จอมยุทธ์ระบบเลเวล Invincible Level Up - ตอนที่ 27
ตอนที่ 27 เจ็บปวดจากการสูญเสีย
ในคืนนั้น ฉินเทียนและเฮยหยานกลายเป็นสนิทสนมกันมากยิ่งขึ้นจนทั้งสองต่างเรียกพี่เรียกน้องกัน
เมื่อเฮยหยานได้สูญเสียสหายทั้งสิบสองคนไป มันก็รู้สึกหดหู่เศร้าหมอง กระนั้นตอนนี้เมื่อได้พูดคุยกับฉินเทียนสหายใหม่ มันก็รู้สึกประหลาดใจอย่างยิ่ง ราวกับว่าทั้งสองเป็นสหายสนิทกันมาเนิ่นนาน
เมื่อได้ยินฉินเทียนกล่าวว่าต้องการจะเป็นลำดับหนึ่งในการแข่งขันครั้งนี้ เฮยหยานก็ไม่ลังเลที่จะยื่นมือช่วยเหลือ
สำหรับผู้แข็งแกร่งขั้นกลั่นวิญญาณแล้ว สัตว์ปีศาจระดับต่ำก็ไม่ได้ต่างอะไรกับมดปลวก
เสียงของระบบยังคงดังขึ้นในจิตใจของเขาอย่างต่อเนื่อง
“ได้รับค่าประสบการณ์ 50 หน่วย ค่าพลังปราณ 20 จุด ค่าการรอดชีวิต 1 จุด….”
เมื่อได้ยินว่าเฮยหยานต้องการช่วยเหลือ ระบบก็พลันยื่นคำขอเข้าร่วมปาร์ตี้มา หลังจากมีประสบการณ์ครั้งอวิ๋นม่านแล้ว เขาก็รีบยอมรับทันทีโดยไม่ลังเล
เฮยหยานคล้ายกับเป็นรถบดถนน ทุกที่ทางที่มันพุ่งตัวไปล้วนราบเป็นหน้ากลอง
ความแข็งแกร่งของขั้นกลั่นวิญญาณไม่เพียงแต่ทำให้อวิ๋นม่านตกตะลึงจนอ้าปากค้าง หากแต่ยังทำให้นางปรารถนาที่จะครอบครองความแข็งแกร่งเช่นนี้มากขึ้นไปอีก
สำหรับฉินเทียน ไม่ใช่ว่าเขาไม่ต้องการจะบรรลุความแข็งแกร่งเช่นนั้น หากแต่มันยังอยู่ห่างไกลจากตอนนี้มากนัก ผู้ฝึกตนขั้นกลั่นวิญญาณถูกพิจารณาว่าเป็นกลุ่มผู้เข้มแข็งที่สุดภายในเมืองชิงเหอ ตระกูลใหญ่ทั้งสี่มีผู้ฝึกตนระดับนี้อยู่เพียงน้อยนิด
ฉินเทียนบ่มเพาะโดยการสังหารสัตว์ปีศาจเพื่อเพิ่มเลเวล คล้ายกับเป็นดาวไม้กวาดสำหรับพวกสัตว์ปีศาจ
เขาต้องการจะบรรลุขั้นกลั่นวิญญาณเช่นกัน แต่เขาก็ยังต้องสังหารสัตว์ปีศาจอีกนับไม่ถ้วนกว่าจะบรรลุถึงระดับนั้นได้ ด้วยระดับปัจจุบัน เขาก็ต้องใช้เวลามากอยู่แล้วในการจะเพิ่มเลเวล แม้ว่าจะสังหารสัตว์ปีศาจไปนับร้อยตัว แต่หลอดค่าประสบการณ์ของเขาที่อยู่ในชั้นฝึกตนขั้นที่เจ็ดก็เพิ่มมาเพียงครึ่งหลอด สำหรับผู้อื่นแล้ว ความรวดเร็วเช่นนี้นับได้ว่าผิดสามัญสำนึกอย่างยิ่ง
อย่างไรก็ตาม ฉินเทียนยังคงรู้สึกไม่พอใจ ไม่พอใจอย่างยิ่ง
ทุกวันฉินเทียนจะตรวจดูภูเขาสมบัติที่คังเทียนจี๋ทิ้งเอาไว้ แต่เขากลับไม่อาจนำมันออกมาได้ เขาทอดถอนใจและรู้สึกคันที่หัวใจยากจะเกา คล้ายกับมีนางระบำสาวมาเต้นยั่วยวนทั้งยังใช้เรือนร่างมาเสียดสี กระนั้นเขากลับทำได้เพียงต้องนั่งสงบใจโดยไม่อาจแตะต้องนางได้ ต้องทนทุกข์ทรมาณและอัดอั้นตันใจ
ฉินเทียนรู้สึกขุ่นเคืองยิ่ง
ในยามเย็นที่ดวงตะวันกำลังลาลับขอบฟ้า
“พี่ใหญ่ ท่านไปที่เหลาอาหารฟุหลงที่เมืองชิงเหอและรอข้าที่นั่นก่อน ข้าจะกลับไปสะสางธุระที่ตระกูล”
“ตกลง พี่ใหญ่จะรอเจ้า” เฮยหยานหัวเราะอย่างเบิกบานใจก่อนจะแยกเดินไปยังทางเล็กอีกสาย
“ไปกันเถอะ”
ฉินเทียนหันไปกล่าวกับอวิ๋นม่าน
อวิ๋นม่านผงกศีรษะและติดตามอยู่ด้านหลังฉินเทียน ในระหว่างทางได้มีแมลงสีสันสดใสกระโดดออกมาขวางเส้นทางจนทำให้อวิ๋ม่านรู้สึกกลัว….
ฉินเทียนเผยรอยยิ้มและจับมืออวิ๋นม่านไว้อย่างนุ่มนวล
………………………………..
เมืองชิงเหอ ที่ลานฝึกฝีมือตระกูลฉิน
ในเวลานี้เอง ทั่วทั้งลานฝึกกำลังอึกทึกไปด้วยเสียงพูดคุยอย่างตื่นเต้น เทศกาลล่าสัตว์ของตระกูลฉินที่จัดขึ้นทุกปีนั้นใกล้จะสิ้นสุดลงแล้ว
เหล่าผู้ที่กลับออกมาจากการแข่งขันต่างประดับรอยยิ้มภาคภูมิใจเอาไว้ ทางตระกูลไม่ได้สนใจต่อผลลัพธ์ ตราบใดที่คนผู้นั้นสามารถรอดกลับมาได้ คนผู้นั้นจะกลายเป็นที่จดจำของตระกูลและผู้คนจำนวนมาก เพียงเท่านี้ก็นับว่าเป็นเกียรติอันสูงส่งแล้ว
บนเวทีภายในลานฝึกฝีมือนั้นนั่งเอาไว้ด้วยแปดผู้อาวุโสใหญ่และประมุขของตระกูลคนปัจจุบัน ฉินซานเทียน
คนทั้งเก้าดุจดังเทพเซียนผู้บรรลุ ไม่มีทั้งร่องรอยของความโกรธเคืองหรือสะกดข่มแต่อย่างใด พวกมันกวาดสายตามองดูศิษย์ที่ทยอยออกมาทีละคนโดยที่สีหน้าไม่เปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย
มีเพียงฉินเซี่ยงเทียนที่รู้สึกร้อนรุ่มราวถูกเพลิงแผดเผา มันเต็มไปด้วยความวิตกกังวล
“ฉินเฟิงออกมาแล้ว!”
ไม่ทราบว่าผู้ใดตะโกนขึ้นก่อน แต่เสียงนั้นทำให้ฝูงชนหันไปมองฉินเฟิงในทันที
มันเป็นศิษย์ที่แข็งแกร่งที่สุดที่อยู่ต่ำกว่าขั้นก่อตั้งวิญญาณ ดังนั้นมันจึงเป็นทั่งที่อิจฉาและยอมรับนับถือของผู้คน
กระทั่งบนใบหน้าของฉินซานเทียนก็ยังมีรอยยิ้มที่หาได้ยากปรากฏขึ้น ฉินเฟิงโค้งตัวคำนับก่อนจะจะไปยืนอยู่ด้านข้าง
“เจ้าว่าฉินเฟิงจะเป็นผู้ที่ได้ลำดับที่หนึ่งหรือไม่?”
“ผู้ฝึกตนขั้นที่เก้า มันเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในเทศกาลล่าสัตว์ครั้งนี้ นอกจากมันแล้วยังจะเป็นผู้ใดไปได้อีก?”
“นั่นก็ไม่ค่อยถูกต้องนัก ความสามารถของฉินคุนเองก็ไม่เลว นอกจากนี้มันยังเป็นผู้ที่ได้รับการคาดหวังอย่างสูงจากท่านผู้อาวุโส”
“ถูกแล้ว ฉินหยางเองก็มีโอกาสเช่นกัน มันเป็นบุตรชายของท่านผู้อาวุโสใหญ่ ข้าได้ยินมาว่ามันได้ฝึกฝนทักษะระดับสูง ‘แปดกระบี่ไร้ปราณี’ การสังหารสัตว์ปีศาจย่อมง่ายดายดุจพลิกฝ่ามือสำหรับมันแล้ว”
“พวกเจ้าไม่เคยได้ยินหรือว่าฉินเทียนเคยทุบตีฉินคุนจนบาดเจ็บหนัก?”
“เจ้ากำลังหมายถึงเจ้าสวะที่จุดตันเถียนเสียหาย? นั่นจะเป็นไปได้อย่างไร?”
“เป็นไปไม่ได้หรอก”
……………………………………….
ผู้คนเริ่มซุบซิบนินทากัน สำหรับพวกมันแล้ว นี่คือสิ่งที่ทำให้พวกมันรู้สึกเบิกบานใจ
ท้องฟ้าเริ่มหม่นแสง คบเพลิงภายในลานฝึกฝีมือจึงถูกจุดส่องสว่างขึ้นมา เมื่อฉินซานเทียนลุกขึ้นยืนและกำลังจะกล่าวบางสิ่ง ฝูงชนก็เกิดเสียงพูดคุยกันขึ้นอีกครั้ง
“ฉินเทียนกลับมาแล้ว!”
มีเสียงฮือฮาดังขึ้นในฝูงชน
“มันสามารถรอดออกมา?”
“ข้าคิดว่ามันคงซ่อนตัวอยู่ภายในถ้ำสักแห่งเป็นเวลาสามวัน ไม่เช่นนั้นจะเป็นอย่างอื่นไปได้อย่างไร?”
เมื่อเห็นฉินเทียนปรากฏตัวขึ้น หนึ่งในคนที่รู้สึกตกตะลึงมากที่สุดย่อมต้องเป็นฉินเซี่ยงเทียน ใบหน้าของมันเริ่มหมองคล้ำเมื่อเห็นว่าฉินคุนยังไม่กลับออกมา นี่หมายความได้อย่างเดียว ฉินคุนตายแล้ว
บุตรชายของมันตายแล้ว?
มือทั้งสองของฉินเซี่ยงเทียนเริ่มสั่นสะท้าน มันมองไปที่ฉินเทียน ในขณะเดียวกันฉินเทียนก็มองมาที่มันเช่นกัน
“ช่างเป็นแสงที่เจิดจ้านัก”
ฉินเทียนมองดูแสงสีทองที่ลอยออกมาจากร่างของฉินเซี่ยงเทียนและรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา “บอส เจ้าบอสตัวนี้ บิดาผู้นี้จะต้องจัดการเจ้าให้ได้”
มันยากที่จะอดกลั้นไว้ได้จริงๆ
มองดูฉินเทียนซึ่งเดินไปยืนอยู่ข้างเวทีแล้ว ฉินเฟิงก็รู้สึกไม่ค่อยพอใจขึ้นมา “ดูเหมือนว่าฉินหยางเองก็คงตายแล้ว”
ฉินซานเทียนชะงักไปครู่หนึ่งก่อนทำท่าจะเริ่มประกาศนับคะแนนออกไป ฉินควงพลันลุกขึ้นและกล่าวว่า “ท่านประมุข ท่านสามารถรออีกครู่หนึ่งได้หรือไม่?”
น้ำเสียงของมันค่อนข้างแหบพล่า ดวงตาของมันมีน้ำตาคลอหน่วย ร่างของมันกำลังสั่นเทิ้ม บุตรชายของมันฉินหยางยังไม่กลับมา มันมีบุตรชายหัวแก้วหัวแหวนเพียงคนเดียว มันไม่อาจยอมรับว่าบุตรชายของมันได้ตกตายไปแล้วได้
ฉินซานเทียนมองฉินควงด้วยความเห็นใจก่อนจะนั่งลงไป
หลังจากนั้นอีกพักหนึ่งก็ไม่มีศิษย์คนใดกลับเข้ามาในลานฝึกฝีมืออีก
ฉินควงรู้สึกเจ็บปวดดวงใจ ใบหน้าของมันขาวซีด มันหันไปมองฉินซานเทียนและกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง “เชิญท่านประมุข”
ฉินซานเทียนถอนหายใจยาวและลุกขึ้นเดินไปที่ด้านหน้า “เริ่มการนับคะแนนได้”
มีผู้เข้าแข่งขันทั้งหมดห้าสิบเจ็ด แต่ที่กลับออกมาเหลือเพียงยี่สิบห้าคน ผู้เข้าแข่งขันกลับเหลือรอดออกมาไม่ถึงครึ่งหนึ่ง นี่ได้แสดงให้เห็นถึงความโหดร้ายของเทศกาลล่าสัตว์ กระนั้นในมุมมองของผู้ฝึกตนแล้ว มันเป็นเพียงการทดสอบในเส้นทางการฝึกตนเพียงเท่านั้น
กลุ่มผู้นับคะแนนทั้งสิบคนเริ่มต้นนับคะแนน
“ฉินเฟิง มาดูกันว่ามันจะได้คะแนนมากน้อยเท่าใด”
“ข้าคิดว่าไม่ต่ำกว่าสองพันแต้ม”
“เจ้าเสียสติไปแล้ว? สองพันแต้ม? กระทั่งท่านประมุขก็ยังได้แคะแนนเพียงหนึ่งพันแปดร้อยแต้มเท่านั้น”
“อืม ข้าเชื่อมัน”
“เชื่อผายลมเจ้าสิ!”
ฉินเฟิงมุ่งหน้าไปที่กลางลานฝึกฝีมือและกล่าวขึ้นว่า “พวกท่านช่วยถอยไปหน่อยได้หรือไม่”
“บัดซบ! จะเป็นไปได้อย่างไร? สถานที่แห่งนี้ออกจะกว้างใหญ่ มันยังไม่พอจะวางศีรษะสัตว์อสูรที่มันรวบรวมมาอีกหรือ?”
“มันไม่แปลกไปหน่อยหรือ?”
…………………………………..
ฉินเฟิงไม่ได้ใส่ใจเสียงซุบซิบนินทาแต่อย่างใด มันเดินไปที่กลางลานและนำป้ายไม้ออกมา จากนั้นศีรษะของสัตว์ปีศาจจึงถูกนำออกมาทีละหัว กลุ่มผู้นับคะแนนเริ่มทำการนับทันที
“หนึ่งพันแปดสิบเก้าแต้ม….”
“หนึ่งพันสองร้อยสามแต้ม…”
“หนึ่งพันแปดร้อยเก้าสิบแต้ม…”
…………………………………….
จากนั้นก็มีเสียง ‘โครม’ ดังขึ้นมา
ฝูงชนพลันเปลี่ยนเป็นคลุ้มคลั่งขึ้นมาเมื่อได้เห็น นั่น…สัตว์ปีศาจระดับสี่?
ไม่มีผู้ใดยินยอมเชื่อ สัตว์ปีศาจระดับสี่มีความแข็งแกร่งอย่างมาก การที่ผู้ฝึกตนขั้นที่เก้าจะสามารถสังหารมันได้นั้นยากเย็นดุจปีนป่ายขึ้นสวรรค์ ฉินเฟิงไม่ใช่แข็งแกร่งเกินไปหน่อยหรือ?
กระทั่งฉินซานเทียนก็ยังต้องลอบตกใจ ความสามารถของฉินเฟิงทำให้มันตกตะลึงอย่างแท้จริง โดยไม่สนใจสิ่งใดอีก มันตัดสินใจจะติดตามความคืบหน้าในการบ่มเพาะของฉินเฟิง
ในเหล่าผู้เยาว์ที่โดดเด่นของสี่ตระกูลใหญ่ มันเชื่อว่านอกจากเสี่ยวหยูเฟิง ไม่มีผู้ใดสามารถเป็นคู่ต่อสู้ของฉินเฟิงได้อีก
ครู่ต่อมา คะแนนของฉินเฟิงก็ถูกนับจนเสร็จสิ้น
“สองพันแปดร้อยเก้าสิบเจ็ดแต้ม!”
ฉินเฟิงได้ทำลายทุกสถิติที่เคยมีมา ทั่วทั้งลานฝึกฝีมือพลันกระหึ่มขึ้นด้วยเสียงร้องตะโกน….
YOU MAY ALSO LIKE
Tips: Lorem ipsum dolor sit amet, consectetur adipisicing elit, sed do eiusmod tempor incididunt ut labore et dolore magna aliqua. Ut enim ad minim veniam, quis nostrud exercitation ullamco laboris nisi ut aliquip ex ea commodo consequat. Duis aulores eos qui ratione voluptatem sequi nesciunt. Neque porro quisquam est, qui dolorem ipsum quia dolor sit ame