จอมยุทธ์ระบบเลเวล Invincible Level Up - ตอนที่ 41
ตอนที่ 41 ในเมื่อรนหาที่ เช่นนั้นก็เข้ามา
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ในคืนดึกสงัด ที่ตึกตระกูลฉิน ในห้องแห่งหนึ่งมีแสงเทียนไหววูบตามลม
ผู้อาวุโสใหญ่ฉินควงนั่งอยู่ภายในห้องของมัน
“เจ้าแน่ใจหรือ?”
แววตาของฉินควงแผ่รังสีเย็นยะเยือกออกมาขณะที่ภายในเอ่อล้นไปด้วยความโกรธ ร่างกายของมันปลดปล่อยจิตสังหารออกมาจนทำให้อุณหภูมิภายในห้องลดต่ำลง
“ข้ามั่นใจอย่างยิ่ง ฉินหยางมีฝีมือที่โดดเด่นและยังได้ฝึกฝนทักษะระดับสูง ‘แปดกระบี่ไร้ปราณี’ ในช่วงเทศกาลล่าสัตว์ มันได้สังหารสัตว์ปีศาจไปนับไม่ถ้วน ฉินเทียนที่บังเกิดความอิจฉาก็เริ่มมีความคิดที่ชั่วร้ายขึ้นมา ดังนั้นมันจึงวางแผนที่จะสังหารฉินหยาง มิเช่นนั้นเพียงผู้ฝึกตนขั้นที่หกเช่นมันจะสามารถครอบครองอันดับที่หนึ่งได้อย่างไร? ศีรษะภายในป้ายไม้ทั้งหมด มันสมควรฉกชิงมาจากศิษย์ของตระกูล”
“อืม…เป็นเพราะครั้งนั้นข้าใจอ่อนไม่จัดการฉินเทียนให้สิ้นซาก นี่กลับสร้างเภทภัยให้กับตระกูลฉินแล้ว…”
“บุตรชายของพวกเราทั้งสองคนล้วนตกตายในมือของมัน นี่เป็นความแค้นที่ไม่อาจกล้ำกลืน”
ฉินเซี่ยงเทียนปั้นสีหน้าเจ็บปวดใจ แต่หลังจากแสดงท่าที่เคียดแค้นแล้ว มันก็กล่าวาจาปลุกปั่นและแสดงทีท่าว่าต้องการจะฉีกร่างฉินเทียนเป็นชิ้นๆ
หลังจากเทศกาลล่าสัตว์สิ้นสุดลง ฉินเซี่ยงเทียนก็เริ่มลงมือตรวจสอบ หลังจากลอบตรวจสอบอยู่หลายวัน มันก็พอรู้อะไรมาบ้าง
อย่างไรก็ตาม มันไม่รู้ว่าฉินเทียนได้รับแก่นปีศาจ ในความคิดของมันแล้ว ไม่ว่าฉินเทียนจะแข็งแกร่งสักเพียงใด เขาก็ไม่อาจเอาชนะสัตว์ปีศาจระดับห้าได้ กระทั่งตัวมันเองก็ยังไม่อาจกระทำ เช่นนั้นแล้วฉินเทียนจะทำได้อย่างไร?
“ประเสริฐ ฉินเทียน ในเมื่อเจ้ากล้าสังหารบุตรชายของข้า บิดาผู้นี้ก็จะนำหัวของเจ้ามาเซ่นไหว้ให้กับหยางเอ๋อร์!”
ฉินควงลั่นวาจาและตบโต๊ะจนแตกเป็นเสี่ยงๆ
“ผู้อาวุโสสอง อย่าได้ร้อนใจไป ฉินเทียนจะต้องถูกสับเป็นหมื่นชิ้น แต่ปัญหาประการแรกที่พวกเราต้องจัดการก่อนก็คือฉินซานเทียน ตราบที่มันยังอยู่ที่นี่ ฉินเทียนก็จะหลบอยู่ใต้ปีกของมัน” ฉินเซี่ยงเทียนหัวเราะอย่างเย็นชาอยู่ในใจ ดูเหมือนว่าแผนการของมันจะเป็นไปด้วยดี
“ประมุขตระกูล? เหอะ….” ฉินเทียนแค่นเสียงและกล่าวว่า “ในระหว่างงานชุมนุมสี่ตระกูล หากว่าตระกูลของเราไม่สามารถคว้าอันดับหนึ่งมาได้ เช่นนั้นพวกเราก็จะรวบรวมผู้อาวุโสบางคนมากดดันให้มันลงจากตำแหน่ง ถึงตอนนั้นไม่ว่าผู้ใดก็ไม่อาจขัดขวางข้าไม่ให้ฟันศีรษะของฉินเทียนได้! ข้าจะต้องล้างแค้นให้กับบุตรชายของข้า!”
ฉินเซี่ยงเทียนลอบหัวเราะอยู่ในใจ
ฉินควงเป็นบุตรเพียงคนเดียวของประมุขตระกูลคนก่อน ดังนั้นฐานะภายในตระกูลของมันจึงสูงยิ่ง กระทั่งยังสูงกว่าฉินซานเทียน ในหมู่ผู้อาวุโสใหญ่ทั้งแปดคนแล้ว สี่คนเป็นศิษย์ที่บิดาของมันอบรมสั่งสอนขึ้นมา ดังนั้นเพียงสามารถดึงตัวฉินควงมาอยู่ฝ่ายมันได้ ฉินเซี่ยงเทียนก็จะสามารถบีบให้ฉินซานเทียนต้องสละตำแหน่ง
ในงานชุมนุมสี่ตระกูล ตราบใดที่ตระกูลฉินไม่สามารถคว้าอันดับหนึ่งมาครอง ถึงตอนนั้นวิกฤตจะต้องเกิดขึ้นแน่
ไม่นานมานี้ ฉินเซี่ยงเทียนสังเกตุเห็นถึงความไม่พอใจที่เกิดขึ้นภายในตระกูล แต่ตำแหน่งของฉินซานเทียนก็ยากที่จะโยกคลอน ถ้าในครั้งนี้ไม่มีผู้ใดในตระกูลสามารถคว้าตำแหน่งอันดับหนึ่งมาครองได้แล้วล่ะก็ ฉินซานเทียนก็คงไม่อาจรักษาเก้าอี้ของมันไว้ได้แล้ว
นี่เป็นคลื่นลมสงบก่อนที่พายุจะมา ราวกับระเบิดเวลาที่รอวันปะทุ
………………………………………
เมื่อฉินเทียนกลับมาถึงเหลาฟุหลง มันก็เป็นเวลาดึกมากแล้ว
เมื่อจางต้าฟู่เปิดประตูออกมา วิญญาณของมันก็แทบจะหลุดลอยออกจากร่าง สภาพของฉินเทียนตอนนี้น่าหวาดกลัวไปแล้ว
ฉินเทียนไปอาบน้ำล้างตัวและเปลี่ยนชุดใหม่ เวลานั้นเฮยหยานและเมิ่งเล่ยก็ได้ตื่นขึ้นมา
“นายน้อย ท่านไปที่ใดมา? ข้าเป็นห่วงท่านแทบแย่”
เมิ่งเล่ยมองดูฉินเทียนด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสุขและสัมผัสได้ว่าฉินเทียนให้ความรู้สึกที่แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง
เป็นเวลาเพียงครึ่งเดือนเท่านั้น นี่ราวกับจากหน้ามือเป็นหลัง เมิ่งเล่ยมีความสุขอย่างมาก กระทั่งยังรู้สึกยินดีมากเสียกว่าตอนที่ตนเองได้ทะลวงผ่านเสียอีก
หลังจากล่าสังหารอยู่ครึ่งเดือน ร่างกายของฉินเทียนก็ปลดปล่อยกลิ่นอายฆ่าฟันออกมา จิตใจของเขาได้ยกระดับขึ้นอีกขั้น เมื่อมองดูท่าทีที่มีความสุขของเมิ่งเล่ย เขาก็ยิ้มและกล่าวว่า “กังวลไปใย! ทำไมไม่กังวลกับร่างอ้วนๆของเจ้าก่อนเล่า ไม่ได้เจอกันครึ่งเดือนเจ้ากลับยิ่งอ้วนกว่าเก่า”
เมิ่งเล่ยเกาศีรษะและยิ้มอย่างกระดาก
“ไม่เลว ขั้นก่อตั้งวิญญาณ”
เฮยหยานหัวเราะออกมา แต่มันรู้สึกตกตะลึงอย่างมาก บ่มเพาะเพียงครึ่งเดือน จากผู้ฝึกตนขั้นที่แปดก็กลายเป็นขั้นก่อตั้งวิญญาณแล้ว นี่เป็นความเร็วอันน่าเหลือเชื่อ ฉินเทียนบ่มเพาะด้วยวิธีการใดกันแน่?
“พี่ใหญ่เฮย หลังจากงานชุมนุมจบลงช่วยพาข้าเข้าไปยังเขตเทือกเขาคุนหลุนที”
“เจ้าต้องการเข้าไปยังด้านใน?”
เฮยหยานยืนนิ่งงันไปชั่วขณะ มันคิดถึงการตายของเหล่าสหายจนทำให้จิตใจสั่นสะท้าน แววตาของมันเต็มได้วยความเปล่าเปลี่ยว หลังจากนั้นครู่หนึ่งมันก็กัดฟันและตอบรับอย่างแน่วแน่ “ตกลง”
“อ๊ะ นายน้อย” ดูเหมือนเมิ่งเล่ยจะนึกได้ถึงบางสิ่ง มันหัวเราะคิกคักขณะกล่าวาจา “ในช่วงครึ่งเดือนมานี้ อวิ๋นม่านมาที่นี่และถามถึงท่านตลอด นางช่างงดงามอย่างแท้จริง ราวเทพธิดาจุติลงมา! อา”
เฮยหยานที่ด้านข้างก็กล่าวเสริม “เด็กหญิงนางนั้นงดงามอย่างแท้จริง”
ฉินเทียนหัวเราะ ขณะที่ภายในรู้สึกดีไม่น้อย
ค่ำคืนได้ผ่านพ้นไปด้วยเสียงพูดคุย
ในเช้าวันถัดมา เสียงระฆังและกลองก็ดังไปทั่วทั้งเมือง ภายในเมืองคราคร่ำไปด้วยผู้คน
ผู้คนต่างมารวมตัวกันที่ลานกว้างของเมือง ที่กึ่งกลางของมันมีเวทีประลองขนาดใหญ่ถูกจัดตั้งเอาไว้ก่อนแล้วเพื่อที่ผู้บ่มเพาะทุกคนจะสามารถใช้มันในการฝึกฝน แต่เมื่องานถูกจัดขึ้นแล้ว ผู้คนจะไม่ได้รับอนุญาติให้เข้าไปวุ่นวายใกล้ลานประลอง
ในช่วงรุ่งเช้า อวิ๋นม่านรีบปรี่มาที่เหลาฟุหลง เมื่อได้เห็นฉินเทียน นางก็เผยรอยยิ้มสดใสและน่ารักออกมา ในที่สุดนางก็ยกความกังวลหนักอึ้งออกไปได้
หลังจากจัดการมื้อเช้าแล้ว ทั้งกลุ่มก็เดินทางไปยังลานกว้างของเมือง
แต่หลังจากที่ออกมาได้ไม่ทันไร ทั้งกลุ่มก็ถูกคนกลุ่มหนึ่งหยุดเอาไว้ ศิษย์ที่มีร่างกายสูงโปร่งของตระกูลจ้าวจ้องมาที่ฉินเทียนอย่างดูถูก มันถ่มน้ำลายและกล่าวว่า “เจ้าคือสวะแห่งตระกูลฉินใช่หรือไม่?”
เมิ่งเล่ยสั่นเทิ้มและต้องการจะออกไปเลาะฟันในปากของอีกฝ่ายเป็นการสั่งสอน แต่ฉินเทียนก็หยุดมันไว้ก่อน
ฉินเทียนมองไปยังเสี่ยวหยูเชียนอย่างเย็นชาก่อนจะแค่นเสียง “แล้วเจ้ามุดออกมาจากรูไหนกัน?”
“เจ้า!….” จ้าวเฟิงคำราม
ตอนนี้เอง เสี่ยวหยูเชียนก็ราดน้ำมันเข้ากองเพลิง “พี่ชายจ้าว เป็นมันเองที่ลวนลามและรังแกข้า…”
ขณะที่กล่าวเช่นนั้นน้ำเสียงของนางก็อ่อนแอคล้ายจะแตกสลาย นางโผเข้าซบอกแกร่งของจ้าวเฟิงก่อนจะแค่นเสียงอย่างรังเกียจขณะที่มองไปยังฉินเทียน ลึกลงไปในใจแล้ว นางกำลังคิดถึงผลลัพธ์ที่ฉินเทียนจะได้รับสำหรับการเอาเปรียบนาง
หญิงสาวนางนี้กลายเป็นถูกความแค้นบดบังตา และไปหาบุรุษของตนให้กลับมาแก้แค้น
เสี่ยวหยูเชียนเป็นสตรีประเภทนี้เอง นางนับเป็นตัวหายนะสำหรับบุรุษ คล้ายกับแมงป่องที่มีพิษร้าย!
หลังจากเหตุการณ์ที่เหลาฟุหลง นางก็เกลียดฉินเทียนเข้ากระดูกดำ แต่นางเป็นเพียงผู้ฝึกตนระดับต่ำ การเอาชนะฉินเทียนด้วยตัวนางนั้นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ นางที่มีความแค้นและต้องการจะช่วยพี่ชายคว้าตำแหน่งอันดับหนึ่งของงานประลองมาครองจึงจ่ายออกด้วยทุกสิ่ง กระทั่งเรือนร่างของตน
แม้ว่าจ้าวเฟิงจะมีรูปลักษณ์ที่ไม่น่าดู แต่มันก็เป็นถึงผู้บ่มเพาะขั้นก่อตั้งวิญญาณระดับที่สี่และเป็นหนึ่งในผู้เข้าร่วมการประลองครั้งนี้ มันเป็นหนึ่งในคู่แข่งของพี่ชายนาง ดังนั้นนี่จึงถือเป็นการยิงธนูดอกเดียวได้นกถึงสองตัว
ดังนั้นนางจึงนำมันมาหาเรื่องฉินเทียนในตอนเช้า นางสาบานว่าจะไม่ปล่อยให้ฉินเทียนมีชีวิตถึงวันพรุ่ง
“ลวมลามอิสตรี เจ้ายังกล้าเรียกขานตัวเองเป็นบุรุษอีกงั้นหรือ?” จ้าวเฟิงไม่พอใจอย่างมาก มันกำหมัดทั้งสองแนบแน่นและกล่าวยั่วยุ “หากว่าเจ้ายังมีไอ้นั่นอยู่ ก็มาสู้กันกับข้า ข้าจะทุบเจ้าให้จมดินในหมัดเดียว!”
ท่าทางของมันเต็มไปด้วยความเย่อหยิ่งถือดี มันหันไปหัวเราะกับคนของตนที่ด้านหลัง
“ถูกสตรีที่หลับนอนกับบุรุษมานับไม่ถ้วนครอบงำ เจ้ายังกล้าเรียกตัวเป็นบุรุษอีกงั้นหรือ?” ฉินเทียนแสะยิ้ม ขณะที่มองไปยังเสี่ยวหยูเชียน เขาเผยท่าทีรังเกียจออกมาอย่างชัดเจน
สำหรับผู้หญิงเช่นนางที่สามารถครอบงำบุรุษเช่นนี้ได้ นับว่ามีมารยาพอตัวทีเดียว
สีหน้าของจ้างเฟิงเปลี่ยนไปและปูดโปนด้วยความโกรธ มันต่อยหมัดเข้าใส่ฉินเทียนทันที
เสี่ยวหยูเชียนมีความสุขอย่างมาก ในที่สุดเป้าหมายของนางก็บรรลุแล้ว เมื่อครึ่งเดือนก่อน ฉินเทียนยังเป็นเพียงผู้ฝึกตน แล้วมันจะยังเป้นคู่ต่อสู้ของขั้นก่อตั้งวิญญาณได้อย่างไร? ในใจของนางปรารถนาให้จ้างเฟิงสังหารฉินเทียนในหมัดเดียว
ฉินเทียนแค่นเสียง “รนหาที่”
ในขณะที่จ้าวเฟิงโถมเข้าหาฉินเทียน ฉินเทียนก็ไม่ได้นิ่งเฉยรอรับหมัดของจ้าวเฟิง เขาถีบตัวพุ่งออกไป ร่างของเขาปรากฏตัวขึ้นที่เบื้องหน้าจ้าวเฟิงและยกมือขึ้นคว้าลำคอของจ้าวเฟิงถามว่า “ต้องการจะละเมิดกฏการประลองหรือ?”
ปัง!
ก่อนที่จ้าวเฟิงจะกล่าววาจา ฉินเทียนก็ขว้างร่างของมันออกไปและใช้สองหมัดระดมต่อยไปที่ท้องของมันไม่ให้โอกาสร่างกายของมันได้ล่วงกระทบพื้น
จ้าวเฟิงกรีดร้องโหยหวนและลอยกระเด็นออกไปกว่าสามสิบเมตรก่อนจะสิ้นสติไป
นับเป็นการโจมตีที่ไม่ปล่อยให้จ้าวเฟิงได้มีโอกาสตอบโต้เลยแม้แต่น้อย
ตอนนี้เสี่ยวหยูเฟิงยืนนิ่งงันอย่างโง่งมขณะมองไปยังร่างที่ไร้สติที่บนพื้น ใบหน้าของนางซีดเผือด เหงื่อเย็นไหลอาบแก้มขณะพึมพำกับตนเอง “เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร? เป็นเช่นนี้…”
หลังจากมอบบทเรียนให้กับจ้าวเฟิงแล้ว เขาก็หันมาหาเสี่ยวหยูเชียน เขาปรากฏตัวขึ้นที่เบื้องหน้าเสี่ยวหยูเชียนและใช้หลังมือตบไปที่ใบหน้าของนางอย่างรุนแรง
เพี๊ยะ!
แรงจากการตบทำให้ใบหน้าของนางปูดบวมขึ้นมา โลหิตไหลออกมาจากมุมปาก ทันใดนั้นนางก็รู้สึกถึงแรงกดดันที่กดทับลงบนร่างของนาง เป็นกลิ่นอายที่นางคุ้นเคย เป็นกลิ่นอายของผู้ที่สามารถทะลวงผ่านขั้นก่อตั้งวิญญาณ….
กลิ่นอายที่ทรงพลัง
ด้วยสภาพเส้นผมที่ยุ่งเหยิง นี่ทำให้นางดูคล้ายกับคนวิปลาส
ผลลัพธ์ที่ออกมานั้นตรงกันข้ามกับสิ่งที่นางคาดคิดเอาไว้ไปไกลโข…..
YOU MAY ALSO LIKE
Tips: Lorem ipsum dolor sit amet, consectetur adipisicing elit, sed do eiusmod tempor incididunt ut labore et dolore magna aliqua. Ut enim ad minim veniam, quis nostrud exercitation ullamco laboris nisi ut aliquip ex ea commodo consequat. Duis aulores eos qui ratione voluptatem sequi nesciunt. Neque porro quisquam est, qui dolorem ipsum quia dolor sit ame