันนั้นอย่างสุดกําลัง
ความจริงแล้วนักเวทที่ค้นพบเรื่องนี้ก็คือซ่งเห่อ แต่อย่างไรก็ตามเขาไม่เต็มใจที่จะเล่าถึงหายนะในครั้งนี้ มากนัก มันโหดร้ายเกินกว่าจะพูดกล่าวออกไปได้
เมื่อซ่งเห่อได้บอกกล่าวเรื่องนี้ออกมา นักเรียนบางคนกลับพลันนึกถึงเหตุการณ์บางอย่างได้ เหมือนว่าเขา คนนั้นจะรู้ถึงประวัติศาสตร์ส่วนนี้ด้วยเช่นกัน
มีบันทึกลับฉบับหนึ่งซึ่งไม่เปิดเผยต่อสาธารณะเกี่ยวกับเรื่องราวของทะเลสาปตงติงเมื่อห้าสิบปีก่อน แต่ ทว่าเด็กในรุ่นเดียวกับเขานั้นไม่มีใครเลยสักคนที่ได้รู้เรื่องราวเหล่านี้ ห้าสิบปีนั้นไกลเกินกว่าพวกเขาจะคาดเดา ได้
“ถ้าเช่นนั้นก็หมายความว่าเมืองจีหลินกลายเป็นเมืองร้างงั้นเหรอครับ?” ซื้อต้าหลงถามออกมา
“ใช่แล้ว เมื่อสิบปีก่อนนี้มันเปรียบได้กับสวรรค์ของอสูรร้าย แม้แต่นักเวททั้งกองทัพก็ยังไม่กล้าเสี่ยงชีวิต เพื่อเข้าไปทําลายพวกมัน อย่างไรก็ตามในข้อมูลล่าสุดของเหล่านักล่า อสูรส่วนใหญ่ภายในเมืองจีหลินนั้นได้ ย้ายถิ่นฐานเพื่อไปอยู่ในเมืองอื่น แต่พวกเราก็ยังไม่รู้ถึงเหตุผลนั้นเช่นกันว่าทําไมพวกมันถึงไป…”
“พวกเราทั้งหมดได้ทําการสอบสวนและพยายามสํารวจจํานวนของสัตว์ร้ายเสมอมา พวกมันลดจํานวนล งมาก ซึ่งความน่ากลัวนั้นลดลงกว่าเมื่อก่อน” ซึ่งเห่อพยายามอธิบายต่อ
“เช่นนี้ก็หมายความว่าพวกเราจะต้องไปฝึกที่เมืองร้างนั้นงั้นเหรอ?”
“ฉันต้องการให้พวกเธอรวบรวมข้อมูลภายในเมืองนั้น” ซึ่งเห่อจิบชาของเขาก่อนที่จะกล่าวต่อ “แม้ว่าอสูร ร้ายที่มีพละกําลังที่แข็งแกร่งได้ย้ายออกจากเมืองไปแล้ว แต่ภายในเมืองก็ยังเต็มไปด้วยอสูรเร่ร่อนมากมาย อาศัยอยู่ ฉันอยากให้ทุกคนทําการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับอสูรเวทระดับนักรบและสามัญทั้งหมดที่พวกเธอได้พบ เจอทั้งหมด”
“แค่เก็บข้อมูลงั้นเหรอ?” เฉินหมิงเฉวียนถาม
ถ้าหากว่าต้องการเพียงแค่ข้อมูลต่างๆ ดูเหมือนว่ามันจะไม่ใช่สิ่งที่ยากเย็นเกินไป
“พวกเรากําลังวางแผนที่จะสร้างเมืองจี้หลินขึ้นมาใหม่ ซึ่งนี่เป็นโครงการที่มหาวิทยาลัยจักรพรรดิและสถา บันเมิงจู่ได้ร่วมมือกัน แน่นอนว่าข้อมูลที่พวกเธอได้เก็บกลับมาย่อมมีความสําคัญกับประเทศของเราอย่างมาก เพื่อพิสูจน์ว่ามันมีความเป็นไปได้ พวกเราจําเป็นจะต้องสํารวจมันใหม่ทั้งหมด เราจําเป็นจะต้องประเมินอันตรายที่หลงเหลืออยู่ในเมืองที่รกร้างนานกว่าห้าสิบปีนี้”
หลังจากที่ได้ฟังคําอธิบายโม่ฝานรู้สึกว่าภารกิจในครั้งนี้ไม่ง่ายเลย
เมืองจีหลินนี้ย่อมไม่ใช่เมืองเล็กๆแน่นอน การจะเก็บรวบรวมข้อมูลได้นั้นจําเป็นจะต้องใช้คนจํานวนมากเพื่อกระจายออกไปทั่วเมือง
ถ้าหากว่าเป็นเช่นนั้นมีโอกาสสูงมากที่พวกเขาจะถูกอสูรร้ายตรวจพบและเมื่อกระพริบตาอีกทีทั้งหมดอาจจะถูกล้อมรอบไปด้วยอสูรร้ายมากมาย…
ความอันตรายของภารกิจครั้งนี้นั้นอาจเทียบเท่าได้กับหายนะที่เมืองบ่อเคยประสบมาก่อนเมื่อสามปีที่แล้วการหลบอยู่ในพื้นที่ปลอดภัยยังไม่ใช่เรื่องง่ายดายสําหรับการเอาชีวิตรอด แล้วภารกิจครั้งนี้คือการย่างกรายเข้าไปในดินแดนอสูรร้าย แล้วเช่นนี้ความปลอดภัยคืออะไร!
“อธิการครับ เมื่อคุณพูดเกี่ยวกับอสูรเวทระดับสามัญและนักรบเท่านั้น แล้วอสูรเวทระดับผู้บัญชาการล่ะครับ?” หลัวซ่งเอ่ยปากถามอย่างซื่อตรง
“โอ้ ถ้าหากว่าเธอบังเอิญพบเจอกับอสูรเวทระดับผู้บัญชาการงั้นเหรอ มันก็คงจะน่าประทับใจมากถ้าหากเธอสามารถเอาชีวิตรอดกลับมาได้น่ะ” ซึ่งเห่อกล่าวออกมาด้วยน้ําเสียงราบเรียบ
ทุกคนรู้สึกเย็นวาบทันทีเมื่อได้ยินประโยคนั้น
โดยพื้นฐานแล้วเมืองจูหลินนั้นกลายเป็นเมืองอสูรไปแล้ว แน่นอนว่าอสูรเวทระดับผู้บัญชาการย่อมอาศัยอยู่ในเมืองอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงถ้าหากว่าพวกเขาได้พบเจอกับอสูรระดับนี้สักหนึ่งหรือสองตัวแน่นอนว่าภารกิจ ครั้งนี้ย่อมมีความเสี่ยงสูงที่จะล้มเหลว
กล่าวกันว่าอสูรเวทระดับผู้บัญชาการนั้นมีความแข็งแกร่งเกินกว่าที่จะเข้าใจได้ แม้แต่ห่านป่าที่บินสูงเหนือร่างกายของมันกว่าสองร้อยเมตรยังสามารถตกลงมาตายในปากของมันได้อย่างแม่นยํา
“มีหลายสิ่งหลายอย่างที่พวกเธอสามารถทํามันได้ด้วยตนเอง ฉันหวังว่านักเรียนจากมหาวิทยาลัยจักรพรรดิ และสถาบันเมิงจู่จะทํางานร่วมกันเป็นทีมได้อย่างยอดเยี่ยม เช่นนี้ก็เพื่อที่จะให้ทุกคนกลับมาพร้อมกับภารกิจที่สําเร็จลุล่วงด้วยความปลอดภัยทุกคน!” อธิการบดีซ่งเห่อกล่าวให้กําลังพวกเขาอย่างเรียบง่าย…